แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลาย ในการปฏิบัติธรรมนอกสถานที่ ที่อาตมาไปทำไว้อีก ๒ - ๓ แห่ง พออาตมามาได้ที่ตรงนี้ ทำที่ตรงนี้ให้ได้เรียบร้อยแล้ว ก็ขยายไปในที่แห่งอื่นเป็นส่วนเล็กๆ หลายที่ด้วยกัน อาตมาจึงเรียกคล้องจองกันว่า ทีปภาวันธรรมสถาน, ลานธรรมขีรธารา, สวนธรรมเภรี, ป่าศิขรินสินธุ, สวนโพธิโกสุม และสุดท้ายคือ เวียงธรรม
ลานธรรมขีรธารา อาตมาทำลานหินโค้ง ขึ้นไปจากที่นี่ไม่ไกล แต่เมื่ออาตมาไม่มีแรง ก็เลยร้างไป เพราะว่าขึ้นไปไม่ไหว แต่สวนธรรมเภรี อาตมาไปทำที่ปฏิบัติธรรมเอาไว้ อาตมาขึ้นไปเที่ยวดู พอดีไปเจอฝรั่งเยอะมาก อาตมาเห็นฝรั่งมาเยอะ ก็คิดว่าจะหาโอกาสเผยแพร่ธรรมะไปต่างประเทศ ให้ฝรั่งขึ้นไปดูไปชม ก็ลงทุนพอสมควรเหมือนกัน
อาตมาก่อบ่อและมีฝาปิดกั้นเอาไว้แบบถังส้วม ขึ้นไปวางประมาณ ๑๐๐ ที่นั่ง แล้วก็ทำศาลา เราก็ได้ใช้หลายปี พานักเรียนเป็นร้อยๆขึ้นไปนั่งสมาธิ พาฝรั่ง พาญาติโยมคนไทย ไปนั่งสมาธิ อยู่หลายปี ตรงนั้นเรียกว่า สวนธรรมเภรี
ต่อมา มีคนต้องการถวายที่ดินให้อาตมาแปลงหนึ่ง เป็นป่าต้นน้ำประมาณ ๑๕ ไร่ อาตมาก็หล่อพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ น้ำหนักเกือบตัน ที่เขาให้มาจากกรุงเทพ เอาไปวางบนยอดเขานั้น อาตมาให้ชื่อว่า สวนป่าศิขรินสินธุ ใต้ฐานพระโพธิสัตว์ จะเป็นที่เก็บกระดูกของอาตมาแห่งหนึ่ง
ถ้าญาติโยมดูวีซีดีก็จะเห็นภาพพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ถ้าขึ้นไปบนยอดเขานั้น จะมองเห็นทั้งสองด้าน ด้านทิศตะวันออก ด้านทิศตะวันตก ด้านทิศตะวันออกจะเห็นอ่าวละไมชัดเจนมาก จะเห็นเกาะพงัน ทางทิศตะวันตกจะเห็นเกาะอ่างทอง และก็สวยมากที่ตรงนั้น เรียกว่าป่าศิขรินสินธุ มีถนนเทคอนกรีตขึ้นไป สวยงามมาก เรียกว่าป่าศิขรินสินธุ
ต่อมามีโยมผู้หญิงคนหนึ่ง เป็นลูกของคุณหมอโกสุม สุขถาวร คุณหมอโกสุม สุขถาวรเคยบวชที่สวนโมกข์ คนนี้มีศรัทธา อยากจะทำที่ปฏิบัติธรรม แล้วก็มาที่เกาะสมุย ก็อยากจะมีที่ดินเพื่อจะใช้ประโยชน์ พอดีมีที่ๆติดกับสวนธรรมเภรีเขาขาย ประมาณ ๕ ล้าน เป็นที่ไม่มีโฉนดอะไร ตรงนั้นเป็นป่าประมาณเกือบ ๒๐ ไร่ อาตมาเป็นห่วง เสียดายว่าเจ้าของเขาจะโค่นหมด อาตมาเคยมาเจอเจ้าของที่เขาปลูกมังคุด ปลูกมังคุด ทำลายป่า ต้นไม้ ต้นมะพร้าว ต้นหมาก โค่นล้มลงเยอะ แต่ยังไม่ทันจะหมดดี โยมมาซื้อ แล้วก็ให้อาตมาใช้ทำศาลา ทำส้วม ตรงนั้นเรียกว่า สวนโพธิโกสุม ถ้าฝนตกเราก็ไปใช้ศาลา ศาลาทราย ตอนนั่งสมาธิ
