แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ แม้บวชเก่าบวชใหม่ รวมทั้งอุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ตั้งใจเตรียมตัวปฏิบัติธรรม เวลาที่ดีที่สุดคือเวลาหัวรุ่ง ผมกลับมาจากเกาะสมุยเมื่อวานถึงเกือบค่ำแล้ว ที่ไปเกาะสมุยเพราะมีภารกิจและมีฝรั่งมาเข้าคอร์สอบรมที่ทีปภาวัน ผมก็เป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะการทำงานกับชาวต่างประเทศ
ผมไปมีที่ปฏิบัติธรรมอย่างหลายๆ องค์ก็ทราบอยู่แล้ว ที่ทีปภาวัน วันที่ 20 – 27 มีการอบรมชาวต่างประเทศ ที่ทีปภาวันนี่มีอบรมชาวต่างประเทศ 3 ครั้งด้วยกัน แต่ละเดือนมีอบรมฝรั่งทั่วไป ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ใช้พูดใช้อธิบายสอนกัน อบรมชาวรัสเซียใช้ภาษารัสเซีย อีกครั้งหนึ่งผมไปในช่วงอบรมฝรั่งทั่วๆ ไป อีกครั้งหนึ่งไม่ได้ไปเพราะว่ามันมากเกินไป ในช่วงที่ผมไปอยู่ที่เกาะสมุย ผมก็ถือโอกาสปฏิบัติธรรมกับฝรั่ง เรียกว่าทุกวัน โดยเฉพาะเวลาหัวรุ่ง ตี 5-6 นาฬิกา นอกจากนั้นผมออกไปปฏิบัติธรรมที่อื่น ออกไปทุกวันเหมือนกัน ไปร่วมกับชาวนาผึ้งเกาะสมุย ที่วัดนั้นวัดนี้ออกไปทุกวัน
ในช่วงที่ผมอยู่ที่เกาะสมุย ผมก็เป็นห่วงพระนวกะ คือพระใหม่ที่บวชเข้ามาในพรรษานี้ แต่ก็รู้สึกเบาใจว่ามีพระเก่าๆ หลายๆ รูปคอยเป็นพี่เลี้ยงอยู่ มีรองเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระที่บวชกันมาหลายๆ พรรษาแล้ว ช่วยเป็นตัวอย่าง ช่วยเป็นพี่เลี้ยง ก็รู้สึกเบาใจ ผมกลับมายังไม่ได้ถามว่ามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่ผมคอยถามคนอื่น โดยเฉพาะนายพันที่ผมติดต่อกับนายพัน นายพันเข้าวัดทุกวัน ถามว่าเป็นไงบ้าง พวกเราที่อยู่กันที่สวนโมกข์ก็พากันบอกว่าไม่มีปัญหาอะไร ผมก็ดีใจ
เนี่ยพวกเราเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนามามีสิกขาสาชีพ กองทัพภิกษุทั้งหลาย สิกขาสาชีพคืออาชีพของนักบวชมาเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนา หน้าที่ของพวกเราคือ ประพฤติพรหมจรรย์ มาพัฒนาชีวิตให้เป็นเนื้อนาบุญของประชาชน พวกพระสงฆ์เหล่านี้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ญาติโยมเขาเลี้ยงดูเราเขาก็มีความพอใจประทับใจที่บริจาคช่วยเหลือพวกเราให้อยู่ได้ อาชีพของเราไม่ได้ทำมาค้าขาย ไม่ได้หาเงินหาทอง ไม่เหมือนกับฆราวาสทั่วไป ที่เขามีอาชีพต่างๆ เขาทำงานทำการกัน
ผมไปอยู่เกาะสมุย กลางคืนมองไปในทะเล เห็นท้องทะเลสว่างไปหมดเลย ก็พวกชาวประมงก็ไปหาปูหาปลา เผชิญคลื่นเผชิญลมก็ว่ามีทุกคืนอาชีพของชาวประมง บางเวลาก็นั่งรถไปเจอวัดนั้นวัดนี้ ผ่านร้านตลาดเห็นคนพ่อค้าแม่ขายว่าประจำอยู่ที่ร้านคอยชี้ขายของ คอยลูกค้าว่ามาซื้อของเมื่อไหร่ อาชีพคนทำมาค้าขาย อาชีพข้าราชการ อาชีพนักการเมือง นักการเมืองเขาก็ทำหน้าที่อย่างนักการเมือง ตอนนี้เห็นข่าวว่ามีการแถลงนโยบายของรัฐบาลที่เข้ามาใหม่ก็มีการอภิปรายกัน ก็เป็นอาชีพของนักการเมืองต้องทำอย่างนั้น อาชีพของครูอาจารย์ ก็ต้องสอนลูกศิษย์ลูกหาตามสถาบันการศึกษา โรงเรียนประถม มัธยม อุดมศึกษา มหาวิทยาลัย พวกคณะครูบาอาจารย์ก็ทำหน้าที่ของเขา เป็นทหารเป็นตำรวจ อาชีพมันคนละอย่างๆ
