แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราพุทธบริษัท หรือเรียกว่า ชาวพุทธ สำคัญต่อพระพุทธศาสนาทุกคน ที่น่าสนใจมาก ตอนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ มารเนี่ยคอยติดตามพระพุทธเจ้าตลอดเวลา เพื่อจะนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เข้าสู่ปรินิพพาน เพราะว่าตอนที่พระองค์จะตรัสรู้ มารก็มาผจญทุกรูปแบบ เพื่อจะไม่ให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ในที่สุดไม่สำเร็จ ธิดาของพญามาร ๓ คน ก็มายั่วยวนให้พระโพธิสัตว์สิทธัตถะบรรลุพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ แต่ก็ไม่สำเร็จ แต่ว่ามารคอยหาโอกาสที่จะนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เข้าสู่ปรินิพาน แต่ความจริง คำว่า “ปรินิพาน” ไม่ได้หมายถึงการตายของร่างกาย พระพุทธเจ้าได้บรรลุอนุปาทิเสสนิพพาน ตั้งแต่คืนที่ตรัสรู้
แต่ที่ว่ามารนิมนต์พระพุทธเจ้าให้เข้าสู่ปรินิพพาน หมายถึง ให้พระพุทธเจ้าละสังขาร พูดง่ายๆว่า ให้พระพุทธเจ้าจบ พอแล้ว ไม่ต้องเที่ยวสั่งสอนประชาชน พอแล้ว จบชีวิตแล้ว แปลว่า เข้าสู่ปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกายังไม่เข้มแข็ง ไม่สามารถที่จะตอบปัญหาของคนที่กล่าวร้าย กล่าวหาได้ พระองค์จะไม่เข้าสู่ปรินิพพาน อยู่ต่อมาหลายปี ตอนที่พระองค์จะปลงอายุสังขาร ๘๐ ปีแล้ว ตอนนั้น มารก็มานิมนต์อีก ว่าตอนนี้ พุทธบริษัทของพระองค์มีความเข้มแข็งเพียงพอแล้ว สมควรแล้วที่พระองค์จะเข้าสู่ปรินิพพาน
พระพุทธเจ้าก็รับนิมนต์มา เรียกว่า ปลงอายุสังขาร ตามตำนานพุทธประวัติว่า แผ่นดินไหว เรื่องนี้ แม้แต่อิงปาฏิหาริย์ แต่ว่าใจความสำคัญ หมายความว่า พุทธศาสนาอยู่ได้เพราะพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
ทีนี้ ฝ่ายผู้หญิง ส่วนใหญ่จะมีโอกาสน้อยมาก ที่จะได้บรรยาย ที่จะได้พูด ถ้าต่อไปข้างหน้า อาตมาคิดว่า โยมผู้หญิงมีความสำคัญ เช่น เป็นครูสอนนักเรียนในโรงเรียน จะได้นำพุทธศาสนาไปสอนนักเรียน นักศึกษา ถ้ามีความรู้ทางธรรมะ ผู้ชายก็เช่นเดียวกัน แม้ไม่เป็นพระ ก็มีโอกาสเยอะมาก
ทีนี้ สำหรับพุทธบริษัท ๔ ประเภทนี้ ก็คือ ฝ่ายฆราวาสมาก ๙๙%
ที่อาตมาเคยพูดหลายครั้งแล้ว ที่เป็นภิกษุเพียง ๑% เท่านั้น ทีนี้ถ้าพุทธบริษัทฝ่ายฆราวาสไม่เข้มแข็ง พุทธศาสนาจะอ่อนแอมาก พุทธศาสนาก็มีอยู่หลายชั้น ปฎิยัติ ปฏิบัติ แล้วก็ปฏิเวธ