และก็สุดท้าย ก็คือเวียงธรรม บ่อนไก่ใหญ่ของเกาะสมุยใช้มาหลายปี ตอนหลังเจ้าของบ่อน ขายให้เจ้ามือ ขายให้แก่คนสนิท อาตมาไปเห็นบ่อนไก่ ก็รู้สึกว่าใช้ประโยชน์ได้ อาตมาก็เขียนกลอนเล็กๆว่า บ่อนไก่นี้ ต่อไปข้างหน้า ถ้าเจ้าของสนใจก็จะกลายเป็นบ่อนธรรมก็ได้ สรุปก็ความฝัน ก็เป็นความจริง อาตมาตั้งชื่อว่าเวียงธรรม
การที่อาตมาไปทำที่เอาไว้ ก็เพื่อจะให้คนไปใช้ประโยชน์ ถ้าใครไปที่ตรงนั้น ที่ตรงนั้นก็ได้ทำประโยชน์ ผู้ที่ไปใช้ก็จะได้รับประโยชน์ อาตมาตั้งใจทำอะไร ก็เพื่อเกิดประโยชน์ ที่นี่เราไปทำที่เอาไว้ แต่ไม่มีคนไปใช้ ที่ตรงนั้นก็ไม่ได้ทำประโยชน์
อาตมาก็ต้องขอขอบพระคุณญาติโยมที่มาปฏิบัติธรรมที่ทีปภาวัน ทีปภาวันก็จะได้ทำประโยชน์ ญาติโยมถ้าปฏิบัติได้ผลญาติโยมก็ได้รับผลประโยชน์ ทำประโยชน์มันคู่กับความสุข ถ้าเราทำอะไรขึ้นมามีประโยชน์ คนก็ได้ความสุข แต่ถ้าเราทำอะไรไม่มีประโยชน์ คนก็ไม่ได้อะไร ให้ญาติโยมทั้งหลายได้มาปฏิบัติธรรมที่ทีปภาวัน เจ้าของวัดวา
อาตมาได้บรรยายเรื่องสำคัญในพระพุทธศาสนาคือเรื่องกรรม มีเรื่องกว้างขวางพิศดารเฉพาะ และกรรมนี้มันเกี่ยวข้องกับเรื่องอื่นๆ ที่มาจากกิเลส กิเลสนี้เป็นเหตุให้ทำกรรม เมื่อทำกรรมแล้วได้รับผลก็เรียกว่าวิบาก กิเลส กรรม วิบาก กิเลส กรรม วิบาก เป็นเรื่องของวัฏสงสาร
เพราะฉะนั้นวันนี้ ก็อยากจะอธิบายให้ญาติโยมเข้าใจ เรื่องวัฏสงสาร ก่อนอธิบายเรื่องนี้ อยากให้โยมทั้งหลายเข้าใจว่า การอธิบายธรรมะหรือสอนธรรมะ ในพุทธศาสนามันมีอยู่ ๒ ชนิด คือ
๑. บุคลาธิษฐาน ๒. ธรรมาธิษฐาน
บุคลาธิษฐาน ยกบุคคลเป็นตัวอย่าง ส่วนธรรมาธิษฐานเป็นเรื่องของจิตใจ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เป็นเรื่องของจิตใจเป็นธรรมาธิษฐาน ให้เข้าใจอย่างนี้เสียก่อน
ทีนี้ เรื่องที่สำคัญที่สุด เราเป็นชาวพุทธควรรู้จักหัวใจของพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนานี้ มีความหมายกว้างมาก เหมือนอย่างต้นไม้ต้นหนึ่ง เราพูดว่าต้นไม้ ต้นไม้มีส่วนประกอบหลายส่วน ที่อยู่ใต้ดิน เป็นรากหลายๆชนิด รากแก้ว รากฝอย โผล่ขึ้นมาบนดิน ก็มีต้นไม้ มีเปลือก มีกระพี้ มีแก่น มีกิ่ง มีใบ มีดอก มีผล แต่ว่าต้นไมัที่ยั่งยืนต้องมีแก่น ถ้าไม่มีแก่น เป็นต้นไม้ที่ไม่อายุยืน เช่น ต้นกล้วย ต้นมะละกอ ต้นไม้ที่อายุสั้น มันไม่มีแก่น ไม้ที่มีแก่น เช่น ต้นสัก ต้นยาง พวกนี้อายุยืนเป็นร้อยๆ ปี
