แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะครับต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ ไม่ว่าบวชเก่าหรือบวชใหม่รวมทั้งเจ้านาคที่เข้ามาอยู่ในสวนโมกข์เตรียมตัวที่จะบวชในไม่กี่วันที่จะถึงนี้ รวมทั้งแม่ชีอุบาสิกาด้วย ที่นั่งอยู่ในบริเวณนี้ขอให้ทุกท่าน ทุกองค์ ทุกคน พยายาม ทำความรู้สึก ว่าที่เรามาอยู่ เรามาที่สวนโมกข์ เหมือนมาเข้ามหาวิทยาลัย มหาลัยของสวนโมกข์ มหาวิทยาลัยของพระพุทธศาสนา หลายๆคนก็เรียนจบมหาวิทยาลัยกัน มาแล้วก็หลายๆองค์ บางคนก็ได้ปริญญา ตรี โท เอก ก็มี การเรียนแบบนี้ เป็นมหาลัยทางโลก ก็มีทั่วๆไป เพื่อได้ปริญญา สวนโมกข์นี่ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านมาสร้างมาถวายเงินมาสร้าง มหาวิทยาลัย จุดมุ่งหมายเพื่อให้คนเข้ามาอยู่ มาศึกษา เรียนรู้ เพื่อได้ ปริญญา ปริญญาของสวนโมกข์อยู่ที่ไหน ก็คือคำว่าโมกข์นั่นเอง โมกข นั่นคือตัวปริญญา คำว่าโมกข์ แปลว่า หลุดพ้น แล้วก็อิสระ จากกิเลส กิเลสนี่เป็นตัวร้าย เป็นตัวปัญหา ที่แต่ละคนมีปัญหา สังคมมีปัญหา ประเทศชาติมีปัญหา โลกมีปัญหา ล้วนแต่มาจากสิ่งนี้ ทั้งนั้น คือกิเลส กิเลสนี่เป็นฝ่ายมาร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เอาชนะมาร ตั้งคอร์สสอน ทำให้เกิดพุทธศาสนา ก็มาจากพระพุทธเจ้านั่นเอง ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ พุทธศาสนาก็ไม่มี พุทธบริษัทก็ไม่มี พุทธบริษัทนี้มีความสำคัญมาก คือเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เดี๋ยวนี้ภิกษุณีในประเทศไทยนี่ ก็มีได้ยาก แต่ว่าผู้หญิงที่มาบวชในพุทธศาสนาเป็นแม่ชี บางครั้งบางคนก้าวหน้ามาก ขนาดแม่ชี หรือว่าอุบาสก อุบาสิกา ทำหน้าที่รักษาพุทธศาสนาเอาไว้
พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีสิ่งใดมาทำลายพุทธศาสนาได้ นอกจากพุทธบริษัทนี่เอง สมัยที่คอมมิวนิสต์มันรุ่งเรือง ปักษ์ใต้ ตอนนั้น ฆ่ากันตายบ่อยๆ คอมมิวนิสต์กำลังรุ่งเรือง หลายประเทศตกเป็นเมืองขึ้น ของ ประเทศที่นับถือคอมมิวนิสต์ ประเทศไทยเราก็ มีคนนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ มีคนมาถามท่านอาจารย์พุทธทาสว่า ถ้าคอมมิวนิสต์เข้ามา พุทธศาสนา จะอยู่ได้ไหม เพราะคอมมิวนิสต์เขาไม่เอา ศาสนา ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านบอกว่า ไม่มีในพระไตรปิฏก ถ้าใครมาทำลายพุทธศาสนา มันไม่มี นอกจากพุทธบริษัท มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานั่นเอง เพราะฉะนั้น เราสมัคร เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็ต้องไม่ประมาท