ปฏิเวธที่ได้ผล เป็นประโยชน์ เป็นความสุข เป็นความดับทุกข์ เรียกว่า ปฏิเวธ ปฏิเวธมาจากการปฏิบัติ แต่การปฏิบัติที่จะได้ผล ต้องมีปฎิยัติที่ถูกต้อง ต้องมีแนวทางที่ถูกต้อง
ทีนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมะใด ที่ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย ไม่เป็นไปเพื่อคลายความกำหนัด ไม่เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง ไม่เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม ไม่เป็นไปเพื่อนิพพาน ธรรมนั้น ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา
เราชาวพุทธจะอ่านหนังสือธรรมะก็ตาม จะฟังใครสอนก็ตาม ต้องมาพิจารณาว่า คำสอนเหล่านี้ เป็นไปในรูปนี้หรือเปล่า เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่ายจากทุกข์ เป็นไปเพื่อออกจากทุกข์หรือเปล่า ถ้าเป็นไปในรูปอื่น เช่น ชักชวนให้ไปสวรรค์ ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้าในระดับหัวใจของพุทธศาสนา
หลักตัดสินธรรมวินัย ที่พระองค์ทรงแสดงไว้แก่พระนางปชาบดีโคตรมี ก็ลักษณะตัดสินธรรมวินัย ๘ ประการ มีหลายๆข้อ ว่าธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อความอยากใหญ่ เป็นไปเพื่อความไม่สันโดษ เป็นไปเพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ด้วยคณะ เป็นไปเพื่อความเกลียดชัง เป็นไปเพื่อความมักมากอยากใหญ่พวกนี้ ไม่ใช่ธรรม ไม่ใช่วินัย ไม่ใช่คำสอนของพระศาสดา แต่ถ้าตรงกันข้าม ถ้าเป็นคำสอนของพระศาสดา คำสอนของพระพุทธเจ้าจริงๆ ต้องการให้เราออกจากทุกข์
ทีนี้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ก็ไม่มีหนทางที่จะออกจากทุกข์ไปได้เลย เพราะว่าทุกข์มันมาจากกิเลส
อาตมาก็พยายามจะพูดให้ญาติโยมเข้าใจว่า ทุกข์จริงๆ มันมาจากเหตุ เหตุของความทุกข์ ก็คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นสิ่งที่ไม่เห็นตัว แต่ว่า อันตรายที่สุด จากกิเลสเหล่านี้ อวิชชา คือ ไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง และมีความอยากหลายๆอย่าง อยากในสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ เรียกว่า กามตัณหา อยากจะมี อยากจะเป็น เป็นภวตัณหา อยากไม่มี ไม่เป็น เป็นวิภวตัณหา เพราะมีตัณหา จึงทำให้เกิดอุปาทาน อุปาทานที่สำคัญที่สุดคืออุปาทานในเบญจขันธ์