ที่เกาะสมุยมีต้นยางใหญ่ เรียกว่าใหญ่มาก พวกฝรั่งไปชมกัน ฝรั่งมาเที่ยวเกาะสมุยไปดูต้นยาง มากกว่าดูสิ่งต่างๆ ที่อยู่ภายในวัด ที่ตรงนี้ อยู่ตรงนี้ วัดสัมฤทธิ์เป็นวัดพระอุปัชฌาย์ของอาตมา ต้นยางใหญ่มาก หลายคนโอบ อายุยืนหลายร้อยปี ต้นไม้มันมีแก่น พระพุทธศาสนาเหมือนกัน แก่นของพุทธศาสนา เราต้องรู้จัก จะกระพี้หรือเปลือกนี่ มันก็มีหลายๆอย่าง ศาสนพิธี พิธีกรรมต่างๆ เกี่ยวกับศาสนา นี่มันอยู่ข้างนอก แม้แต่ศีล นักปฏิบัติ ศีลก็ยังเป็นเปลือก สมาธิก็ลึกเข้าไปหน่อย แต่ยังไม่ใช่เป็นแก่น เพราะถ้าแก่นจริงๆ มันคือเรื่องดับทุกข์ คือเรื่องปัญญา ปญฺญาย ปริสุชฺฌติ คนจะพ้นจากความทุกข์ ด้วยปัญญา ลำพังศีล มันยังไม่ถึงขนาดที่ทำให้ความทุกข์มันดับ
หัวใจของพุทธศาสนา คือเรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้น แต่ว่าขยายจากทุกข์ จากการดับทุกข์ออกไปกว้างขว้าง เป็นเรื่องอริยสัจ เรื่องปฏิจจสมุปบาท
วันนี้ญาติโยมจะได้ฟังเรื่องปฏิจจสมุปบาท เพราะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ที่ขยายออกไป
จากอริยสัจ ขยายออกไปจากทุกข์ จากความดับทุกข์ ทีนี้ชีวิตของเราที่เกิดมานี้ มันก็มีทุกข์ ติดมาตั้งแต่เราเกิด แต่ความดับทุกข์ ถ้าเราไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ความทุกข์มันจะดับไม่ได้
ทีนี้ตัวทุกข์ คือตัววัฏสงสาร วัฏสงสารคือความทุกข์ ทีนี้วัฏสงสารมันมาคู่กับนิพพาน นิพพานกับวัฏสงสารมาอยู่ในชีวิตของเรานี้ แต่ว่านิพพาน มันทำให้แจ้งไม่ได้ นิพพานสร้างมันไม่ได้ นิพพานมีอยู่แล้ว ในที่ทุกหนทุกแห่ง ในชีวิตของเรา นิพพานมันก็มีอยู่แล้ว แต่ว่านิพพานปรากฎไม่ได้ แต่วัฏสงสารมันทำหน้าที่ตลอดเวลา
ญาติโยมทั้งหลายต้องทำเข้าใจว่านิพพานมันคืออะไร นิพพานธาตุ เรียกว่านิพพานธาตุ ไม่ใช่เป็นสังขาร นิพพานนี้เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ ไม่ใช่สังขตธาตุ วิสังขารคือไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งมัน ส่วนสังขารมีเหตุ มีปัจจัยปรุงแต่ง ถ้าเป็นสังขาร ไม่ว่าสังขารชนิดไหน เช่น ชีวิตของเราก็เป็นสังขาร ชีวิตของสัตว์ สิ่งต่างๆ เป็นสังขารทั้งหมด แม้แต่ภูเขา หิน แม้แต่พระอาทิตย์ พระจันทร์ เป็นสังขารทั้งหมด สังขารมันก็คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน
ส่วนวิสังขารคือนิพพาน นี่เที่ยง เป็นสุข แต่ไม่มีตัวตนเช่นเดียวกัน การไม่มีตัวตน ความไม่มีตัวตน คือเรื่องอนัตตา เรื่องสุญญตา เป็นหัวใจสูงสุดของพุทธศาสนา ถ้าใครทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพานได้ ผู้นั้นจะพบความสุขสูงสุด เพราะว่าความหมายของนิพพานคือดับกิเลส ดับไฟ และก็ดับความทุกข์
ถ้าเมื่อใดจิตใจเราว่างจากกิเลส ว่างจากความโลภ ว่างจากความโกรธ ว่างจากความหลง ว่างจากราคะ ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากตัณหา อุปทานพวกนี้ ใจก็เย็น ใจก็สัมผัสกับนิพพาน ใจหรือจิตของเรานี้เป็นสังขาร แต่ว่าจิตมันไปสัมผัสกับนิพพาน ซึ่งเป็นวิสังขารได้ ไม่ใช่ร่างกาย ร่างกายของเราไม่สามารถไปถึงนิพพานได้ จิตเท่านั้น กายก็เป็นสังขาร จิตก็เป็นสังขาร จิตนี้สำคัญมาก
จิตสามารถรับรู้ต่อพระนิพพาน คือเมื่อใดจิตของเราว่างจากกิเลส เปรียบง่ายๆว่าเวลาโกรธ เวลาโกรธนี้ วัฏสงสารมันทำหน้าที่ โยมสังเกตดู เวลามันโกรธเป็นอย่างไร มันเร่าร้อน นอนไม่หลับ ทุรนทุราย นั้นวัฏสงสารมันทำหน้าที่ ด้วยความทุกข์นั้นเอง มันเกิด นี่พอจิตของเรามันว่างจากกิเลส ว่างจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ใจก็สบาย แต่ของเรานี้บางทีว่างนิดเดียว วัฏสงสารก็เกิด นิพพานก็หายไป
ถ้าเราปฏิบัติฝึกภาวนาอานาปานสติ โยมจะได้สัมผัสกับนิพพานน้อยๆ ไปเรื่อยๆ วัฏสงสารมันก็หยุดเป็นพักๆ เมื่อจิตมันสัมผัสกับพระนิพพาน วัฏสงสารก็เกิดไม่ได้ เพราะจิตมันเกิดดับ เกิดดับ เกิดดับ เร็วมาก
ทีนี้ การปฏิบัติธรรมจะทำให้ฝ่ายโพธิ ฝ่ายโพธิคือการตรัสรู้ เพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้งมากขึ้นๆ วัฏสงสารก็จะสั้นลงๆ คนทั่วไปไม่ได้ปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะไม่ได้อบรมจิตใจ ก็วนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสารนี้ ไม่รู้จักหมด ไม่รู้จักสิ้น หาที่สุดมิได้
ทีนี้ ถ้าอธิบายแบบบุคลาธิษฐาน ก็คือว่ายเวียนในภพในภูมิต่างๆ ซึ่งเขาแบ่งออกเป็น ๓๑ ภูมิ เป็นภูมิเป็นภพ ภูมิก็คือที่อยู่ เช่นกามาวจรภูมิ รูปาวจรภูมิ อรูปาวจรภูมิ คือเที่ยวไปในกามโลก กามภูมิก็มี ที่เป็นทุกข์ก็มี ทุกขคติภูมิ เกิดนรก เปรต สัตว์เดรฉาน อสุรกาย ต่อไปเข้าใจหมายถึงโลกอื่น นรกไปอยู่ใต้ดิน เปรตก็คือโลกหนึ่ง โลกของเปรต สัตว์เดรัจฉานก็ที่มันเที่ยวไปในป่า ในทุ่งนา พวกนี้สัตว์เดรัจฉาน อสุรกายก็เป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ที่ไม่เห็นรูปร่าง อธิบายแบบบุคลาธิษฐาน
