แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ลำดับต่อไปนี้ ก็ขอให้พวกเราที่เป็นภิกษุสงฆ์ ทุกรูปทุกองค์ไม่ว่าบวชเก่า หรือว่าพระนวกะบวชใหม่ รวมทั้งญาติโยม แม่ชีอุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้ตั้งใจ เตรียมตัวที่จะปฏิบัติธรรม เพื่อเข้าถึงธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ ทีนี้พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบสูงสุดคือ พระนิพพาน ไม่มีอะไรสูงสุดไปกว่าที่นี่ นิพพานนี้คือ ความดับทุกข์ เป็น อมตธรรม เป็นธรรมะที่อยู่เหนือความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสิ่งสูงสุดที่มนุษย์ควรจะเข้าถึง ควรจะได้พบ ชีวิตของมนุษย์เรานี้ มันเป็นสังขาร เป็นรูปก็ดี เป็นนามก็ดี มันเป็นสังขตธรรม (สัง-ขะ-ตะ-ทำ), สังขารธรรม (สัง-ขา-ระ-ทำ) ถ้าเป็นสังขาร ก็เป็นไปเพื่อความแก่ ความเจ็บและความตาย ชีวิตของมนุษย์เรารวมทั้งสัตว์เดรัจฉาน เกิดมาแล้วก็ตั้งหน้าเดินทางไปหาจุดจบของชีวิตเหมือนกันทุกคน สัตว์เดรัจฉานก็เช่นเดียวกัน ตั้งแต่เป็นมด เป็นแมลง เป็นสัตว์ใหญ่ ช้าง ม้า วัว ควาย เดินทางไปหาความตายกันทั้งนั้น วันนึงๆเราก็มีการนอนหลับ ขณะที่เรานอนหลับนี่ มันเหมือนกับตายไปชั่วคราว ชั่ว(ช่วงเวลา) ที่เรานอนหลับ เพราะจิตมันรู้อะไรไม่ได้ มันไม่ทำงาน ก็เหมือนกับตายไปชั่วระยะหนึ่ง แต่พอจิตตื่นขึ้นมาทำงาน ชีวิตก็เกิดขึ้นใหม่ เพราะฉะนั้น ดูให้ดี ชีวิตของเรามันมีการเกิด มีการตายอยู่ทุกๆวัน ชีวิตส่วนร่างกายนี้ที่เรามีชีวิตรอดอยู่ได้ก็เพราะอาศัยปัจจัยเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตซึ่งมีอยู่หลายๆอย่างโดยเฉพาะปัจจัยสี่ อาหารที่เราต้องรับประทานสำหรับฆราวาส สำหรับพระที่เราต้องฉัน ฉันทุกวัน ถ้าไม่ได้ฉันอาหารหลายวัน ชีวิตส่วนร่างกายมันก็อยู่ไม่ได้ เสื้อผ้า จะต้องสวมใส่ สำคัญเหมือนกันแต่ว่ารองลงมาจากอาหาร บางคนไม่สวมเสื้อผ้า นักบวชของนิกายไชนะที่เป็นพระอรหันต์ ไม่นุ่งผ้า แต่เขาไม่ตายเหมือนกัน หน้าหนาวเขาไปหาที่ๆมันอบอุ่น เพราะนักบวชพวกนี้เขาเดินทางหน้าหนาว ภาคเหนือก็อาจจะลงมาภาคใต้ ภาคใต้หนาวก็ไปภาคอื่น การไม่มีเสื้อผ้าก็สามารถจะอยู่ได้ แต่ว่าพวกเราแม้เป็นพระในพระพุทธศาสนาก็ยังต้องมีการห่มจีวร แต่ว่าจีวรที่เราห่มนี้เป็นที่ยอมรับของสังคม จะอยู่ที่วัด จะเข้าไปในบ้าน จะเข้าไปในเรือน ในวัง ยามที่พระสงฆ์ได้รับการนิมนต์เข้าไปเจริญพระพุทธมนต์ในพระราชวัง ก็ห่มจีวรสามผืนเหล่านี้ เพราะว่าสังคมยอมรับว่าใช้ได้ถูกต้อง แต่ฆราวาสนี่ เสื้อผ้าก็ต้องเปลี่ยนกันบ่อย ส่วนใหญ่ฆราวาสทั่วไปพยายามตัดเสื้อผ้าให้มันดูดี มีแบบ ออกแบบต่างๆ และพอถ้าเป็นผู้หญิงก็เสื้อผ้ามากมายเหลือเกิน ต้องสวมต้องใส่ เพราะนี่ถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับชีวิตทั่วไป และเพื่อความสวยความงามของร่างกาย แต่สำหรับพระสงฆ์เรา ห่มจีวรเพื่อกันหนาว กันร้อน กันความละอาย กันเหลือบ กันยุง ให้เราต้องพิจารณาก่อนที่จะใช้จีวร จีวรนี่ก็สักว่าธาตุตามธรรมชาติ และปัจจัยที่สำคัญที่ร่างกายต้องอาศัย ที่อยู่อาศัย
ฆราวาสทั่วไปต้องมีบ้านมีเรือนเป็นที่อยู่อาศัย อย่างน้อยก็กระต๊อบ หลังคามุงจาก/กั้นจาก ชาวบ้านทั่วไปที่อยู่กัน บางคนก็มีฐานะดี สร้างอาคาร สร้างตึกใหญ่ๆอยู่ ถ้าเข้าไปในกรุงเทพฯ จะเห็นตึกคอนโดขึ้นเต็มไปหมดเลย ก็อยู่กันในห้องคอนโด แต่การขึ้นการลง แต่โครงแบบนี้ ถ้าไฟฟ้าไม่มีนะก็จะลำบากมากเพราะขึ้นด้วยลิฟต์ ถ้าไฟฟ้ามันไม่ทำงาน ไม่มีไฟฟ้า ลิฟต์ก็ทำงานไม่ได้ อยู่ในห้องคอนโดต้องติดแอร์ ถ้าไม่มีแอร์อยู่ไมได้ เพราะมันทึบ มีแต่ประตูหน้าต่าง อากาศเข้า มันไม่ออก มันต้องติดแอร์กันทั้งนั้น นี่ก็เป็นปัจจัยสำหรับมนุษย์เรา แตกต่างกับสัตว์เดรัจฉาน ถ้าเป็นวัวเป็นควาย มันก็อยู่ตามทุ่ง ตามนา ตามป่า ตามเขา ที่อยู่อาศัยเรามันสามารถสร้างบ้านสร้างเรือนอยู่ สร้างตึกสูงๆอยู่ได้ เพราะว่ามนุษย์มันมีสมองพิเศษ มีความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ได้ เพราะฉะนั้น สัตว์มนุษย์กับสัตว์เดรัจฉาน ความเป็นอยู่บ้านเรือนมันแตกต่างกัน เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญที่อยู่ที่อาศัย ทางพระพุทธศาสนา กุฏิเสนาสนะ ที่ว่าสำคัญ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าการให้ทาน ที่ ถวายแก่พระพรหม มีหลายๆอย่าง การให้อาหารคือให้กำลัง เราจะมีกำลังเพราะมีอาหารฉัน ฆราวาสก็เหมือนกัน มีอาหารกิน การให้อาหารคือการให้กำลัง การให้จีวรคือการให้เสนาสนะคือให้วรรณะ เราจะไม่มีการห่มเสื้อผ้าร่างกายก็ดูน่าเกลียด ต้องการให้จีวร ให้วรรณะ การให้ยาคือการให้ชีวิต เราเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องกินยารักษา การให้ยาคือการให้ชีวิต การให้เสนาสนะคือการให้ความสุข เมื่อเรามีที่อยู่