ในชีวิตของเรา ถ้าไม่ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ตอบไม่ได้ ว่าชีวิตของเรามันประกอบด้วยอะไรบ้าง ตอบไม่ได้ ดังนั้น เราจะต้องเรียนรู้ นี่เป็นเรื่องสำคัญของพระพุทธศาสนาว่า ชีวิตของเราประกอบด้วยอะไรบ้าง โดยย่อประกอบด้วยนามและรูป จากนามและรูป ประกอบด้วยเบญจขันธ์ จากเบญจขันธ์ก็เป็นอายตนะ เป็นอินทรีย์ เป็นหมวดๆ ในชีวิตของเรา
แต่ว่าที่สำคัญที่สุด คือ เบญจขันธ์ คำว่าขันธ์ แปลว่า กอง กองแห่งทุกข์ กองแห่งเวทนา กองแห่งสัญญา กองแห่งสังขาร กองแห่งวิญญาณ ชีวิตของเรา รวมกันเป็นกองๆ กองแห่งรูป ประกอบด้วยธาตุทั้ง ๔ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ
ธาตุไฟ ธาตุลม
ทีนี้ คำว่าธาตุ มีธาตุข้างนอก ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อยู่ข้างนอกก็มี ในชีวิตของเราก็มีธาตุเหล่านี้ เป็นธาตุรูป รูปธาตุ ถ้าถามว่า ธาตุดินมันคืออะไร ก็ต้องเรียนรู้ ธาตุอันใดที่มีลักษณะเข้มแข็ง กินเนื้อที่ ธาตุนั้นเป็นธาตุดิน ถ้าอยู่ในชีวิตของเรา เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก พวกนี้สามารถที่จะมองเห็น มันกินเนื้อที่ เขาเรียกว่า ธาตุดิน
ธาตุอันใด ที่มีลักษณะไหลเอิบอาบ เกาะกุมกัน ก็คือธาตุน้ำ ที่อยู่ในชีวิตของเรา น้ำมูก น้ำลาย น้ำเลือด น้ำปัสสาวะ น้ำเหงื่อ น้ำอะไรต่างๆ ที่อยู่ในชีวิตของเรา นั่นก็คือ ธาตุน้ำ น้ำข้างนอกนั้นก็เยอะ ในมหาสมุทร ในทะเล ในแม่น้ำลำคลอง ธาตุน้ำมีอยู่ข้างนอก
ธาตุไฟ ธาตุใดมีลักษณะเผาไหม้ ก็คือ ธาตุไฟ อยู่ในร่างกายเรา ไฟที่ทำร่างกายอบอุ่น ไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย เขาถือว่าอาหารที่ย่อยก็เพราะธาตุไฟ ในชีวิตของเรา
ข้างนอกก็มีไฟต่างๆ ในไม้ก็มีธาตุไฟ ในหินก็มีธาตุไฟ ยกตัวอย่างว่า เอาไม้ที่แห้งมาประกบแล้วถู แล้วไฟก็เกิดขึ้นมา จากไม้สีไฟ เอาเหล็กมาตีหิน ไฟก็เกิดขึ้นมา ไฟก็มีอยู่ในก้อนหิน สมัยโบราณไม่มีไม้ขีดไฟแบบนี้ เขาเรียกไฟตี เอาเหล็ก เช่นตะไบ แต่เหล็กต้องเป็นเหล็กที่มันแข็ง เอามาตีเข้าที่ก้อนหิน ไฟก็แลบ ไม่ว่าเราไปถางป่าถางสวน บางทีคมพร้าไปถูกหิน ไฟก็แลบออกมาเลย มันก็มีธาตุไฟอยู่ในก้อนหิน แต่มันไม่เกิด ต้องมีเหตุ ไฟจึงเกิดขึ้นมา แบบเดียวกับไฟอยู่ในต้นไม้ที่แห้ง ต้นไม้สด ธาตุน้ำมันมี ธาตุน้ำมันมาก ไม่สามารถจะทำให้เกิดไฟได้ แต่ว่าต้นไม้ที่มันแห้ง มันมีธาตุไฟสถิตอยู่ในไม้นั้น นำไม้นั้นมาถู บังเกิดธาตุไฟขึ้นมาแล้ว ธาตุไฟที่อยู่ในร่างกายของเรา ทำให้ร่างกายอบอุ่น ไฟที่ทำให้ร่างกายทรุดโทรม ก็เป็นพวกธาตุไฟ ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย ก็เป็นพวกธาตุไฟ