อาจารย์พุทธทาสพูดว่า ถ้าไม่ทำอาชีพมันก็ไม่มีการปฏิบัติธรรม อย่างไก่เนี่ย ถ้ามันไม่ขัน อาตมาว่าเป็นไก่ที่ป่วย ไก่เนี่ยพอหัวรุ่งมันก็ขัน ตัวผู้มันก็ขัน ไอ้ตัวเมียมันไม่ขัน ตัวผู้มันก็ต้องขันเป็นธรรมชาติของสัตว์ อย่างนกร้อง เสียงไก่ขัน สุนัขก็เหมือนกัน คนเข้ามามันก็เห่า หน้าที่ของสัตว์ สุนัขมันอยู่กับเจ้าของ ถ้าใครเข้ามามันก็เห่า บางทีมันก็กัดเอาก็ได้ เพราะมันไม่ไว้ใจว่าคนที่เข้ามาจะมาดีมาร้าย แม้แต่สัตว์มันก็ทำหน้าที่ เป็นแมลง ผึ้ง เช้าๆ ก็ต้องออกไปหาน้ำหวาน พอสว่างมันก็ไป ไปเที่ยวเอาน้ำหวานจากดอกไม้ เป็นพวกแมลง ผึ้ง ตัวปลวก ตัวมด ตัวแมลง มันก็ทำหน้าที่กันอย่างนั้น
ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงพูดว่า การปฏิบัติธรรมคือการทำหน้าที่ ถ้าเราไม่ทำหน้าที่ มันก็ไม่สมบูรณ์ หน้าที่ของเราที่มาบวชในพุทธศาสนา มีอาชีพเลี้ยงชีวิตด้วยศรัทธาของประชาชน ถ้าประชาชนไม่ศรัทธา เราก็อยู่กันไม่ได้ เนี่ยพวกเราอยู่กันที่สวนโมกข์ทั้งหมด 60 กว่ารูป มีแม่ชี มีอุบาสิกา บางวัน 100 กว่าชีวิต อยู่กันที่สวนโมกข์ ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือมันอยู่ไม่ได้ ก็ต้องกินต้องอยู่ ชีวิตของเรามันต้องอาศัยปัจจัย 4 อย่างอาหาร ก็ต้องฉันทุกวัน เรื่องจีวรที่ห่มใส่ ไม่ค่อยมีปัญหา พระสงฆ์เราใช้จีวร 3 ผืน บางทีใช้เป็นปีๆ เลย ไม่ต้องเปลี่ยน ก็น่าสังเกตว่าสังคมยอมรับ อยู่ที่ว่าไปที่ไหน แม้แต่เข้าไปในมหาพระราชวังก็ห่มจีวรชุดนี้แต่ว่าสีต้องเหมาะสม
ได้ยินว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีสถาปนาพระราชาคณะหลายๆ รูป เช่น ท่าน ว.วชิรเมธี ก็ได้เป็นพระราชาคณะ ในคราวนี้วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 วันที่ 28 ที่วัดของเราก็มีกิจกรรมที่บำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เราก็ทำกันมาทุกปี ปีนี้ก็เป็นหน้าที่ ผมเคยเข้าวังมา 2 ครั้ง ห่มจีวรแบบนี้ จีวรที่ห่มอยู่ในวัดนี้เข้าในวังก็ห่มแบบนี้ ไปที่ไหนก็ห่มแบบนี้ จีวรของพระสงฆ์ที่เราใช้มานุ่งมาห่มเนี่ย พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงอนุญาตให้เราห่มจีวร 3 ผืน อันเครื่องนุ่งห่มไม่ค่อยสำคัญเท่าไหร่ แต่เรื่องอาหารนี่ต้องขบต้องฉันเป็นเรื่องที่สำคัญ อาหาร จีวร เสนาสนะ ที่อยู่ที่อาศัย พวกเราก็สะดวกพอสมควร
เปรียบเทียบกับฆราวาสอยู่ที่บ้านที่เรือน มีค่าใช้จ่าย การใช้ไฟฟ้าก็ต้องเสียค่าไฟฟ้า เนี่ยทางวัดก็ต้องเสียค่าไฟแต่ละเดือนๆ ก็ไม่น้อยเหมือนกัน มันก็ต้องประหยัด ต้องประหยัดไฟ ผมอยู่ที่กุฏิเนี่ยถ้าผมไม่ได้ทำอะไร ผมปิดไฟตลอด ใครไปที่กุฏิผม มันจะไม่รู้ว่าผมอยู่ข้างใน เพราะว่าปิดไฟตลอด เว้นไว้แต่ว่าอ่านหนังสือต้องการจะใช้แสงสว่าง นอกนั้นผมปิดไฟตลอด ประหยัด พวกเราก็เช่นเดียวกัน ขอช่วยประหยัดเรื่องน้ำเรื่องไฟ ก็เป็นค่าใช้จ่ายทั้งนั้น ที่อยู่อาศัย ผมได้หลักที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเคยสอนเอาไว้ว่า ทำอะไรต้องให้มันคุ้มค่า อย่าทำอะไรให้ไม่คุ้มค่า จะเป็นจีวร จะเป็นเสนาสนะ เป็นอะไรต่างๆ พยายามเอาใจใส่ ระวังดูแลรักษา เป็นการกตัญญูกตเวทีแม้แต่ตัววัตถุสิ่งของก็ปฎิบัติกันอย่างนี้
ที่สำคัญที่สุดใช้โอกาสฝึกฝนอบรมสมาธิภาวนาซึ่งเป็นตัวพรหมจรรย์ หัวใจของพรหมจรรย์ก็คืออริยมรรคมีองค์ 8 สัมมาทิฏฐิเห็นชอบ สัมมาสังกัปโปดำริชอบ สัมมาวาจาพูดจาชอบ สัมมากัมมันโตการงานชอบ สัมมาอาชีโวเลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโมพากเพียรชอบ สัมมาสติระลึกชอบ สัมมาสมาธิตั้งใจมั่นชอบ นี่คือตัวพรหมจรรย์เป็นทางสายกลาง เป็นมัชฌิมาปฏิปทา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ปฏิบัติในทางสายกลาง
เพราะฉะนั้นการที่เราเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา มีอาชีพเป็นนักบวช สิกขาสาชีพของพระภิกษุทั้งหลาย ภิกษุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร ผมนั่งรถมาเมื่อวาน นายพันก็เปิดฟังเสียงที่เขาโต้กันในสภา ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องธรรมดาทั้งนั้น เรื่องความเป็นอยู่ของประชาชน เรื่องอะไรต่างๆ ปัญหาต่างๆ ปัญหายากจน ปัญหาเศรษฐกิจ ปัญหาเรื่องธรรมดาทั้งนั้น ผมเชื่อว่าทั่วโลกในสภาก็เถียงกันในเรื่องธรรมดา สมมุติว่าประชาชนทุกคนมีกินมีใช้ ไม่ยากไม่จน แต่ว่าปัญหาในชีวิตก็ยังมีกันทุกคน แต่ว่าคนทั่วไปไม่ได้สนใจสูงขึ้นมาถึงระดับนี้ สนใจแต่เรื่องกินเรื่องอยู่เรื่องธรรมดา เรียกว่าสนใจแต่เรื่องโภคทรัพย์ ธนทรัพย์ ต้องการให้ทุกคนร่ำรวย มีเงินมีทอง ไม่เป็นหนี้เป็นสิน เป็นเรื่องธรรมดา โลกียทรัพย์ ธนทรัพย์ โภคทรัพย์ ไม่สนใจอริยทรัพย์ โลกุตรทรัพย์นี่ไม่ค่อยจะมี
ปัญหาสังคมของคนทั่วไปเนี่ย ที่มีปัญหาเนี่ยมันมาจากกิเลส ปัญหาต่างๆ เนี่ยมาจากจิตใจของแต่ละคนนั้นเอง มีการถกการเถียงกัน มีการทะเลาะกัน แม้สมาชิกสภาก็ยังแสดงออกอย่างนี้ก็มาจากกิเลสทั้งนั้น พระสงฆ์ในวัดในวาก็เหมือนกัน บางทีทะเลาะกันก็มาจากกิเลสทั้งนั้น ในครอบครัวต่างๆ มีการทะเลาะวิวาท สามีภรรยาหย่าร้างก็เพราะกิเลสทั้งนั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ พระองค์รู้จักหนทางแนวทางที่จะออกจากกิเลส เพราะฉะนั้นพวกเรามาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ก็ต้องมุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฎิบัติธรรม เอาชนะกิเลส พระพุธเจ้าก็ได้ทรงแสดงอธิบายมาแล้ว ก็จะบอกที่เป็นนักบวชให้สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจร เห็นภัยในโทษแม้ประมาณเล็กน้อย สิกขาอยู่ สิกขาทั้งหลายคือสิกขาบท สิกขานี้มันมีระดับ ศีลสิกขาศึกษาเรื่องศีล จิตตสิกขาศึกษาเรื่องจิต ปัญญาสิกขาศึกษาเรื่องปัญญา ก็พยายามศึกษา