เพราะฉะนั้น เสนาสนะนั้นก็สำคัญ เป็นปัจจัยอย่างนึงที่มนุษย์ต้องอาศัย แต่มันไม่เหมือนกันกับที่ๆมีชีวิตทั้งหลาย พวกสัตว์ป่ามันไม่ต้องสร้างบ้านสร้างเรือน เป็นแต่ว่ามันจะออกลูกมันก็สร้างรัง ทำรัง มีนกชนิดหนึ่ง มันพิเศษมาก เหมือนนกกระจาบ มันทำรัง มันไปฉีกเอาหญ้าเอาใบไม้มาทำรังแล้วก็แขวนตามต้นตาล นกกระจาบพวกนี้มันทำรัง ฝนตกก็ไม่เป็นไร นกบางชนิดมันก็ฉลาด สัตว์บางชนิดมันอยู่ในรู มันขุดรูลึก พวกตัวตุ่น สัตว์บางชนิดมันอาศัยอยู่รูอยู่รัง พวกต่อมันก็สร้างรังอยู่ ถ้าเราสังเกตสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็ต้องอาศัยปัจจัย อาหาร เครื่องนุ่งห่ม เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัยและยารักษาโรค พวกสัตว์เดรัจฉานเวลามันเจ็บมันป่วยก็ไม่รู้มันกินยาชนิดไหน แต่มีเห็นสุนัขมันไปกัดเอาใบหญ้ามากิน มันต้องการให้อาเจียน มันคงกินอาหารแล้วมันไม่สบายท้องของมัน มันก็ไปกัดเอาหญ้ามากิน ไม่ทำอะไรแล้วมันก็อาเจียนออกมา มันคงเป็นยาที่สัตว์มันรู้ และก็สัตว์ทั่วไปไม่รู้มันรักษาอย่างไร เป็นธรรมชาติของมัน มันป้องกันตัวของมัน สัตว์บางชนิดอายุยืนกว่าคนเช่นเต่า เต่าอายุยืนกว่าคน อายุตั้งร้อยกว่าปีก็มี มนุษย์เราที่รักษา บางทีไม่ถึง ไม่เท่ากับสัตว์เดรัจฉาน เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูก ธรรมชาติร่างกายของเรากับร่างกายของสัตว์มันแตกต่างกัน สัตว์ก็มีหลายชนิด สัตว์บก สัตว์น้ำ พวกเรานี่ไปอยู่ในน้ำแบบเต่าแบบปลาไม่ได้ เต่านี่มันเป็นสัตว์สองประเภท อยู่ในน้ำก็ได้ อยู่บกก็ได้ สะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก บางเวลามันก็อยู่ในน้ำ บางเวลาก็ขึ้นอยู่บนบก เต่าทะเลเวลามันจะออกไข่วางไข่ มันก็คลานมาที่ชายหาด มันมาขุดหลุมฝังไข่ พอลูกเต่าออกจากไข่ มันก็คลานลงทะเล แล้วก็คืนธรรมชาติ มนุษย์เราก็ต้องอาศัยปัจจัยต่างๆ พูดกันมานานเมื่อตั้งครั้งพุทธกาล ปัจจัยสี่ อาหาร เสื้อผ้า ที่อยู่อาศัย เสนาสนะ ยารักษาโรค เดี๋ยวนี้คนต้องอาศัยปัจจัยมากกว่าคนโบราณเยอะ อย่างที่พูดมาแล้วถ้าอยู่ในตึกสูงๆก็ต้องอาศัยลิฟต์ ต้องอาศัยไฟฟ้า ต้องอาศัยแอร์ เครื่องปรับอากาศ เดินทางก็ต้องอาศัยรถ เพราะเดี๋ยวนี้เดินในบ้านในเมืองมันเดินไม่ได้ เต็มไปด้วยรถวิ่งไปวิ่งมา ก็ต้องนั่งรถไป ธรรมชาติมันก็เปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย ดังหัวใจของธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ อิทัปปัจจยตา เมื่อสิ่งนี้มีมันจึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ตามสมัย ตามกาล ตามเวลา