ธาตุอันใด ที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา เขาเรียก ธาตุลม ลมข้างนอกก็มี บางทีมีพายุแรง ทำลายดินต่างๆ เขาเรียก ธาตุลม บางทีลมอ่อนๆ ก็สบายดี พอดี ถ้าลมไม่แรงเกินไป ธาตุลมในชีวิตของคนเรา มีลมพัดขึ้นเบื้องสูง ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ ลมหายใจพวกนี้ เรียก ธาตุลม นี่ก็เป็นรูป ชีวิตของเราส่วนนี้เป็นส่วนของรูป
ทีนี้ เมื่อเราตายไป โยมลองนึกดูว่า ธาตุอะไรไปก่อน พอคนตายไป ธาตุลมไปก่อน ลมหายใจไม่มีแล้ว ที่หมอเขาบอกคนตายๆ ลมหายใจไม่มีแล้ว พอลมหายใจไม่มี ต่อไปธาตุไฟก็ตามไป มันเย็น ตอนที่ธาตุไฟอยู่ ตัวก็อุ่นอยู่ พอธาตุลมไปแล้ว ธาตุไฟก็ค่อยตามไป ต่อไปก็ธาตุน้ำ น้ำจะออกจากร่างกายของคนตาย เป็นน้ำเหลือง น้ำเน่า ต่อไปก็เป็นธาตุดิน เป็นกระดูก เป็นอะไร กว่าจะละลาย ธาตุเหล่านี้ อยู่ในชีวิตของเราเป็นส่วนของรูป เป็นขันธ์
ทีนี้ เวทนา คือ ความรู้สึก มีอยู่ ๓ ชนิด สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา สุขเวทนา คือ เวทนาที่รู้สึกว่าสบาย ทุกขเวทนา รู้สึกไม่สบาย
อทุกขมสุขเวทนา รู้สึกเฉย ๆ
สัญญา สัญญาในเบญจขันธ์ คือ จำได้ หมายรู้ จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำโผฏฐัพพะ จำอารมณ์ต่างๆ แต่สัญญามีความหมายมากกว่านี้ เช่นสัญญาวิปลาส สัญญาวิปลาส คือ เข้าใจผิด เพราะว่า กิเลส อวิชชา มันเข้ามาอยู่ในจิตใจ ไม่ได้เป็นความจำธรรมดา แต่เป็นความสำคัญผิด เป็นอิตถีสัญญา สำคัญว่าเป็นผู้หญิง ปุริสะสัญญา สำคัญว่าเป็นชาย อัตตสัญญา สัญญาว่ามีตัวตน สุภสัญญา สำคัญว่างาม นิจจสัญญา สำคัญว่าเที่ยง ที่เขาเรียกกันว่า สัญญาวิปลาส
สัญญาอันนี้ทำงานคู่กับสังขาร ที่ทำให้เราเป็นทุกข์ ถ้าลำพังสัญญาล้วน ๆ ไม่เป็นไร เห็นรูป จำรูป ฟังเสียง จำเสียง จำกลิ่น มันไม่ปรุงให้เกิดกิเลส แต่ว่าเมื่อใดอวิชชาเข้ามาในจิตใจของเรา แล้วมันมาปรุง อวิชชามันเข้ามาตอนที่เวทนามันเกิด เวทนาจะเกิดหลังจากผัสสะแล้ว โยมต้องคอยจำไว้ ถ้ายังไม่มีผัสสะ เวทนาจะเกิดไม่ได้ สัญญาจะเกิดไม่ได้ สังขารจะเกิดไม่ได้ แต่พอผัสสะแล้ว เวทนาเกิด เราไม่มีการฝึก ไม่มีการปฏิบัติ ไม่มีสติสัมปชัญญะ อวิชชาก็เข้ามาตรงนี้ ทำงานร่วมกับสัญญา เป็นสัญญาวิปลาส
