แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
พวกเราที่มาปฏิบัติธรรมอยู่ที่ทีปภาวัน ญาติโยมทั้งหลายจะสังเกตเห็นได้ว่าสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวเรา มันมีอิทธิพลต่อจิตใจมาก สิ่งแวดล้อมเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่เกี่ยวข้องกับจิตใจของเรา ชีวิตของเรา โดยสรุปคือกายหนึ่ง
ใจหนึ่ง นามและรูป รวมเป็นชีวิต และในชีวิตของเรา มีประตูสำหรับรับรู้ติดต่อ ๖ ทาง คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกว่าทวาร๖ อีกชื่อหนึ่งคืออินทรีย์ อินทรีย์แปลว่าเป็นใหญ่ ก็มี ๖ เช่นเดียวกัน ของอย่างเดียวกัน มีสองชื่อ สามชื่อ ทวาร๖ อินทรีย์๖ อายตนะ๖
คนทั่วไปถ้าไม่สนใจศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนา ก็ไม่รู้ว่าตัวเองมีอะไรบ้าง ในชีวิตของเรา มีอะไรบ้างที่สำคัญที่สุด ก็คือสิ่งนี้ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เพราะฉะนั้นในพระพุทธศาสนาเรียกว่าสำคัญมากคือ สำรวมอินทรีย์ ควบคุมอินทรีย์ เพราะว่าเมื่ออินทรีย์ถึงกับอารมณ์ อินทรีย์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถึงกับอารมณ์ คือสิ่งที่อยู่ข้างนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จะทำอารมณ์กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับใจ ในใจ เมื่อสองสิ่งนี้ถึงกัน ก็ทำให้เกิดผัสสะมา
กระทบ สำคัญมากที่ผัสสะ แต่คำว่าผัสสะ ต้องประกอบด้วยสิ่ง ๓ สิ่ง คือ ตาหนึ่ง รูปหนึ่ง แล้วก็วิญญาณหนึ่ง ๓ สิ่งที่เรียกว่าผัสสะ พอผัสสะแล้ว จะเกิดสิ่งต่างๆตามมา คือเกิดเวทนา เกิดสัญญา เกิดสังขาร แล้วก็ดับไป
ในชีวิตประจำวัน คนทั่วไปไม่มีความรู้ แต่ว่าสิ่งนี้สำคัญที่สุด เพราะว่าตรงผัสสะนั่นเอง เป็นที่มาของกิเลส กิเลสจะเข้ามาสู่จิตใจ ก็เมื่อผัสสะมันเกิด เวลาเรานอนหลับ จิตมันหยุดพักผ่อน ไม่ตาย ภาษาทางธรรมะ เขาว่ามีแต่ภวังคจิต คือจิตที่มีอยู่ แต่มันไม่ลุกขึ้นทำงาน เป็นภวังคจิต แต่ว่าตอนจิตลุกขึ้นทำงาน มันก็รับรู้สิ่งต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูได้ยินเสียง จิตก็ลุกขึ้นทำงาน ก็ทำให้เกิดผัสสะ พอผัสสะแล้วจะเกิดเวทนา เวทนานี่ตัวร้ายที่สุด สัตว์ทั้งหลาย คนทั้งหลาย ตกอยู่ใต้อำนาจของเวทนานี้เอง
แต่เวทนามันมี ๓ เวทนา หนึ่ง สุขเวทนา รู้สึกว่าสบายใจ พอใจ ทางกายก็มี ทางใจก็มี สอง ทุกขเวทนา คือรู้สึกไม่สบายใจ รู้สึกไม่สบายกาย เป็นทุกขเวทนา สาม อทุกขมสุขเวทนา เวทนากลางๆ ไม่สามารถจะจัดว่าเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ แต่มันพร้อมที่จะเปลี่ยน