ชีวิตของเราต้องอาศัยปัจจัย แต่ปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งก็คือน้ำ น้ำเนี่ยสำคัญมาก ต้องดื่มน้ำ ต้องอาบน้ำ น้ำเป็นเครื่องชำระ น้ำต้องเป็นน้ำที่สะอาด น้ำสกปรกก็ใช้ดื่มไม่ได้ จะใช้อาบก็ไม่ได้ น้ำมาจากไหน มันมาจากฝน ฝนมาจากเมฆฝน เมฆฝนก็คือไอน้ำตามแหล่งน้ำต่างๆ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล มหาสมุทร ไอน้ำก็ลอยขึ้นบนอากาศแล้วรวมตัวเป็นเมฆ จับกลุ่มๆกลั่นตกลงมาเป็นน้ำ น้ำฝนที่ตกลงมาเรารองเอามาดื่มได้ แต่พอฝนตกลงมาถูกพื้นดิน น้ำสกปรกมากๆ น้ำก็กินไม่ได้ น้ำใช้ก็ไม่มี อย่างน้ำท่วมเป็นระแหงคนก็ขาดน้ำกินน้ำอาบเพราะอะไร เพราะน้ำปริมาณมากมันสกปรก น้ำมันมาปนเปื้อนสารพิษ สิ่งสกปรกบนพื้นดิน คนก็เอาน้ำชนิดนี้มาดื่มมากินไม่ได้ ถ้าต้องการเอามาดื่มมากินก็ต้องต้มอย่างน้อย จะเอาน้ำมากลั่น น้ำที่เค้าเอามากลั่น น้ำจากแหล่งน้ำที่เค้าเอามากลั่น ใส่คลอรีนหรือใส่อะไรเพิ่มลงไป ฆ่าเชื้อ น้ำมันก็ออกมาใช้ได้ มาดื่มได้ มาอาบได้ โลกมนุษย์ที่เราอาศัยอยู่นี้มันเหมือนดวงดาว อย่างดาวพระอังคาร ดาวพระศุกร์ ดาวพระเสาร์ ที่พวกนักดาราศาสตร์ที่เขาศึกษาอธิบาย ดวงจันทร์ทำไมคนขึ้นไปอยู่ไม่ได้ เพราะมันไม่มีน้ำ เมื่อก่อนที่อาร์มสตรองเขาไปเหยียบ ดวงจันทร์มีแต่ฝุ่นไม่มีน้ำ เมื่อก่อนนักดาราศาสตร์ฝรั่งเขาอยากไปสำรวจดาวพระอังคาร เค้าส่งยานไปสำรวจก็ปรากฏว่าไม่มีน้ำเหมือนกัน โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มันมีน้ำมากกว่าบนบกหลายเท่า สองสามเท่า โลกนี้มันมีน้ำมากที่สุด และทำไมน้ำในทะเลมันกินไม่ได้ เพราะมันมีเกลือ เกลือมันเค็ม มันเป็นน้ำเค็ม ฝนตกมามันเป็นน้ำจืด แต่พอไปอยู่ในทะเล มันมีเกลือ มีแร่ธาตุ ทำให้น้ำมันเค็ม กินไม่ได้
และเดี๋ยวนี้บางประเทศ ได้ยินว่าสิงคโปร์ เวลาขาดน้ำเอาน้ำเค็มมากลั่นเป็นน้ำจืด มันขาดน้ำๆไม่ออก มีเครื่องกลั่นน้ำเค็มแต่ว่ามันแพง ต้องมีค่าใช้จ่ายแพงเอาน้ำเค็มมากลั่นเป็นน้ำจืด สรุปแล้ว น้ำเป็นสิ่งจำเป็น ที่ไหนไม่มีน้ำคนอยู่ไม่ได้ ทะเลทรายทำไมคนไม่ไปอยู่ เพราะว่ามันไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็ขึ้นไม่ได้ คนก็อยู่ไม่ได้ หญ้าก็ยังขึ้นไม่ได้ เพราะมันขาดน้ำ ไอ้นี่น้ำข้างนอก มนุษย์เรานี่ต้องอาศัยน้ำ น้ำข้างนอกดังที่กล่าวมาแล้ว น้ำที่สำคัญคือน้ำใจ น้ำใจมันสำคัญ ถ้าเราต้องการจะมีความสุขก็ต้องดูแลจิตใจ ถ้าน้ำใจมันเสียปัญหาก็เกิด เพราะฉะนั้นก็ต้องพยายามกลั่นสิ่งสกปรกออกไป ที่ไม่ดีก็เอาออกไปอย่าให้มันเข้ามาทำลายจิต มันมีน้ำใจที่มันสะอาดที่มันผ่องใส ให้ระวัง