วิปลาส ภาษาธรรมดาคือ คนบ้า คนเสียสติ วิปลาส สติวิปลาส อันนี้ไม่ใช่บ้าอย่างนั้น แต่มันยังวิปลาส คล้ายๆคนบ้า เห็นว่าเป็นหญิง เห็นว่าเป็นชาย เห็นว่าเป็นสัตว์ เห็นว่าเป็นบุคคล อิตถีสัญญา ปุริสะสัญญา อัตตสัญญา นิจจสัญญา สุภสัญญา เป็นสัญญาที่ผิด เป็นสัญญาที่ประกอบด้วยกิเลส
ทีนี้ก็สังขาร สังขารในเบญจขันธ์ คือ คิดนึก คิดนึกถึงรูป คิดนึกถึงเสียง คิดนึกถึงกลิ่น คิดนึกถึงรส ถึงโผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ นี่ธรรมดา แต่ถ้าอวิชชามันเข้ามาอยู่ มันเป็นสังขารอีกชนิดหนึ่ง มันปรุงจิต ให้เป็นบาป เป็นอกุศล เขาเรียกว่า อปุญญาภิสังขาร บางทีคิดในทางที่ดี แต่ยังเป็นกิเลสอยู่ เรียกว่า ปุญญาภิสังขาร และอเนญชภิสังขาร ปรุงได้หลายอย่าง ทำงานร่วมกัน เวทนา สัญญา สังขาร ทำงานร่วมกันกับวิญญาณ ที่สำคัญถ้าไม่มีวิญญาณ เวทนาก็เกิดไม่ได้ สัญญาก็เกิดไม่ได้ สังขารก็เกิดไม่ได้ ต้องมีวิญญาณ วิญญาณ ญาติโยมทั้งหลายต้องเข้าใจ ไม่ใช่วิญญาณอย่างคนทั้งหลายเข้าใจว่าเป็น วิญญาณผี วิญญาณล่องลอย วิญญาณที่ออกจากร่างไปสิงสถิตอย่างนั้น ไม่ใช่พุทธศาสนา
วิญญาณในพุทธศาสนา คือ วิญญาณในเบญจขันธ์ คือ วิญญาณธาตุ เป็นธาตุรู้ หรือธาตุจิต จิตมโนวิญญาณ ใช้แทนกันได้ เรียกว่าจิตบ้าง เรียกว่ามโนบ้าง เรียกว่าวิญญาณบ้าง วิญญาณธาตุอาศัยอยู่ในรูปธาตุ ถ้าไม่มีรูป วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีเวทนา วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ ไม่มีสัญญา วิญญาณตั้งอยู่อยู่ไม่ได้ ไม่มีสังขาร วิญญาณตั้งอยู่ไม่ได้ เรียกว่า วิญญาณฐิติ ที่ตั้งของวิญญาณ ก็คือรูป คือเวทนา คือสัญญา คือสังขาร วิญญาณอาศัยสิ่งนี้ จึงทำงานได้ แต่เช่นเดียวกัน ถ้าไม่มีวิญญาณ มีแต่รูป ก็คือท่อนไม้ คือคนที่ตาย วิญญาณปราศจากร่างแล้ว ไปจากร่างแล้ว ก็เป็นท่อนไม้ เวทนาก็เกิดไม่ได้ สัญญาก็เกิดไม่ได้ สังขารก็เกิดไม่ได้
เพราะฉะนั้น ในชีวิตของเรามันมี ๕ ขันธ์ หรือ ๕ กองอยู่เนี่ย ทีนี้ที่ร้ายกาจที่สุด มันมีกิเลสเข้ามา แล้วก็มายึด มายึดเอาเบญจขันธ์ว่าเป็นเรา เป็นของเรา ทำให้เราต้องเป็นทุกข์
ทีนี้ กิเลสนี้มันลึกมาก เป็นกิเลสที่ว่าเคยชินอนุสัย แล้วมันก็ปรุงให้เป็นกิเลสหยาบ คือ ตัวตน เห็นแก่ตัว ที่เห็นแก่ตัวนี้ มาจากรู้สึกว่ามีตัวตน พอเห็นแก่ตัวเท่านั้น ปัญหามันเกิด แก้ไขไม่ได้ด้วยวิธีธรรมดา