สิ่งเหล่านี้มีในชีวิตของเราและเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เป็นเรื่องเป็นเรื่องตายทีเดียว เรื่องสุขเรื่องทุกข์มาอยู่ที่ตรงนี้ ทีนี้พอผัสสะแล้ว เวทนามันเกิด ตรงนี้เป็นโอกาสของกิเลส ของพญามาร กิเลสตัวร้ายที่สุดเป็นจอมพญามาร ก็คืออวิชชา อวิชชาแปลว่าไม่มีความรู้ วิชาคือความรู้ อะคือไม่ ไม่มีความรู้ แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ธรรมดา ความรู้ธรรมดา คนเล่าคนเรียนรู้กันเยอะ ความรู้ที่ชาวโลกเขาเล่าเรียน เอามาทำให้เกิดวัตถุต่างๆมากมาย มาจากวิชาความรู้
สมัยโบราณนานไกล มนุษย์ที่ยังไม่เจริญ อยู่ในถ้ำ วัตถุอย่างที่เราเห็นมันไม่มี แต่เดี๋ยวนี้วัตถุมันสมบูรณ์ มันอย่างหูทิพย์ตาทิพย์ เอาไปได้ง่ายๆ ที่กล่าวไว้ในคัมภีร์เหาะเหินเดินอากาศ เดี๋ยวนี้เป็นของธรรมดา ใครมีสตางค์ก็นั่งเครื่องบินได้ ใครอยากจะคุยกันไกลๆก็ใช้โทรศัพท์มือถือได้ ไม่ต้องจ่าย การจะเห็นหน้าใคร ใช้พวกนี้เห็นได้ ก็มาจากความรู้ เป็นวิชาแขนงหนึ่งๆ แต่ความรู้ขนาดนี้ดับทุกข์ไม่ได้เพราะยังมีอวิชชาอยู่
มนุษย์เสียเวลาไปทำสิ่งที่ไม่จำเป็นขึ้นมา เพราะอวิชชา แม้เขาจะมีความรู้ มีความสามารถ แต่ไปสร้างสิ่งไม่จำเป็นขึ้นมาในโลก ทำให้คนหวาดกลัว โดยเฉพาะมีความรู้ผลิตอาวุธ ปรมาณู ระเบิดนิวเคลียร์ ผลิตขึ้นมา มีความรู้ผลิตขึ้นมา ก็คือเหลี่ยม ความหายนะที่จะเกิดขึ้นไม่วันใดวันหนึ่ง ถ้าเกิดก็ภูมิใจกันไม่ได้ อวิชชามันสร้างขึ้นมาหลายๆเรื่อง สิ่งที่ไม่จำเป็นก็ทำกันขึ้นมา
ฉะนั้นคำว่าอวิชชาหมายถึงไม่มีความรู้เรื่องอริยทรัพย์ ถ้าไม่รู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เหตุเกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ ความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ ทางถึงความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ เขาเรียกว่าอวิชชา ไม่รู้ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่มีความรู้อย่างนี้ เขาเรียกอวิชชา
คนจะมีอะไร วัตถุ สิ่งของ ที่สมมติกันว่าดีที่สุด สูงที่สุด อำนาจวาสนาบารมีอะไรต่างๆ แต่ถ้ายังมีอวิชชาอยู่ ความทุกข์ไม่มีทางจะหมดไปได้เลย
ทีนี้อวิชชาที่เป็นจอมของกิเลส เป็นตัวการที่ทำให้เราเป็นทุกข์มันจะเข้ามา เมื่อผัสสะนี้เอง โดยเฉพาะมันจะออกลูกออกหลาน พอมันเข้ามาอยู่ในใจได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่าอวิชชามันตามตก มันคอยจะตกใส่จิตใจของคนเหมือนอย่างฝนที่ตก ถ้าเราไม่มีร่มป้องกันฝน ไม่อยู่ใต้หลังคา อวิชชาจะรั่วรด มันพร้อมที่จะตกลงมาในจิตใจของคนตลอดเวลา
ทีนี้พอมันเข้ามาได้ ก็ออกลูกออกหลาน เช่น ถ้าตาเห็นรูป วิญญาณเกิด ถ้ารูปนั้นน่าพอใจ ก็เกิดสุขเวทนา นั่นคือโอกาสที่ราคะมันจะเกิด เป็นกิเลสราคะก็จะเกิดที่ตรงนั้น ถ้าเห็นรูปที่ไม่น่าพอใจ ทุกขเวทนามันเกิด โทสะมันจะเกิดคือความไม่พอใจมันเกิดในขณะนั้น ถ้ารู้สึกเฉยๆแต่ไม่มีปัญญา มีความรู้ เรียกว่า
อทุกขมสุขเวทนามันจะเกิด โมหะมันจะเกิด เราคะ โทสะ โมหะเป็นชื่อของกิเลส
ถ้ามันเข้ามาอยู่ในจิตใจของเราได้ นั่นล่ะคือพญามาร มันเข้ามายึดครองในจิตใจของเราได้ เพราะฉะนั้นสิ่งแวดล้อมก็เป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างเสียงที่หนวกหูดับอยู่ตลอดเวลาโดยเฉพาะเสียงที่คนสร้างขึ้นมา ผลิตขึ้นมา เสียงดนตรี เสียงเพลง มันมีความหมาย เสียงคลื่น เสียงลมพัดไม่ค่อยมีปัญหาอะไร แต่ว่าไม่ค่อยมีความหมายมันเป็นเสียงธรรมชาติ แต่จิตของคน พอคิดว่าเป็นเสียงธรรมชาติ เสียงฟ้าร้อง เสียงลมพัดใบไม้ เสียงคลื่นกระทบฝั่ง ไม่ค่อยมีปัญหา แต่พอเสียงเพลง เสียงดนตรี มันเป็นเสียงที่มนุษย์มันสร้างขึ้นมา มันมาจากผู้หญิง มาจากผู้ชาย เสียงร้องเพลงที่คนได้ยิน มันมีความหมาย เพราะฉะนั้นอารมณ์ต่างๆ มันมีอิทธิพลต่อจิตใจของเรา ถ้าเราอยู่ในที่เงียบๆ อารมณ์ข้างนอก ไม่เข้ามารบกวน มันก็ทำสมาธิได้ง่าย
สำหรับคนที่มีการฝึกจิตใจจนเข้มแข็งก็ไม่ค่อยรู้สึกอะไร เสียงจะดังหรือว่าอารมณ์ต่างๆมารบกวนจิตใจ จิตใจของเขาไม่หวั่นไหว เหมือนพระพุทธเจ้าตรัสว่าภูเขาหินแท่งทึบ ลมพัดมาทั้งสี่ทิศ จะทำให้ภูเขาโยกเยก คลอนแคลนไม่ได้ จิตของพระอรหันต์เป็นอย่างนั้น ไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ต่างๆ แต่อย่างไรก็ดี พระพุทธเจ้าสรรเสริญความเงียบ ความสงบมากกว่า
พระพุทธเจ้าจึงสอนสาวกของพระองค์ ให้ออกวิเวก ห่างไกลจากชุมชน เขาเรียกว่าที่วิเวก ทีปภาวันเป็นที่วิเวก เป็นที่สงบ ถ้าไม่มีเสียงข้างนอกมา
รบกวน ที่นี่จะสงบมาก พอลงไปข้างล่าง โดยเฉพาะตอนที่พระอาทิตย์สูงแล้ว ใกล้เที่ยง เวลาเที่ยง เวลาบ่าย อากาศข้างล่างจะร้อนมาก แต่อยู่บนนี้ไม่ค่อยร้อนเพราะเราอยู่กับธรรมชาติ มีต้นไม้ มีลมพัด มันเย็น เราอยู่บนนี้ได้สัมผัสธรรมชาติ
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เมื่อพระองค์อยู่ในป่า แม้จะอุจจาระปัสสาวะก็สงบเพราะคนโบราณถ่ายกันในป่า ในครั้งพุทธกาลสองพันกว่าปีก็เป็นเช่นนั้น พระภิกษุเดินทาง พระพุทธเจ้าเดินทาง ต้องการปัสสาวะอุจจาระก็ถ่ายไว้ในป่า
แต่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ว่าอย่าไปถ่ายลงในน้ำ อย่าไปถ่ายลงบนของเขียว พระองค์เคารพธรรมชาติ รักธรรมชาติมาก บัญญัติวินัยเอาไว้เลย
เพราะฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายขึ้นมาอยู่บนทีปภาวัน อาตมาคิดว่า เราโชคดีมากๆ ที่มีที่อย่างนี้เอาไว้ อาตมานึกพอใจ ถ้าไม่มีที่อย่างนี้คงหายาก อาตมาเชื่อว่า ญาติโยมที่มาปฏิบัติที่นี่ กลับไปแล้วจะรู้สึกว่า ทีปภาวันสภาพเป็นอย่างไร แต่ก็ดีความจำเป็นแห่งชีวิตของญาติโยม จะมาอยู่ในที่อย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ ต้องกลับไปอยู่ที่บ้านที่เรือน ไปทำหน้าที่การงาน
เพราะฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายมาศึกษาที่นี่ อาตมาคิดว่าจะมีประโยชน์ อยู่ที่ไหน ใจไม่เป็นทุกข์ดีที่สุด การที่เราจะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีการอบรม ต้องมีการพัฒนา โดยเฉพาะ เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ จิตรู้งาน ให้มีสติมาทันท่วงที ป้องกันจิตใจ รักษาจิตใจเอาไว้ ไม่ให้กิเลสมันเข้ามาได้ ก็คือมีปัญญา มีวิชา มีความรู้ ว่าสิ่งทั้งหลาย สังขารทั้งนั้น ไม่ใช่ของจริงอะไร สังขารทั้งนั้น ถ้าสังขารมันก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เพราะไม่มีตัวตน ก็ฝึกในชีวิตประจำวัน
ถ้ามีโอกาสก็ไปหาที่วิเวก หาที่สงบ แต่มาที่ทีปภาวันแบบนี้ ก็ฝึกง่ายขึ้น การที่เรามาปฏิบัติอย่างนี้ มาทำความเป็นพุทธบริษัทให้เข้มแข็ง พุทธบริษัทมีแต่ชื่อ มีแต่ทะเบียนมันไม่พอเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธบริษัทมันไม่พอ เราต้องอบรมให้เป็นพุทธบริษัทที่พระพุทธเจ้าทรงประสงค์ให้ได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่าอุบาสกบัวขาวบ้าง อุบาสกอุบาสิกาบัวหลวงบ้าง เรียกหลายๆชื่อ อุบาสกอุบาสิกาที่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงเรียกพุทธบริษัทว่าเป็นบุตรของพระองค์ เช่นใช้คำว่า สมณะศากยะปุตติยะ เป็นบุตรของพระมหาสมณะที่ออกจากศากยะสกุลคือพระพุทธเจ้า ออกจากศากยะสกุล ตระกูลของพระองค์ชื่อศากยะ สมณะศากยะปุตติยะ สมณะคือพระพุทธเจ้า ศากยะคือตระกูลของพระองค์ ปุตติยะคือผู้เป็นบุตร
พวกเราพุทธบริษัทจะเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า พุทธชิโนรสก็เรียก พุทธะคือพระพุทธเจ้า ชินะคือผู้ชนะมาร โอรสก็คือบุตร บุตรของพระพุทธเจ้าผู้ชนะมาร สิ่งสำคัญอันหนึ่ง สำคัญมากๆ แต่คนไม่รู้จักก็คือคำว่ามารนี่เอง
มารเป็นชื่อที่สำคัญมาก เพราะฉะนั้นบางวัด สถานที่สำคัญ เขาสร้างยักษ์ สร้างมารไว้ที่ประตูเลย สร้างมารไว้ที่ประตู การจะเข้าถึงพระ ต้องผ่านมารไปก่อน มารจริงๆคือความทุกข์นี่เอง ตัวมารคือตัวความทุกข์ ตัวกิเลส กิเลสเนี่ยมันเป็นมาร นั้นในชีวิตของเรา เราอยู่กับมารหลายๆอย่าง
ถ้าไม่ศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนา จะไม่รู้จักว่า ในชีวิตของเรามันมีทั้งพระ ทั้งมาร มีทั้งโพธิ ทั้งกิเลส คนทั่วไปไม่รู้ ไม่เข้าใจ จึงตกเป็นเหยื่อของมารตลอดเวลา คือมีแต่ความทุกข์ มารแปลว่าผู้ทำให้ตาย มาจากคำว่า มะระ มะระคือทำให้ตาย ฆ่าให้ตาย เรียกว่ามาร
จิตใจที่เร่าร้อน ที่มีปัญหาเพราะถูกมารมันทำลายชีวิตเสียแล้ว ชีวิตคือความเป็นอยู่ ความสดชื่น ความร่มเย็นคือตัวชีวิต ถ้าชีวิตมีแต่ความเร่าร้อนความวุ่นวาย ตัวชีวิตมันตายแล้ว เพราะมารมันทำลาย คือกิเลสมันทำลายแล้ว
ญาติโยมลองสังเกต ต้นไม้ที่มีชีวิต มันจะมีใบ มันจะมีดอก มันจะมีผล ต้นไม้ที่ตายแล้ว ไม่มี คนทั่วๆไปเหมือนกัน ชีวิตที่ตายแล้ว มีแต่ความเหี่ยวแห้ง มีแต่ความเศร้าหมอง มีแต่ความเร่าร้อน อย่างต้นไม้ที่มันตายแล้ว
อะไรมาทำลายก็คือมาร คือกิเลสนั่นเอง
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงแสดงเรื่องมารไว้หลายอย่าง กิเลสมาร ขันธมาร อภิสังขารมาร เทวปุตตมาร และมัจจุมาร กิเลสเนี่ยเป็นมาร เป็นมารร้ายที่สุด ขันธมาร ขันธ์ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่คือชีวิตของเราประกอบด้วยเบญจขันธ์ เบญจขันธ์ล้วนๆไม่มีปัญหา แต่พอกิเลสมันเข้ามา มาปรุงจิตใจ ให้เห็นผิด เข้าใจผิด คิดว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรา เป็นของเรา มันจะเกิดขันธมารขึ้นมาทันที แล้วมาคอยปรุงจิตใจให้อยาก เรียกว่า อภิสังขารมาร คอยปรุงจิตใจ ให้เห็นผิด ให้คิดผิด ให้เข้าใจผิด เป็นกิเลส กิเลสมารตัวร้ายที่สุด มาเป็นอภิสังขารมาร เทวปุตตมาร
คนทั่วไปที่ตายแล้ว เป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง อิจฉามนุษย์ก็มากลั่นแกล้งมาขัดขวาง อันนี้ความหมายธรรมดา แต่จริงๆ คำว่าเทวปุตตมาร เทวปุตตคือเทวดา เทวดาเป็นมาร หมายถึงคนประพฤติพรหมจรรย์ ปรารถนาจะไปเกิดเป็นเทวดาชั้นใดชั้นหนึ่ง ก็ทำให้บรรลุธรรมะไม่ได้
ทั้งการทำบุญหวังจะไปสวรรค์ ซื้อสวรรค์เนี่ย เขาไม่รู้ อันนั่นแหละเป็นเทวปุตตมาร ฉะนั้น หลายๆวัด หลายๆแห่ง ขายบุญกัน ว่าทำบุญอย่างนั้นอย่างนี้จะได้ไปสวรรค์ ไปอยู่ชั้นนั้นชั้นนี้ หลอกประชาชน หารู้ไม่ว่า นั้นไม่ใช่สิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ไปเกิดเป็นเทวดาแล้ว ก็ยังมีความทุกข์ แม้แต่เทวดาเองก็ปรารถนาจะเกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนา
เป็นชาวพุทธแล้ว ไปชักชวนโฆษณาว่า ทำบุญอย่างนี้จะไปสู่สวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี้ ชาวบ้านไม่รู้ อยากจะไปสวรรค์ ความจริงแล้วไปหามาร เทวปุตตมารมันหมายถึงความอยากที่จะไปเสวยความสุขในวิมานในชั้นสวรรค์เป็นเรื่องกามโลก ดับทุกข์อะไรไม่ได้ เสียเวลา เนี่ยคนทั่วไป ไม่มีความรู้ ก็น่าสงสารเขา ขายสวรรค์
ทีนี้ มารที่สำคัญ มัจจุมาร มารคือความตาย ความตาย ความจริงเป็นธรรมชาติของสังขาร ถ้าเป็นสังขาร เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป แตกดับ ชีวิตของเราเป็นสังขาร แต่ถ้ายังเห็นว่ามีตัวมีตน ก็รู้สึกว่ามีความตาย ความตายเลยกลายเป็นมาร มัจจุมาร มารเหล่านี้ มีในชีวิตของเรา เรียกว่าเกือบตลอดเวลาสำหรับคนทั่วไป แต่พระอริยเจ้าท่านเอาชนะมารแล้ว
พระพุทธเจ้า พระศาสดาของชาวพุทธ ศาสดาของพวกเราได้บอกทางไว้แล้ว สำหรับเอาชนะมาร ก็คือ อริยมรรคมีองค์แปด ที่เรามาปฏิบัติอยู่นี้ อริยมรรคมีองค์แปด สัมมาทิฐิ เห็นชอบ สัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ สัมมาวาจา พูดจาชอบ สัมมากัมมันตะ การงานชอบ สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายามะ เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ
แล้วเรามาปฏิบัติสิ่งนี้ ในมรรคทั้งแปดนี้ ต้องทำให้รวมตัวกันเป็นมัคคสมังคี แต่ละองค์ๆมารวมตัวกันเป็นกำลัง วิธีปฏิบัติคือเจริญสมถะและวิปัสสนา
ญาติโยมทั้งหลายได้มีโอกาสปฏิบัติอยู่นี้เอง พออบรมจิตให้ได้สมาธิมา ก็อบรมวิปัสสนา เอาสิ่งที่มีในชีวิตของเรา รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เอาเบญจขันธ์ มาเป็นเครื่องมือ เอาอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมาเป็นเครื่องมือ เอาทวารทั้งหก จักขุทวาร โสตทวาร ฆานทวาร ชิวหาทวาร กายทวาร มโนทวาร คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมาตามดู ให้จิตมีสมาธิเพียงพอ ก็จะเห็นตามที่เป็นจริง
จิตมันก็สูงขึ้น พอสูงขึ้น มันก็เห็นกิเลสเหมือนอย่างขึ้นภูเขาไปดูงูเห่าลอกออก ถอดออก มันมีลักษณะอย่างนี้ แล้วก็ฆ่ามันให้ตาย คือฆ่ากิเลส ด้วยอำนาจของสมถะและวิปัสสนา
เอาล่ะต่อไปนี้ เป็นโอกาสปฏิบัติกัน วันเวลามันไม่รอใคร ผ่านไปๆ ลมหายใจเข้าออก เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ให้ญาติโยมทั้งหลายได้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ได้อยู่ในปัจจุบันธรรม อดีตก็ผ่านไปแล้ว อนาคตก็ยังไม่มา ให้อยู่กับปัจจุบัน
ถ้าจิตของญาติโยมอยู่กับลมได้ ก็ได้อยู่กับปัจจุบัน หายใจเข้าก็ตามไปจากปลายจมูกมาที่ท้อง หายใจออกจากท้องก็ตามมาที่ปลายจมูก ติดตาม ก็ได้อยู่กับปัจจุบันธรรม พอตามดูไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นว่าลมหายใจเข้าออก มันจะเกิดดับๆ
ถ้าเห็นตามไปอย่างนี้ เนี่ยคือสัมมาทิฐิ ปฏิบัติอย่างนี้เป็นสัมมาสังกัปปะ เพราะจิตดำริถูกต้อง ไม่ดำริในกาม ไม่ดำริในพยาบาท ไม่ดำริในการเบียดเบียน เป็นสัมมาสังกัปปะ ความเพียรพยายามอย่างนี้ เป็นสัมมาวายามะ สติอยู่อย่างนี้เป็นสัมมาสติ สมาธิในขณะนี้ เป็นสัมมาสมาธิ ส่วนสัมมาวาจากัมมันตะ มันสมบูรณ์อยู่เองเป็นส่วนของจิต
ฉะนั้นศีล สมาธิ ปัญญามารวมตัวกัน เป็นกำลัง ขจัดมารดังที่กล่าวมาแล้ว ขอให้ญาติโยมพอใจในการที่จะปฏิบัติ ตั้งใจปฏิบัติกันต่อไปนี้