เช่นสกปรกมันจะเข้ามาก็คือกิเลสทั้งหลาย ที่มันจะอุปมาว่า น้ำที่มันใสแต่บางทีลงไปผสม น้ำก็ไม่สะอาด มองไม่เห็นเงาหน้า น้ำที่มันถูกต้มให้เดือดจะไปมองเห็นเงาหน้า มันมองไม่เห็น น้ำในภาชนะที่วางในที่มืดมองไม่เห็นเงาหน้า มันมองไม่เห็น ถ้ามันมองเห็นหน้า มันคือญาณเกิด ปัญญา เรียกว่าวิปัสสนาญาณ ต้องอาศัยจิตที่มันไม่มีอุปกิเลส อารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์เดือดพลุ่งพล่าน ลังเล สงสัย น้ำเวลาลมมันพัดเป็นคลื่น จะไปมองให้เห็นเงาหน้ามันมองไม่ได้ ก็ต้องปรับปรุงการปฏิบัติธรรมให้ใช้สติสัมปชัญญะและความเพียร ต้องฝึก ต้องรักษาจิต ให้จิตใจปราศจากนิวรณ์และก็มองลงไปที่ฉันทะ ว่าสังขารไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ จะมายึดถือเป็นเราเป็นของเราไม่ได้ ถ้าใครทำได้ ไม่ยึดมั่นว่าเราว่าของเรา ความทุกข์มันก็หมด นิพพานก็ปรากฏ และก็นี่คือหน้าที่ๆเราต้องปฏิบัติธรรมและดูแลจิตใจของเรา มันเป็นปัจจัยที่สำคัญ ปัจจัยที่จิตใจนี่สำคัญ และมีเรื่องหนึ่งที่มนุษย์เราต้องอาศัยคืออากาศที่หายใจ มนุษย์ก็ดี สัตว์เดรัจฉานก็ดี ที่ไม่ตายเพราะมันมีอากาศหายใจ สวนโมกข์อากาศดีมันมากเพราะมาอยู่กับธรรมชาติป่าไม้ พอมาอยู่ที่เกาะสมุยทีอากาศดีมากเพราะอยู่กลางทะเลและก็มีป่าไม้ ร่มรื่น นอนหลับสบาย อากาศมันดี พอเข้าไปกรุงเทพฯทีไร กลับมาคันผิวหนังทุกครั้งไป ไปหาหมอ คันผิวหนังหลายวัน อากาศมันเสียมาก ก็น่าเห็นใจคนที่อยู่ในบ้านในเมือง
ลำดับต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันเล็กน้อย รักษาใจให้มันสะอาด กลั่นกรองจิตใจ อย่าให้มีสิ่งสกปรกสารพิษมาปนเปื้อนเหมือนอย่างน้ำที่มันสกปรกจะเอามากลั่นมากรองก็ใช้ได้ ในครั้งพุทธกาลสองพันกว่าปี คนไม่มีความรู้แบบคนสมัยปัจจุบัน พระพุทธเจ้าก็ได้นำเอาธมกรกสำหรับที่กรองน้ำ ไปไหนก็ใช้เครื่องกรองน้ำเป็นกระป๋องเล็กๆเอาไปกรอก อย่างน้อยก็ป้องกันพวกแมลง พวกสารต่างๆที่อยู่ในน้ำ อย่าไปดื่มน้ำที่มีสิ่งมีชีวิต เป็นลูกน้ำเป็นพวกอะไรต่างๆที่มันอยู่ในน้ำ ก็มีอยู่ในพระวินัย พระภิกษุที่จะธุดงค์ไปไหนต้องมีธมกรกเครื่องกรองน้ำ
ลำดับต่อไปก็ปฏิบัติกัน ถ้าน้ำจิตมันเสียน้ำใจมันเสียมันก็เสียหมด เมื่อเราอยู่ที่สวนโมกข์ ก็เหมือนกัน แต่ละวันๆพยายามรักษาจิตให้ดี ให้เป็นปัจจัยที่สำคัญ ทำให้จิตใจมันสะอาดก็จะเกิดมองเห็นตามที่เป็นจริง ญาณทัศนะ รู้เห็นตามที่เป็นจริง สังขารมันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ปฏิบัติกันต่อไปนี้