จริงๆ ถ้าอธิบายแบบธรรมาธิษฐานคือเรื่องสภาพจิตใจของเรานั่นเอง อะไรมันร้อนใจอย่างไฟไหม้ นรกมันเกิด เวลาหิว อยากต้องการ นั่นเปรตมันเกิด เวลาใดหวาดกลัว อสุรกายมันเกิด เวลาใดโง่สัตว์เดรัจฉานมันเกิด แต่ทำไมจิตใจของเรานี้ ทุคติภูมิอยู่ในกาม กามภพ
ทีนี้ มนุษย์เรานี้ ก็อยู่ในกามภพ กามภูมิเหมือนกัน แต่ความหมายของมนุษย์ คือมันเหนื่อยอยู่ด้วยการด้วยงาน อย่างอธิบายว่า คือรู้สึกมันเหนื่อย ไม่ใช่มันเป็นทุกข์ แต่รู้สึกเหนื่อยด้วยภาระหน้าที่ นี่มันคือมนุษย์ เกิดขึ้นในจิตใจของเรา ความเป็นมนุษย์เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
ถ้าเราเลื่อนไปกามภพ ฝั่งนี้คือเป็นเทวดาหลายๆชั้น เทวดาทุกชั้น ถ้าสูงขึ้นไปเป็นรูปภพ พวกพรหมที่มีรูป สูงขึ้นไปเป็นอรูปภพ พวกพรหมที่ไม่มีรูป นี่การที่จะไปสู่พรหมโลก ก็ฝึกสมาธินี่เอง ฝึกสมาธิให้สมาธิได้ฌาน ฌานในระดับสูง พอได้ฌานก็เรียกว่าได้อยู่กับพรหม พรหมโลก
ทีนี้ อรูปฌานพอเจริญได้ อรูปฌาน เช่น อากาสานัญจายตนฌาน อรูปฌานที่หนึ่ง ก็ไปอยู่กับพรหมโลก ที่จริงก็เรื่องจิตใจของเรานี้เอง เพราะฉะนั้น จิตใจของเราจะสามารถเลือกเลื่อนจากทุคติภูมิมาสู่สุคติภูมิ เช่นมนุษย์อย่างน้อย แล้วก็ไปเทวดา เทวดาคือพอใจตัวเอง ยกมือไหว้ตัวเอง เพราะฉะนั้น เทวดามันเกิดในจิตใจของเรา นี่เพราะมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตาคือรักผู้อื่น กรุณาสงสารผู้อื่น มุทิตายินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี อุเบกขาเรียกว่าเพ่งหาโอกาสที่จะคอยช่วยเหลือผู้อื่น นี่พรหมโลกมันก็เกิดขึ้นในจิตใจของเรา
แต่ก็ดี การว่ายเวียนอยู่ในภพต่างๆ ยังเป็นวัฏฏะสงสาร ยังดับทุกข์ไม่ได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้าพระองค์ทรงสอนเอาไว้เพื่อออกจากวัฏสงสาร คือดับทุกข์นั้นเอง ต้องเข้าใจว่าวัฏสงสารคือตัวทุกข์ มาจากกิเลส พอกิเลสเข้ามา ก็ทำให้เกิดกรรม เจตนาที่กระทำทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางจิตใจเองบ้าง มันเกิดผล ความจริงกรรมไม่ต้องรอ เป็นวัตถุ เป็นสิ่งของ เป็นเงินเป็นทอง พอเจตนาทำไป ด้วยกิเลสมันเกิดผลทันทีเลย เกิดผลในจิตใจก่อนทันทีเลย เร่าร้อน เป็นสุขเป็นทุกข์ อยู่ที่เจตนานั้นเอง เอาง่ายๆ เมื่อโยมมองคน ถ้ามองในแง่ร้าย จะเกิดปัญหาต่อจิตใจของญาติโยมทันทีเลย ถ้ามองคนด้วยจิตเมตตา ก็จะเกิดผลเป็นความสบายใจทันทีเลย ไม่ต้องรอ นี่มันเป็นมโนกรรม
เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรม ถ้าไม่สังเกตจิตใจอย่างนี้ ก้าวหน้าไม่ได้ จะไปอยู่ในวัดกี่ปี กี่สิบปี อยู่ถ้ำ สำนักไหนก็ตาม เที่ยวไปทั่วโลก จะไม่มีผลใดๆเลย ถ้าไม่ดูจิตใจ ว่าจิตใจมันเป็นอย่างไร จิตมันคิดอะไร มันนึกอะไร ถ้าจิตคิดไปในทางที่ผิด มันก้าวหน้าไม่ได้ โดยเฉพาะคิดว่ามีตัวตน เราดีกว่าเขา เราเก่งกว่าเขา อย่างนี้มันก้าวหน้าไม่ได้ เพราะว่ากิเลสมันเกิด วัฏสงสารจะทำงาน รอเวลา
เพราะฉะนั้นกิเลสมาจากไหน กิเลสมันมาเมื่อผัสสะ พอผัสสะเกิด เราขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ กิเลสจะเข้ามา อวิชชามันเข้ามาก่อน มาปรุงให้เป็นราคะบ้าง โทสะบ้าง โมหะบ้าง เมื่อจิตใจอยู่ใต้อำนาจของราคะ โทสะ โมหะ มันก็ทำกรรม
กรรมมันก็มีหลายชนิดอย่างที่กล่าวมาแล้ว อกุศลกรรม กุศลกรรม ทำบุญให้ทานอย่างนี้ ฝ่ายกุศล ถ้าไปยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็ดับทุกข์ไม่ได้ แม้จะไปสู่สุคติ ไปอยู่โลกสวรรค์ ไปพรหมโลก ไปอรูปพรหม ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ยังไปยึดมั่นถือมั่น ในที่สุดมันก็หวนกลับ หวนกลับเวียนลงมาสู่ทุคติภูมิ มาสู่นรก มาเป็นเปรต มาเป็นสัตว์เดรัจฉาน มาเป็นอสุรกาย มันจะเวียนอย่างนี้
นั้นในช่วงชีวิตของคน บางคนยกตัวอย่างว่าเข้าวัดเข้าวา ก็ดูดี แต่ในที่สุดก็ไปบ้านก็เปลี่ยนอีก มันจะหมุนเวียนอย่างนี้ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมต้องอาศัยสติ สัมปชัญญะ และความเพียร ปฏิบัติไปเรื่อยๆ อย่าประมาท ทำไปเรื่อยๆ
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายได้มีโอกาสมาปฏิบัติธรรมที่ทีปภาวัน อาตมาคิดว่าคงจะได้รับประโยชน์ แต่ว่าการได้ยิน ได้ฟัง มันยังเป็นเพียงปริยัติ เหมือนอย่างรู้ที่ทางที่จะเดิน ถ้าไม่เดิน มันก็ไม่ไปไหน ยังต้องวนเวียนอยู่ในปัญหา วนเวียนอยู่ในวัฏสงสารอยู่เรื่อยไป
ก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจว่า การเกิดเป็นมนุษย์ ได้พบพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรประเสริฐกว่านี้ แม้เทวดาบนสวรรค์ ก็ปรารถนาที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า
แต่มีคนไทยจำนวนมากไปบูชาสวรรค์ แม้วัดต่างๆ พระบางองค์ก็พยายามชักชวนให้ญาติโยมทำบุญ ทำบุญให้มากๆ เพื่อจะไปขึ้นสวรรค์ ไม่ใช่พุทธศาสนา ในชั้นหัวใจของพุทธศาสนา
การทำบุญก็ถูกแล้ว มันได้ทำความดี แต่ทำให้ทุกข์ดับไม่ได้ เพราะฉะนั้น หัวใจของพระพุทธศาสนาต้องทำให้ทุกข์มันดับ ให้มันน้อยลงๆ แล้วการปฏิบัติธรรม ต้องทำในชีวิตประจำวัน ทำในปัจจุบัน ทำแต่ละวันๆ วิธีปฏิบัติธรรม ถ้าตั้งใจทำไม่ยาก เพราะว่าเอาเวลาเที่ยว นอนหลับ เราทำอะไรไม่ได้ พอตื่นขึ้นมาต้องเตรียมแล้ว ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ ไม่ว่าตาจะเห็น หูจะได้ฟัง สัมผัสกับเรื่องอะไร ต้องมีสติสัมปชัญญะ รักษาจิตให้มันเป็นประภัสสรให้มากขึ้น คือจิตเดิมเป็นจิตประภัสสร เป็นจิตผ่องใส เป็นจิตไม่มีปัญหา แต่มันเข้มแข็งไม่พอ เหมือนทารกที่คลอดออกมาใหม่ๆ มันมีชีวิตก็แต่ร่างกายแข็งแรงไม่พอ พ่อแม่ต้องรักษาเลี้ยงดูลูกทารกให้เจริญเติบโตแข็งแรง เพื่อจะช่วยตัวเองได้ เหมือนกันจิตประภัสสรที่มันมีชีวิตของเราเข้มแข็งไม่พอ ก็ต้องอบรม อบรม มันเข้มแข็งพอ แล้วก็เลื่อนชีวิตสูงขึ้นไปๆ อย่างน้อยที่สุดให้อยู่ในสุคติภูมิหรือมนุษย์ มนุษย์เรานี้เรียกว่าสุคติภูมิ เลื่อนขึ้นไปถึงสวรรค์ ถึงพรหม ถึงอรูปพรหม สามารถจะทำได้เพราะเป็นเรื่องของจิตใจ
ถ้าเชื่อว่าตายแล้วไปเกิด อันนี้จะส่งให้ไปเกิดในโลกต่างๆ แต่ว่าเอาสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตนเองก่อนดีกว่า คือดูจิตใจ จิตใจมันคิดอย่างไร มันนึกอย่างไร ถ้าคิดไม่ถูก คิดไม่ดี นรกมันก็เกิด ทุคติมันก็เกิด ถ้าคิดดีคิดเป็น สุคติมันก็เกิด
การเจริญสมาธิภาวนานี้ มันเป็นหนทางที่ทำให้ทุกข์มันน้อยลง ทำให้วัฎสงสารมันน้อยลง เป็นหนทางที่จะทำให้นิพพานปรากฎมากขึ้น ไม่มีวิธีอย่างอื่น วิธีนี้เท่านั้น
เอาล่ะต่อไปนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเตรียมตัวตั้งใจปฏิบัติ วันนี้ก็บรรยายความรู้ที่จะเข้าใจยาก แต่ว่าถ้าพยายามเข้าใจ ก็จะเข้าใจได้ สรุปแล้วพุทธศาสนาสอนเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์ แล้วต้องปฏิบัติ ถ้าต้องการให้ทุกข์น้อย ก็ต้องปฏิบัติ อบรมกาย อบรมวาจา อบรมจิตใจ อบรมศีล อบรมสมาธิ อบรมปัญญานั้นเอง เพราะปัญญาสูงสุดคือวิปัสสนาปัญญา พอได้สมาธิมา ก็มาตามดู โลกต่างๆ จะเป็นกามโลก รูปโลก อรูปโลก ทุกสิ่งทุกอย่าง สังขารทั้งหมด ให้มองละสังขารทั้งหมด สังขารมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อพิจารณาอย่างนี้ กิเลสก็เกิดขึ้นไม่ได้ นิพพานก็ปรากฎ สว่างไสวมากขึ้น วัฏสงสารคือกิเลส มันเข้ามาอยู่ในจิตใจไม่ได้ กิเลสนี้ มันเป็นวัฏสงสาร กิเลส กรรมและวิบาก มีกิเลส ก็มีการทำกรรม ทำกรรมได้ผล อย่างนั้นอย่างนี้ เป็นวัฏสงสารเวียนอยู่อย่างนี้ ต่อจากนี้ก็ตั้งใจปฏิบัติกัน