ปัญหาที่มีมากในสังคม โลกมนุษย์ปัจจุบัน เพราะคนเห็นแก่ตัว การเห็นแก่ตัวมาจากรู้สึกว่ามีตัวตน จะเอาอะไรมาขจัดความรู้สึกว่าตัวตนได้ ความรู้ธรรมดาที่เรียนมาในโลกนี้ ไม่มี ไม่มีความรู้จากวิชาแขนงไหน จากประเทศไหน ที่จะถอนความรู้สึกเอาตัวตนออกไปได้ นอกจากพุทธศาสนา
ความรู้ของพุทธศาสนาเป็นความรู้ที่จะช่วยสัตว์โลก แล้วใครจะเป็นผู้รักษา ก็ชาวพุทธนี่เอง ถ้าเราเป็นชาวพุทธ ไม่รักษาสิ่งนี้เอาไว้ เราเองก็ไม่ได้รับประโยชน์ พี่น้องเพื่อนฝูงก็ไม่ได้รับประโยชน์ ประเทศชาติก็ไม่ได้รับประโยชน์ โลกก็ไม่ได้รับประโยชน์
ฉะนั้น ขอให้โยมพอใจว่า เราได้มาปฏิบัติธรรม สร้างความเป็นพุทธบริษัทให้เข้มแข็งขึ้นๆ ชาวพุทธแต่ละคน สามารถเอาชนะกิเลสได้ด้วยตนเอง แล้วสอนผู้อื่นได้ด้วย ช่วยกันทำ ช่วยกันเผยแผ่ พระพุทธเจ้าหวังอย่างนี้ว่า สาวกของพระองค์เข้มแข็ง พระองค์ก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว ถ้าพูดภาษาธรรมดา ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว อย่างพ่อแม่หาทรัพย์ หาสมบัติเอาไว้ ลูกหลานเป็นคนดี มีความสามารถ พ่อแม่ตายก็หลับตาตายได้ พระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน
พระองค์ก็วางใจได้แล้วว่า สิ่งที่พระองค์ค้นพบ พุทธบริษัทจะช่วยรักษากันไว้ได้ เพราะฉะนั้น อาตมามองว่า พระพุทธศาสนาจะไม่หมดไปจากโลก อย่าไปเชื่อหนังสือบางเล่มว่า พุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปี จะหมดอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่จริง เป็นหนังสือที่เขียนชั้นหลัง พระพุทธเจ้าไม่เคยตรัสอย่างนี้ พระองค์ตรัสว่า ถ้าโลกยังเป็นอยู่โดยชอบ โลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์
ตราบใดที่คนมีทุกข์อยู่ คนก็ต้องแสวงหา จึงเป็นเหตุให้พวกฝรั่งเข้ามาสนใจพุทธศาสนามากขึ้นทุกทีๆ เพราะว่าเขาเอาไปปฏิบัติ มันเกิดประโยชน์ ได้รับประโยชน์
ทีนี้พวกเราได้ศึกษา ปฏิบัติพุทธศาสนาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย มาหลายร้อยปี เป็นพันปีแล้ว ก็ควรจะช่วยกันรักษาสืบต่อ ถ้าญาติโยมทั้งหลาย มองเห็นความสำคัญ ก็จะพอใจในการที่จะปฏิบัติ เพราะปฏิยัติ เรียนรู้อย่างเดียวไม่พอ ต้องเรียนรู้ให้ถูกด้วยว่า คำสอนของพุทธเจ้าที่จะช่วยโลกได้จริงๆ มันเพื่อที่จะให้ทุกข์มันลด และความโลภ ความโกรธ ความหลง มันลด
บุญอยู่ในระดับทำดี มันมีประโยชน์ ไม่ทำความชั่ว ทำความดี ทำบุญ สร้างกุศล ถวายทาน ถวายเงินอะไรต่างๆ มันอยู่ในขั้นดี แต่มันยังดับทุกข์ไม่ได้