ต้องตั้งใจ ศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เพื่อเอาชนะกิเลส เพื่อจะได้ปริญญา ปริญญาสูงสุดคือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เรียกว่าปริญญา พวกเธอฟังความหมาย คำว่าโมกข์ หลุดพ้นจากกิเลส หลุดพ้นจากความทุกข์ นี่ผู้ที่บวชเข้ามานานๆ บางทีประมาท ไม่สนใจที่จะปฏิบัติธรรมติดต่อ บางทีมาตายเมื่อแก่นี่เอง พระใหม่ๆ ก็ยังสนใจ ยังปฏิบัติเคร่งครัด ทำวัตร สวดมนต์ บิณฑบาตร กวาดวัด พออยู่ไปนานๆ มันก็ชิน ไม่ทำกิจวัตรของพระสงฆ์ มันก็เสื่อม โดยเฉพาะไม่ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กิเลสมันเข้ามา เมื่อตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายก็ต้องโผฏทัพพะ จิตรู้เอา ไม่ว่าบวชเก่า บวชใหม่ เป็นพระ ฆราวาส ไม่ว่าอาชีพชนิดไหน ชาวนา ชาวสวน พ่อค้า ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ นักการเมือง ไม่ว่าอาชีพชนิดไหน ถ้าไม่ระวัง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กิเลสก็เข้าทำลาย ใช่ไหม พอกิเลสเข้ามาทำลาย ก็ทำให้เกิดปัญหา แล้วมาเกิดเป็นทุกข์เดือดร้อน แล้วก่อปัญหาให้เกิดขึ้น แก่ผู้อื่น มาจากกิเลสทั้งสิ้น มาจากมารทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าเป็นผู้ชนะมาร แต่มารมันมาประกาศว่า ไม่พ้นจากอำนาจของมัน ให้อยู่ที่ไหน ไปที่ไหน ไม่พ้นอำนาจของมาร พระพุทธเจ้าพ้นจากอำนาจของมารได้ เพราะพระพุทธเจ้านี่เป็นผู้ประเสริฐที่สุด บรรดามนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ เอาชนะมารคือกิเลสได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วก็สอน เอาไว้ คือฝึกให้มีสติ มีสัมปชัญญะ พวกเรามาอยู่ที่สวนโมกข์ก็พยายามฝึก ให้มีสติสัมปชัญญะ ให้มีความเพียร พยายามและก็ไม่ประมาท หัวใจสำคัญ ของคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ความไม่ประมาท อย่างปัจฉิมโอวาท ก็ที่พระองค์ตรัส หลังจากนั้นก็ไม่ตรัสอะไรต่อ วยธัมมา สังขารา อัปปะมาเทนะ สัมปา เทถะ สังขารมีการเกิดขึ้นแล้วก็เสื่อมไปเป็นธรรมดา พวกเธอทั้งหลายจงถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด ถ้าเราประมาทเมื่อไหร่ ความตายก็มีเมื่อนั้น พอประมาทเมื่อไหร่ กิเลสมันเข้ามา กิเลสมันมีชื่อหลายอย่าง กิเลสที่สำคัญคือราคะ ความกำหนัด รัก เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ มีคำหนึ่ง บางทีพระพุทธเจ้าก็ใช้เหมือนกัน โลภะ โทสะ โมหะ ถ้าราคะ เล่นถึงเรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ โลภะ หมายถึงความโลภ ความอยากได้ ในทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ แล้วก็โทสะ ความโกรธ โมหะ ความหลง นี่เป็นกิเลส มันจะเข้ามา นะตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายก็ต้องโผฏทัพพะ จิตรู้อารมณ์ ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะ มันจะเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อผัสสะเกิด อันนี้ต้องระวังให้มาก
พอตาเห็นรูปวิญญานก็จะเกิด หูฟังเสียง วิญญานก็เกิด จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายก็ต้องโผฏทัพพะ จิตรู้อารมณ์ เป็นธรรมชาติ วิญญานมันเกิด วิญญานนั้นคือจิต ของเรานั่นเองที่มันลุกขึ้นมาทำงาน ทีนี้ออกผัสสะแล้ว มันจะเกิดสิ่งที่ อันตรายที่สุดถ้าไม่ระวัง คือเวทนา เวทนามีอยู่ สามเวทนา ทุกขเวทนา รู้สึกเป็นสุข ทุกขเวทนา รู้สึกเป็นทุกข์ ทุกขมัตถุเวทนา ไม่สุขไม่ทุกข์ เมื่อเวทนามันเกิด ถ้าไม่มีมีสติสัมปชัญญะ ราคะก็จะเข้ามา เกิดทุกขเวทนา โทสะจะเข้ามา เมื่อเกิด อทุกขมสุขเวทนา โมหะจะเข้ามา พอมันเข้ามาได้ ก็จะทำลาย จิตที่ดี เรามีโดยธรรมชาติ คือ จิตประภัสสร จะทำให้จิตนี้มันเสีย เรียกว่า เศร้าหมอง เมื่อจิตมันเศร้าหมอง ก็มองไม่เห็นสิ่งทั้งหลาย ทั้งปวงตามที่เป็นจริง เพราะฉะนั้นก็ต้องมีสติ สัมปชัญญะ โดยเฉพาะ ตามดู ตามรู้ว่า ขณะนี้ จิตมันเป็นอย่างไร การปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุด ก็เริ่มจากจิตภาวนานี่เอง การอบรมจิต พัฒนาจิตก็มีโอกาส มาดูจิต แต่ว่าคนทั่วไป ไม่ได้สนใจเรื่องจิตใจ สนใจแต่เรื่องร่างกาย เนื้อหนัง การแต่งเนื้อ แต่งตัวให้ร่างกายดูดี สวยงาม หาอาหารให้ร่างกายมันกิน วันนึงหลายๆ มื้อ เพื่อ เลี้ยงร่างกาย ให้สบาย ส่วนจิตใจไม่ได้สนใจ มันจึงมีปัญหามาก เราไม่ระวังจิตใจ กิเลสก็เข้ามาอยู่ ทำให้เกิดปัญหา ทำให้เกิดความทุกข์ ทำให้เกิดเดือดร้อน มาจาก สิ่งที่เรียกว่า กิเลส หรือมาร ทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้าได้บอก วิธีเอาชนะมาร ว่าแล้วก็คือ สำรวมอินทรีย์ ก็คือสติสัมปชัญญะนี่ ไม่ว่าตาเห็นรูป หูฟังเสียง ลิ้นเป็นรส ให้มีสติสัมปชัญญะ มาคุ้มครอง มารักษาจิตเอาไว้ ก็ต้องใช้ความเพียรความพยายาม และความเพียรมันมีหลายชนิด 1. เพียรป้องกัน ไม่ให้กิเลสมันเข้ามา บางเวลามันเผลอเพราะสติมันไม่พอ กิเลสเข้ามาได้ ก็ต้องเพียรขจัดมันออกไป อย่าไปเก็บกิเลสนี่เอาไว้ มันจะเคยชิน พอเกิดกิเลสครั้งหนึ่ง จะทิ้งเชื้อเอาไว้ คือให้เคยชิน ก็เกิดประมาทนั่นเอง แล้วพอกิเลสมันเกิดก็พยายามต่อสู้ ด้วยวิธีต่างๆ ถ้าราคะมันเกิด ก็เอาเครื่องมือมากำจัดมัน ราคะมันเกิดเพราะ จิตทำความรู้สึกว่าสวยว่างาม ว่าน่าพอใจ อย่างคนที่เกิดกำหนัด รัก ระหว่างเพศ ก็ต้องมองเห็นว่า คนนี้มันสวยมันงาม ดูแต่ข้างนอก สั่งสอนให้ดูเข้าไปข้างใน เรียกว่า อสุภะ อสุภะคือความไม่งาม อย่างนาค เจ้านาคที่จะบวชนี่ วันที่จะบวชพระอุปัชฌาย์ ก็บอกเครื่องมือให้ คือ กรรมฐาน5 ที่พวกเราต้องเรียน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นขา โลมา เกศา เอามาพิจารณา ในแง่ที่ ความเป็นจริงของสิ่งนี้มันเป็นอย่างไร เส้นผมขนเล็บ ฟัน หนัง เอามาเพียร 5 อย่าง สิ่งเหล่านี้ ธรรมชาติของมัน มันไม่ได้งาม มันปฏิกูล เช่น ผม เกิด ในหนังศีรษะ รูปร่างก็ไม่งาม ที่เกิด ที่อยู่ชุ่มไปด้วยเลือด ด้วยเหงื่อ กินก็ไม่งาม พิจารณา เอง ได้ อย่างนี้ เมื่อพิจารณาอย่างนี้จิตที่มีกำหนัด มันก็คลายออกเพราะเห็นว่ามันไม่งาม มันปฏิกูล มนุษย์เรา ถ้าไม่แต่งเนื้อ แต่งตัว ปล่อยธรรมชาติ มันดูน่าเกลียด น่าชัง มันไม่ได้งาม หรือพยายามเลย ความเป็นธาตุ คำว่าธาตุ ธาตุ เรียกว่าธาตุตามธรรมชาติ เท่านั้น งั้นเราอยู่ที่สวนโมกข์ จะห่มจีวร จะฉันอาหาร เสนาสนะ คิลานะเภสัช ให้พิจารณาดูความเป็นธาตุ ก่อนที่จะบริโภค เช่นนั่งฉันอาหาร หรือรวมฉัน ที่เพื่อนยัง ตักอาหารไม่ต้อง ก็พิจารณาดูความเป็นธาตุ อาหารนี่ก็สักว่าธาตุ ร่างกายนี้ก็สักว่าธาตุ พิจารณาดูความเป็นธาตุ ขณะที่ฉันอาหารก็มีสติ สัมปชัญญะ
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ กิเลสก็เข้ามาไม่ได้ ปัญหาก็ มันไม่มี จิตใจก็สงบ นี่ โมกข์มันเกิด โมกข์มันก็เจริญ ขึ้นเรื่อยๆ นี่ถ้าโทสะมันเกิด พระพุทธเจ้าก็สอนเอาไว้ เช่น แผ่เมตตา แผ่เมตตามากๆ ความโกรธ เกิดขึ้นไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนพระราหุล ให้แผ่เมตตาเหมือนกัน แผ่นดินเหมือนกับน้ำ เหมือนกับไฟ เหมือนกับลม แผ่นดินนี้ใครจะไปขุด ไปถ่ายอุจจาระ เทของสกปรก ลงแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รู้จักอึดอัด ไม่รู้จักโกรธ พระพุทธเจ้าสอนให้ แผ่เมตตามากๆ แล้วถ้าเราขาดเครื่องมือเหล่านี้ บางเวลามันก็เผลอ ความโกรธก็จะเกิดขึ้น และการพิจารณาดูความเป็นธาตุนี่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ถ้าเข้าใจธรรมะในหลักนี้ ความโกรธ มันก็ไม่มี เพราะไม่มีใครทำต่อใคร มันสักว่าเหตุ สักว่าปัจจัย สักว่าธาตุตามธรรมชาติ นี่เป็นเครื่องมือ ที่ต้องเอามาใช้ เอามาใคร่ครวญ ก็อาศัยความเพียร เพียรป้องกันไม่ให้กิเลสมันเข้ามา ถ้ากิเลสมันเข้ามาได้ก็พยายามขจัดมันออกไป เพียร รู้ อุดม กุศลให้มันเกิดขึ้น กุศลที่สำคัญที่สุด ก็คือ สมาธินั่นเอง ตัวสมาธิมันคือตัวกุศล ตัวนิวรณ์มันคือตัวอกุศล นิวรณ์ 5 มีอะไรบ้าง กามฉันทะ จิตมีความกำหนัดรัก พยาบาท จิตมัน โกรธ ถีนมิทะ จิตเบื่อ อุทธัจจะกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน วิจิกิจฉา เหล่านี้ คือตัวอกุศล ตัวกุศลก็จะตรงกันข้าม ไม่มีกามฉันทะ พยาบาท ถีนมิททะ อุทธัจจะกุกกุจจะ (21.10 ไม่ยืนยันตัวสะกด) ก็คือฝึกสมาธิ
เพราะฉะนั้น ที่สวนโมกข์นี่ เราพยายามที่จะให้มีกิจกรรมฝึกสมาธิตอนเช้า ตอนเย็น ตอนบ่าย นอกนั้น อยู่ที่กุฏิ ก็พยายามฝึกสมาธิ ประจำวันให้มาก แล้วกุฏิของหนูเป็นกุฏกรรมฐาน ไม่ได้เป็นที่อยู่สะดวก สบาย ไม่ใช่เหมือนบ้าน เหมือนเรือน เป็นกุฏกรรมฐาน งั้นผู้ที่เข้ามาอยู่ในสวนโมกข์ ถ้าต้องการก้าวหน้า ก็สนใจฝึกกรรมฐานให้มากขึ้นๆ เมื่อได้สมาธิ ได้สมาธิมาก็อบรมปัญญา ก็มาพิจารณา สังขารนั่นเอง ทุกอย่างมันเป็นสังขาร ถ้าสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่มีตัวตน ก็จะพอเข้าใจเรื่องไม่มีตัวตน และถ้าใครเข้าใจพวกนั้นก็ได้ปริญญา ปริญญาสวนโมกข์ จิตใจเกลี้ยงเกลา จิตใจสงบเย็น ทนต่ออารมณ์ได้ ต่อไปก็จะได้เป็นพระที่มีคุณภาพ อยู่กันที่สวนโมกข์ หรือไปอยู่ที่ไหน ก็เป็นพระที่มีคุณภาพ ตอนนี้ขาด ขาดพระสงฆ์ ที่มีการปฏิบัติที่มีการอบรม เป็นพระที่มั่นคง มันมีน้อยมาก ก็น่าเป็นห่วงวัดต่างๆ กำลังจะร้าง เสนาสนะ โบสถ์วิหารในวัด ไม่มีคนดูแล เพราะไม่มีพระ พระน้อย ที่มีกว่านั้นก็ไม่มีคุณภาพ ไม่ได้สร้างศรัทธาให้แก่ประชาชน ประชาชนก็ไม่เข้าวัด นี่ก็ทำให้สังคมชาวพุทธมันเสื่อมมีปัญหา มากขึ้นๆ และก็ไหนๆพวกเรา ก็สมัครใจมาอยู่ที่สวนโมกข์ ขอให้เราพยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ผมนี่มารับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสต้องรับผิดชอบเรื่องอะไรต่างๆเกิดขึ้น เขาก็ต้องมาโทษเจ้าอาวาสใช่มั๊ย ไม่ว่าเรื่องอะไร เกิดขึ้น ซึ่งเขาก็ต้องโทษเจ้าอาวาสก่อน ถ้าเจ้าอาวาสไม่อบรมสั่งสอน ไม่ได้ตักเตือน ผมก็พยายามที่จะเตือน พยายามจะแนะนำพวกเราที่อยู่ร่วมกัน บางทีผมก็คุมใครไม่ได้ และพวกเราที่อยู่ แต่ละองค์ ก็พยายามที่จะคุมตัวเอง พยายามดูแลตัวเอง วันนี้ผมก็มีความจำเป็น ต้องเดินทางไปเกาะสมุยอีก ก็ไปอยู่ หลายวันเหมือนกันคราวนี้ เพราะมันมีเหตุจำเป็น ผมก็อยู่สวนโมกข์จะกลับมาวันที่ 28 เพราะวันที่ 27 ไปรับนิมนต์ ที่แอนโทนี่เขาเปิดสำนักปฏิบัติธรรม ที่เกาะพงัน ผมก็รับนิมนต์เอาไว้ว่าจะต้องไป ไปร่วมในการทำพิธีเปิดใช้สำนักปฏิบัติธรรม
แอนโทนี่เป็นคนออสเตรเลีย เคยบวช ประมาณสิบกว่าพรรษาแล้วก็ลาสิกขา ออกไป ยังเคยมาที่สวนโมกข์ เพราะว่าแอนโทนี่ เป็นคนนิสัยดี ก็แนะนำให้ไปช่วยเหลือ ในการอบรมฝรั่งที่เกาะพงัน ไปทำก็ก้าวหน้าดี แต่มันไปมีความเห็นไม่ตรงกันกับเจ้าของสถานที่ เดี๋ยวนี้เค้า มาทำของเค้าเอง ไปเช่าที่ดินที่เกาะพงัน 30 ปี ทำเป็นที่ปฏิบัติธรรมก็ทำสำเร็จแล้ว แล้วจะเปิดใช้ แอนโทนี่เคยเดินทางไปประเทศนั้น ประเทศนี้ ไปที่รัสเซีย ไปสอนสมาธิคนรัสเซีย เป็นร้อยแต่ละครั้งอบรม เดี๋ยวนี้ฝรั่งที่เค้ามาศึกษาเรียนรู้พระพุทธศาสนาและเค้าสอน สมาธิ ดั่ง แจ็ค คอนกรีน แจ็คคอนกรีนเคยมาบวช เป็นพระ หลายปีมาอยู่หลายสำนัก โดยเฉพาะ สำนัก อาจารย์ชา ตอนนี้เค้าสร้างสำนักปฏิบัติธรรมที่ประเทศอเมริกา พวกฝรั่งก็บวชมากมาย พวกเราอยู่ที่สวนโมกข์ก็สนใจ ว่าทำไมเพื่อนทำได้ ทำไมเราไม่สนใจที่คิดจะทำบ้าง โดยเฉพาะถึงไม่เหมือนที่อื่นแต่เราต้องทำได้ อยู่ที่ไหน ก็ต้องทำได้ อยู่ที่วัดไหน ชักชวนคนให้เข้าวัดได้ ต้องมีนโยบาย เป็นพระนี่ เราปฏิบัติตัวเรียบร้อย เค้าศรัทธา ก็จะดึงคนไปได้ ถ้าเขาไม่ศรัทธา ทำอะไรไม่ได้ งั้นเราอยู่ที่วัดไหน ญาติโยมที่อยู่ร่วมกับวัด ต้องสนับสนุนวัด อาศัยพระสงฆ์ที่อยู่ในวัด ไปเยี่ยมคนแก่บ้าง ไปเยี่ยมคนป่วยบ้าง เด็กๆเข้ามาอยู่ในวัดบ้าง ต้องสนใจ ต้องคิดจะทำ พัฒนาวัดให้เป็นที่ศึกษาเรียนรู้ โดยเฉพาะ ได้เข้าใจธรรมะ เดี๋ยวนี้มีบางโรงเรียนที่เค้าทำ แม้แต่โรงเรียนอนุบาลที่เคยพามาที่สวนโมกข์ เค้าให้เด็กๆตัวเล็กๆ นั่งสมาธิตั้งแต่เล็กๆ
นี่ถ้าเราเป็นพระมาอยู่ที่สวนโมกข์ ไม่สนใจเรื่องสมาธิภาวนา มันก็ไม่รู้ว่าเอาอะไรเป็นหัวใจ ไม่รู้ว่าหัวใจของการบวชมันอยู่ที่ตรงไหน อันเจ้านาคที่มาบวชก็ต้องเข้าใจเหมือนกัน ว่าที่เรามาบวชนี่ประพฤติพรหมจรรย์ ชีวิตอันประเสริฐ อยู่เป็นฆราวาส มันลำบากชีวิตคับแคบ มันไม่สะดวก เหมือนการมาบวชนี่ มันอิสระอย่างนกมีปีก จะไปไหนจะทำอะไร มันสะดวก และอย่างบวชกันมาแล้ว จะนั่งสมาธิ จะเดินจงกรม จะปฏิบัติธรรม มันก็ทำสงบ ถ้าเป็นฆราวาส มันลำบาก โดยเฉพาะ มีครอบครัว มีภรรยา มีลูกมีหลาน มันต้องรับภาระหน้าที่ และยามเมื่อทางครอบครัวขออนุญาตมาให้เราบวชก็ต้องขอบใจเขา ที่เขารับภาระทางบ้าน จะเป็นภรรยา จะเป็นลูก จะเป็น พ่อ เป็น แม่ ที่อนุญาตให้เรามาบวช ต้องการเข้ามาบวชในพุทธศาสนา มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ผู้บวชเองต้องเป็นคนที่ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ประจำตัวที่รักษาไม่ได้ ไม่ต้องโทษทางบ้านเมือง ต้องมีบิดามารดาอนุญาต อย่างนี้เป็นต้น และเมื่อบวชเข้ามาแล้วก็มาอยู่ มาอยู่ที่สวนโมกข์ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจที่จะฝึก เพราะอย่างน้อยที่สุดเราก็เป็น พุทธบริษัท ช่วยกันรักษาพุทธศาสนา ให้ยังมีอยู่ ที่เนื้อที่ตัวของเรา ที่จิตใจของเรา ให้พุทธศาสนายังอยู่ในโลก เพราะเราเป็นพุทธบริษัทต้องช่วยกันรักษา
ถ้ารักษาพุทธศาสนานี่ ก็คือทำชีวิตของเรา ให้กิเลสมันเข้ามาทำร้ายไม่ได้เลย ก็ยังต้องสร้างเครื่องมือคุ้มกันกิเลส ก็คือ สติสัมปชัญญะ ความเพียร และก็ฝึกจิตภาวนา การมาอยู่ร่วมกัน ผมพยายามรักษา กฎระเบียบต่างๆ โดยเฉพาะกิจวัตร บิณฑบาต กวาดวัด ช่วยทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ แสดงอาบัติ ทำวัตร สวดมนต์ ขวนขวาย อเบก ภาวนา อุปัฏฐาก... (30.55 เสียงไม่ชัดเจน) ครูบาอาจารย์ ทำกิจของสงฆ์ ดำรงตน ให้น่าไหว้ ให้คน น่าไหว้ น่าเคารพ ก็อย่าประมาท ก็ทำได้ ถึงไม่สมบูรณ์ ก็คุ้มค่ากับการมาบวช โดยเฉพาะการมาบวชที่สวนโมกข์ คนที่เป็นเจ้าภาพ จัดให้เราได้บวชเสียเงินเสียทองเยอะด้วยความหวังดี ผมก็ขอบคุณท่านเหล่านี้เป็นอย่างยิ่ง ลำดับต่อไปก็ปฏิบัติกัน วันนี้ผมคงต้องลาพวกเราไป เพราะว่าเรานี้อยู่ที่สวนโมกข์ ต้องรักสวนโมกข์ อย่าทำให้สวนโมกข์เสียชื่อ เดี๋ยวนี้ วัดหลายวัดเสียชื่อ ก็เพราะคนที่อยู่ในวัดนั่นเอง ต้องมีความอดกลั้น อดทน มีสติ สัมปชัญญะ มีขันติ มีเมตตา กรุณา ลำดับต่อไปนี้ก็ ปฏิบัติกัน เล็กๆน้อยๆ ลมหายใจเข้า ตอนนี้ยังมีอยู่ วันหนึ่งข้างหน้า รู้ไม่ได้ว่าเมื่อไหร่ วันพรุ่งนี้ วันมะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า ลมหายใจเข้ามันก็หมด ก็คือตายนั่นเอง ตอนนี้ยังมีลมหายใจเข้าออกอยู่ก็ใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือต่อสู้กับกิเลส เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์ใช้ระบบ อาณาปาณสติแล้วเราก็เข้าใจกัน อาณาปาดิ มีเป็นขั้น เป็นขั้น เฉพาะพระใหม่ พอบวชเข้ามาแล้วก็ต้องเริ่ม อบรมที่ค่ายลูกเสือ จากวันที่ 12 ถึง วันที่ 20 นี่เป็นระเบียบของผู้ที่มาบวช แล้วก็มาศึกษาพระธรรมวินัย เพื่อให้รู้ว่า วินัยของพระคืออะไร พุทธประวัติ ธรรมะ ที่ควรรู้ พอวันที่ 12 ก็ไปเข้าฝึกสมาธิ อาณาปาติ ที่ค่ายลูกเสือ ถ้าปฏิบัติธรรม หลักเกณฑ์ หรือหลักสูตรอันนี้ ที่เข้ามาบวชแม้เวลา 1 เดือน ก็คุ้มค่า ได้ความรู้ ติดเนื้อ ติดตัวไป เอาไปใช้ในชีวิตฆราวาส ถ้าอยู่ต่อไปก็ยิ่งดี ก็ยิ่งพัฒนา ให้คุณธรรม ให้กุศลธรรม มันเจริญมากขึ้นๆ จนกระทั่ง เอาชนะ กิเลสได้ เรียกว่าได้ปริญญาสวนโมกข์ ลำดับต่อไปก็ปฏิบัติกัน หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกแล้วก็ตามลมมา