ศึกษาแบบปริยัติคือเรียนรู้ พวกเราก็มีความจำเป็นภาคบังคับต้องมีการเรียนนักธรรม เรียนพุทธประวัติ เรียนธรรมะ เรียนวินัย เรียนที่จำเป็นต่างๆ เรียกว่า เรียนปริยัติแล้วก็ปฏิบัติด้วย ไม่ใช่เรียนอย่างเดียว รู้แล้วอะไรผิดอะไรถูก อะไรผิดก็อย่าทำ ทำสิ่งที่ถูก ก็ปฏิบัติผลมันเกิดขึ้นเอง เนี่ยก็ป้องกันกิเลสหยาบๆ ระดับหนึ่ง ฟุ้งขึ้นมาต้องสำรวมอินทรีย์ ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันนี้สำคัญมาก คนทั่วไปประชาชนทั่วไปไม่ค่อยสนใจเรื่องสำรวมอินทรีย์
อินทรีย์ ก็คือชีวิตของเรานั้นเอง ก็ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่าอินทรีย์ 6 คือ อินทรีย์เนี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด สำรวมอินทรีย์ เพราะว่ากิเลสทั้งหลายตัวปัญหาเนี่ย มันเข้ามาเมื่ออินทรีย์กระทบกับอารมณ์ อารมณ์ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และก็ธรรมารมณ์ เช่นว่า ตาเห็นรูป วิญญาณก็เกิดเป็นธรรมชาติ ตาเห็นรูปวิญญาณเกิดก็เป็นผัสสะ ถ้าเราไม่มีการสำรวมอินทรีย์คือไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ตัวที่จะคุมอินทรีย์ได้คือ สติสัมปชัญญะ ดังนั้นคนทั่วไปขาดสติสัมปชัญญะมาก ปัญหาจึงเกิดมาก สติเนี่ยที่ทำกันต้องเป็นสัมมาสติ ไม่เป็นมิจฉาสติ ต้องมีสัมมาสติ ระลึกอยู่กับสิ่งที่ดีที่งาม ระลึกอยู่กับธรรมะตลอดเวลา
เพราะฉะนั้นพระสงฆ์เราบวชเข้ามามีอาชีพที่ต้องปฏิบัติให้อยู่กับอารมณ์ที่เป็นกุศลให้มากที่สุด เช่น พิจารณากายคตาสติอยู่เป็นประจำ อย่างมาทำวัตรสวดมนต์ ก็มาสวด เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อาการ 32 พิจารณาในแง่ว่าตามที่มันเป็นจริง คือมันไม่งาม มันน่าเกลียด มันปฏิกูล ก็พิจารณา ตาเห็นรูปก็พิจารณา ในแง่กายคตาสติ พิจารณาในแง่ที่ว่าทั้งหมดเนี่ยมันเป็นธาตุตามธรรมชาติ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ ธาตุเนี่ยในแง่ว่ามันเป็นสังขารทั้งนั้น คำว่าสังขารคือสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง สังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นต้นว่า ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายถูกต้องโผฏฐัพพะ รู้ธรรมารมณ์ นี่คือการฝึก
นี่อาชีพของนักบวชก็ต้องปฏิบัติกันอย่างนี้ รู้จักประมาณในการบริโภคอาหาร เราจะฉันอาหารเราก็ต้องพิจารณาด้วยความเป็นธาตุ ก่อนที่จะฉันพิจารณาด้วยความเป็นธาตุ กำลังฉันพิจารณาตามนัยปัจจเวก ไม่ใช่ฉันเพื่อเล่นเพื่อสนุกสนาน เช่น พวกเราอยู่กันที่วัด ถ้าองค์อื่นยังไม่ได้อาหารก็นั่งพิจารณาด้วยความเป็นธาตุ ด้วยความไม่งามของอาหาร อาหารมีปฏิกูลสัญญา พิจารณาอาหารไม่ใช่ติดในรสอาหาร ขณะที่ฉันอาหารไม่ได้ฉันเพื่อเล่นเพื่อสนุกสนาน พิจารณาอาหารเหมือนอย่างมารดาบิดา พาลูกน้อยข้ามทะเลสาปแล้วลูกตาย เอาเนื้อมากินเป็นอาหาร อย่างน้ำมันหยอดปลูกเทียนนี่คืออาชีพของนักบวช มาฝึกมาฝนมาอบรมแล้วก็พยายามมีสติทุกอิริยาบท จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะพูด จะนิ่ง จะเหลียวดู แลดู แล้วก็ถือโอกาสฝึกสมาธิเนี่ย พวกเราลองสังเกตดูว่าเราปฏิบัติกันแบบนี้
อาชีพของคนทั่วไป ไม่ใช่อาชีพนักการเมืองมัน มันยาก มันยากที่จะไม่มีการโต้เถียง ไม่มีการทะเลาะกัน เพราะว่าเผลออารมณ์คุมจิตใจไว้ไม่ได้ เพราะว่ากิเลสภายในมันผลักดันออกมาทำให้เกิดปัญหา เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี่ยเป็นสิ่งประเสริฐ ยกตัวอย่างว่า รัฐบาลไหนก็ตามทำเศรษฐกิจดีร่ำรวยกันทุกคนไม่มีใครยากจน แต่ว่าปัญหาในชีวิตคือเรื่องเกิด เรื่องแก่ เรื่องเจ็บ เรื่องตาย เรื่องทุกข์มันยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นพวกเราที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนา เหมือนอย่างช่วยรัฐบาล ช่วยประเทศชาติ ชาวพุทธเราเนี่ยปฏิบัติกันอย่างนี้เป็นนักบวช เป็นภิกษุ เป็นภิกษุณี ภิกษุณีประเทศไทยมันมีได้ยากแต่ว่าอุบาสิกาเป็นหลัก
ในการปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่เบียดเบียนตัวเองไม่มีเบียดเบียนผู้อื่น มีเมตตากรุณากัน เมตตารักผู้อื่น กรุณาสงสารผู้อื่น ก็ช่วยลดปัญหาได้เยอะ ประเทศไทยเราถ้าชาวพุทธไม่ปฏิบัติเนี่ย ไม่มีรัฐบาลไหนทำสำเร็จได้ ไม่มีคุกที่ไหนจะขังคนให้หมดได้ 60 – 70 ล้านคนเนี่ย จะเอาคนไปขังคุกได้อย่างไร เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐ ครั้งก่อนที่เราชาวพุทธทั้งหลายมองเห็นความสำคัญของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลกเพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของคนจำนวนมาก เนี่ยพวกคนที่เข้ามาบวชชั่วคราว 1 พรรษาอย่าคิดว่าเวลามันนาน ตอนนี้ผ่านมา 10 กว่าวัน ผมอยู่มาเนี่ย 66 พรรษา 67 พรรษาปีนี้ พรรษานึงแปบเดียวก็หมดแล้ว แปปเดียวก็หมดแล้ว มันอย่าอยู่ลักษณะทรมาน อยู่ตั้งใจที่จะปฏิบัติเพื่อขัด พัฒนาชีวิตควบคุมตัวเองได้
เวลาออกไปเป็นฆราวาสควบคุมกิเลสได้ ชีวิตก็เจริญก้าวหน้า ไม่มีปัญหา ไม่ทำผิดศีลธรรม ถ้าไม่ทำผิดศีลธรรมก็ไม่ทำผิดกฎหมายของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นช่วยประเทศชาติจะว่าโดยเจตนาหรือไม่เจตนา แต่ว่าผลมันเกิดอย่างนี้ ก็ไม่เบียดเบียนกันในสังคม ไม่เบียดเบียนกันในทางคำพูด ไม่เบียดเบียนในทางความคิด ตามหลักของพระพุทธศาสนา อยู่กันมากๆ ทำอะไรทางกายประกอบด้วยจิตเมตตา การพูดทางวาจาประกอบด้วยจิตเมตตา คิดนึกทางใจก็ประกอบด้วยเมตตา มีอะไรก็แบ่งปันกันกินกันใช้ เป็นอยู่เหมือนๆ กัน ศีลสามัญญตา มีศีลเสมอกัน ทิฏฐิสามัญญตา มีความคิดความเห็นมันเหมือนๆ กัน ก็อยู่ด้วยความสามัคคี
เอาละครับก็ต่อไปนี้ เราก็จะได้ปฏิบัติธรรมกัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เหมือนกันว่า ถ้าพุทธบริษัทไม่ปฏิบัติอยู่ในโพธิปักขิยธรรม ก็จะเอาชนะความทุกข์ไม่ได้ โพธิปักขิยธรรม ธรรมะฝ่ายที่จะทำให้ตรัสรู้ มีสติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 วันหลังมีโอกาสจะนำมาพูด ต่อไปนี้ก็จะใช้เวลาเล็กๆ น้อยๆ เจริญสติปัฏฐาน 4 คือให้จิตเนี่ยมีสติสัมปชัญญะ ตามเห็นกายในกาย ตามเห็นเวทนาในเวทนา ตามเห็นจิตในจิต ตามเห็นธรรมในธรรม การปฏิบัติธรรมเนี่ยจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ ชาวพุทธเชื่อกันว่าคนที่มีหูทิพย์ ตาทิพย์ เค้าสามารถมองเห็นอยู่ว่าจิตใจของเราคิดอย่างไร ยังมีเทวดา ยังมีพรหม ยังมีมาร ไม่ใช่มนุษย์อย่างเดียว เขาก็คอยดูอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเราปฏิบัติธรรม เมื่อได้พบเทวดา พบพรหม ก็นิยมสรรเสริญ เพราะฉะนั้นถ้าเรามีความคิดอย่างนี้ เราก็จะไม่ประมาท จะมีจริงหรือไม่มีจริงมันอีกเรื่องนึง ถ้าเราคิดอย่างนี้เราจะเป็นผู้ไม่ประมาท
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าประมาทเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น ปมาโท มจฺจุโน ปทํ ประมาทเป็นทางแห่งความตาย เย ปมตฺตา ยถา มตา ผู้ใดประมาทแล้วผู้นั้นก็คือคนตายแล้วนั้นเอง งั้นขอให้ทุกรูปทุกองค์ ญาติโยมทุกคนอย่าเป็นผู้ประมาท ปฏิบัติธรรมรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ เอาล่ะครับต่อไปนี้ ก็ปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ หายใจเข้าหายใจออก หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา อยู่กับลมหายใจเข้าออก มีสติสัมปชัญญะ ตัวลมหายใจเข้าออกก็คือสังขาร คือธาตุตามธรรมชาติ ให้เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อเห็นอนิจจัง ทุกขัง ใจก็สงบเอาชนะกิเลสได้ ก็มีความสุข ที่คนไม่มีความสุขก็มีกิเลสมาคอยรบกวนอยู่นั้นเอง อย่างหมาขี้เรื้อนตัวมันมีโรคมาคอยรบกวน อยู่ที่ไหนก็ไม่สบาย อยู่ที่ไหนก็ไม่สงบ คนถ้ามีจิตใจ คือ กิเลสมากวนแล้วมันหาความสุขยาก ปัญหามันเกิดขึ้น
พวกกิเลสอย่าไปโทษว่ามาจากคนนั้นมาจากคนนี้ มีคนมาถามพระพุทธเจ้าว่า ปัญหาต่างๆ คนอื่นทำให้ใช่มั้ย พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ใช่ ตัวเองทำให้ใช่มั้ย ก็ไม่ใช่ ก็สงสัยว่าอะไร พระพุทธเจ้าว่ามาจากอวิชชา เพราะอวิชชานั้นเองจึงทำให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ เราปฏิบัติธรรมเพื่อกำจัดอวิชชา อวิชชานี้สำคัญคือเห็นว่าเที่ยง เห็นว่าเป็นสุข เห็นว่ามีตัวตน คือไม่เข้าใจเรื่องอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นั้นเอง นี้คือตัวอวิชชา ไม่เข้าใจว่าทุกข์จริงๆ คืออย่างไร เหตุแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ไม่เข้าใจนี่คืออวิชชา ลำดับต่อไปปฏิบัติกัน้