ดังนั้น การที่จะทำบุญ ให้เงินให้ทองแก่วัดแก่วา ต้องรู้จักประมาณเหมือนกัน อย่าเมาบุญ อย่าบ้าบุญ บางคนบริจาคหมดเนื้อหมดตัว เสร็จแล้ว ก็ไม่มีที่พึ่งเลย ยกตัวอย่างว่า ยกที่ดินให้ท่านสมภาร ตอนที่ท่านสมภารนี้ยังอยู่ ไม่เป็นไร เพราะว่าท่านสมภารก็รู้จัก ให้ไปปลูกบ้านในวัดได้ แต่พอสมภารท่านนี้ตายไปแล้ว สมภารใหม่ไม่รู้จัก ทีนี้จะลำบาก
ดังนั้น อุบาสก อุบาสิกา มีทรัพย์มีเงินทอง จะบริจาคให้วัดให้วา ต้องรู้ว่าวัดเอาไปทำอะไร เกิดประโยชน์ส่งเสริมให้คนปฏิบัติธรรมเพื่อความดับความทุกข์หรือเปล่า ต้องมองเห็นชัดเจนด้วย
ตอนนี้วัดต่างๆ พระสงฆ์ต่างๆ มีปัญหามาก เรื่องมีทรัพย์กันมากๆ เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันคิดเหมือนกันว่า รักษาพุทธศาสนากันไว้อย่างไร สมมติว่า ชาวต่างประเทศเขาเข้ามาในเมืองไทย ฝรั่งเข้ามาในเมืองไทย วัดทั่วๆไปเขาเข้าไป เขาไม่ได้รับประโยชน์ เขาไปดูศิลปะ โบสถ์ วิหาร พระพุทธรูปอะไรต่างๆ ลักษณะดูศิลปวัฒนธรรม แต่ฝรั่งที่สนใจปฏิบัติ เขาจะไม่หาวัดอย่างนั้น เขาจะไปหาที่ๆจะฝึกสมาธิ ไปอยู่วัดป่า อย่างพระสายอาจารย์ชา มีฝรั่งไปอยู่ค่อนข้างจะมาก ก็เป็นสายพระป่า
อันที่จะอยู่ในบ้านในเมืองมีน้อยมาก ที่ฝรั่งมาบวชอยู่ในบ้านในเมือง อาจจะมีส่วนน้อย อยู่นานๆ ก็ติดในลาภสักการะ ฉะนั้น ตัวพุทธศาสนาจริงๆ มันก็เพื่อดับทุกข์นี่เอง
เพราะฉะนั้น เราพุทธบริษัทต้องเข้มแข็ง ต้องมีความรู้ที่จะรักษาพุทธศาสนา จะรักษาส่วนไหน ไม่ใช่รักษาศาสนวัตถุ พุทธศาสนาระดับศาสนวัตถุ มันก็มีประโยชน์ แต่เราก็รักษาได้ชั่วคราวเท่านั้น โบสถ์ วิหาร เจดีย์ ก็ชั่วคราวเท่านั้น
การรักษาพุทธศาสนาให้ยั่งยืน ถาวร ต้องรักษาคำสอนที่ถูกต้อง ต้องรักษาด้วยการปฏิบัติ และชักชวนกันปฏิบัติ โลกปัจจุบันนี้มันเป็นโลกที่วุ่นวาย วัตถุนิยม คนดูโทรทัศน์ มีแต่อารมณ์โลภๆ ในบ้านในเมือง หนวกหูด้วยเสียงต่างๆ
ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันอีก เสียงได้ยิน ก็สักว่าชัดตามธรรมชาติ หูก็ไม่ใช่เรา ไม่มีผู้ฟัง เสียงก็ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา นี่คือวิธีที่จะให้จิตปกติ ไม่หงุดหงิด ไม่รำคาญ แต่ว่าถ้าเสียงมันเงียบสงบ มันก็ดี เขาเรียกกายวิเวก ก็ส่งเสริมให้จิตมันก้าวหน้า ไม่ต้องต่อสู้มันมาก ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติ คงใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง