แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละครับ ต่อไปนี้ ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ ทุกรูป ทุกองค์ ไม่ว่าบวชเก่า บวชใหม่ข้างนอก??? พร้อมทั้งแม่ชีอุบาสกอุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ จงตั้งใจเตรียมตัวปฏิบัติธรรม เพื่อจะ เห็นธรรมะที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงตรัสรู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสรู้ ก็คือเรื่องความจริงในชีวิตของเรานี้เอง ก็คือเรื่องอริยสัจ 4 เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้ทุกข์เกิด เรื่องความดับมาเยือนทุกข์ เรื่องทาง เผชิญความดับมาเยือนทุกข์ ทุกคนที่เกิดมา พอเกิดมาก็พาความทุกข์ เสร็จแล้วในชีวิต แต่ความทุกข์มันมีหลายอย่าง สรุปแล้วก็มีสองอย่าง ความทุกข์ทางร่างกาย และความทุกข์ทางด้านจิตใจ ทุกๆคนที่มีชีวิตอยู่ ก็พยายามที่แก้ปัญหา
เมื่อมีความทุกข์เกิดขึ้น เช่นหิว กระหาย คนก็แสวงหาอาหาร มากิน เพื่อบรรเทาความหิว กระหายน้ำก็หาน้ำมาดื่ม เจ็บไข้ได้ป่วย ก็ต้องรักษา ซึ่งจึงเกิดโรงพยาบาล ต่างๆ เกิดหมอ เกิดยา สำหรับรักษา โรคของมนุษย์ เพราะว่า เจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นความทุกข์ คือความทุกข์อย่างนี้เป็นความทุกข์ทางร่างกาย ความทุกข์ที่สำคัญ คือความทุกข์ในจิตใจของเรานั่นเอง คนบางคน ไม่ได้เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ได้หิวโหยมีอาหารกินอุดมสมบูรณ์ ที่อยู่ที่อาศัย ก็สะดวกสบาย แต่ว่ามีความทุกข์ อยู่ในจิตใจ ความวิตกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ ยังมีกันทุกคน ใครบ้างที่ไม่มีความทุกข์เหล่านี้ ถ้าใครไม่มี ผู้นั้นก็เรียกว่าเป็นพระอริยเจ้า ถ้าคนปุถุชน ต้องเป็นกันทุกคน พระอริยเจ้า ก็คือผู้ที่ ได้เข้าใจธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้แล้ว ท่านก็ทรงสั่งสอน ให้คนบรรลุธรรม เกิดพระอริยเจ้า มากมาย พระอริยเจ้าสูงสุดคือพระอรหันต์
พระอรหันต์เนี่ยเกิดขึ้นมาในโลก ก็เพราะได้ยินได้ฟัง ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นจอมพระอรหันต์ พระองค์ได้ค้นพบธรรมะ ที่พระองค์ตรัสว่ามันมีอยู่แล้ว ธรรมะจริงๆมันมีอยู่แล้ว แค่คน คนไม่พบหาไม่เจอ เลยไม่ได้รับประโยชน์ พระองค์ได้ทรงค้นพบ แล้วก็เปิดเผย ให้คนเข้าใจ และให้คนปุถุชน คนธรรมดาทั่วไป เลื่อนชีวิตสูงขึ้น สูงขึ้น จนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า ลำดับต้นคือพระโสดาบัน พระโสดาบันคือผู้ถึงซึ่งกระแส กระแสในที่นี้คือกระแสที่มาไปสู่ความพ้นทุกข์ คือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานคือสิ่งสูงสุด ในพุทธศาสนา พระนิพพานก็คือความไม่มีทุกข์ พระนิพพานจึงไม่มีความแก่ ความเจ็บ และความตาย เป็นสิ่งสูงสุด ในพระพุทธศาสนา
พระโสดาบันถึงกระแส กระแสนี้ก็คือธรรมะนั่นเอง อยากนำชีวิตของคน ให้สูงขึ้นจนกระทั่ง เจอพระนิพพาน สูงขึ้นมาคือพระสกทาคามี สูงขึ้นมาคือพระอนาคามี สูงสุดคือพระอรหันต์ ความเกิดขึ้นมาบนโลกนี้ ก็เพราะอาศัย พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ พวกเรา ที่ได้บวชในพระพุทธศาสนา ก็เพราะมีพระอรหันต์ ที่เคยเกิดขึ้นบนโลกนี้ ช่วยกันรักษา ธรรมะวินัยของพระพุทธเจ้าสืบต่อๆกันมา ทุกคนส่วนใหญ่ที่เป็นชาวพุทธ ก็ได้อ่านเรื่องพุทธประวัติ เรื่องราวต่างๆ เช่น หลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว และพระอรหันต์ 500 รูปทำสังคยานา ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง พระอรหันต์ ก็เช่นเดียวกันช่วยกัน ทำสังคยานา ช่วยกันรักษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เอาไว้ เนี่ยถ้าไม่มีพระอรหันต์ เกิดขึ้นบนโลกนี้ พุทธศาสนาก็คง จะไม่มีหมดไปละ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านได้ประสบความสำเร็จในชีวิตของท่าน ก็เพราะ ได้ศึกษาเรียนรู้ พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า นั่นเอง โดยเฉพาะเมื่อท่านมีความรอบรู้ ในภาษาบาลี อ่านพระไตรปิฎก แตกฉาน ท่านก็มองเห็นว่า การศึกษาพุทธศาสนา ลำพังปริยัติอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องมีการปฏิบัติ ท่านจึงหา ที่วิเวกอยู่ แล้วท่านมาอยู่ในวัดร้าง ณ วัดตระพังจิก ที่ตำบลพุมเรียง ความจริงตำบลพุมเรียง คือบ้านเกิด ของท่านอาจารย์พุทธทาสนั่นเอง
แต่เมื่อก่อน ท่านไม่เคยสนใจจะไปอยู่ที่นั่น คนที่นั้นก็ขาดกลัว เป็นวัดร้าง ไม่ใช่กลางวันคนก็ไม่อยากจะเข้าไป มันน่ากลัว ท่านอาจารย์ก็ไม่เคยไป ไม่เคยไปอยู่ที่นั้น แต่เมื่อท่านบวชเข้ามาแล้ว ท่านศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ในระดับปริยัติแล้ว ท่านไม่รู้สึก พอใจ เพียงแค่นั้น ท่านเทสก์ว่าต้องมีการทดลองปฏิบัติ ท่านจึงมาอยู่ที่วัดร้างแห่งนั้น และท่านได้รับประโยชน์มาก เพราะมาอยู่รูปเดียว ปฏิบัติไปทั้งทั้งวัน นั่งสมาธิ เดินจงกรม ค้นคว้า จนกระทั่งแน่ใจ สิ่งที่ท่านได้รู้สึกท่านก็เริ่มเผยแพร่ ทำให้คนรู้จักมากขึ้น มากขึ้น แม้แต่รักษาการณ์สมเด็จพระสังฆราชในครั้งกระโน้น
สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนนั้นท่านมีตำแหน่งรักษาหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช อุตส่าห์เดินเท้าเปล่าจากสถานีไชยา ไปพุมเรียงประมาณ 6 กิโล ท่านอยากเดินไป พบท่านอาจารย์พุทธทาสแล้วไปค้างคืน ที่นั่น ท่านอาจารย์ค่อยมี คนนับถือมากขึ้นๆ เพราะความดีที่ท่านทำ นั่นเอง ไม่ได้เพราะอื่น เพราะความดี เพราะผลที่ท่านได้ปฏิบัติ ต่อมาอาจารย์สัญญาธรรมศักดิ์ แกเป็นนักเรียนเมืองนอก พอรู้ข่าวท่านอาจารย์พุทธทาส ก็ลงมาเข้ามาพบ ท่านอาจารย์พุทธทาส ก็เกิดศรัทธา ท่านสนับสนุนงานของท่านอาจารย์พุทธทาส มาเรื่อยๆ พาลูกชายมาบวชที่นี่ คุณหมอจักรธรรม ก็พามาบวชที่นี่ เตรียมมาสร้างบ้านพัก ที่นี่ ก็มาพักที่นี่ ตอนนั้นใครต่อใคร เยอะมาก ที่ได้มาที่สวนโมกข์ ถ้าไม่มีท่านอาจารย์พุทธทาส สวนโมกข์ก็ไม่มี ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้เป็นอย่างนี้เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้า ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงพูดว่า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าท่านก็มีไม่ได้ เนี่ยเพราะคนหลายๆกลุ่ม นิมนต์ท่านอาจารย์พุทธทาสไปแสดงธรรมให้ฟัง กลุ่มสำคัญกลุ่มหนึ่ง พวกตุลาการณ์ ผู้พิพากษา ท่านอาจารย์ไป??? ที่กรุงเทพ หลายปีติดต่อกัน เกิดหนังสือ ที่สำคัญๆหลายเล่ม
วันนี้ที่สวนโมกข์ มีผู้พิพากษา หัวหน้าศาล จะมาเยี่ยมสวนโมกประมาณ 140 คนทั่วประเทศ งั้นวันนี้พวกเราก็ควรจะต้อนรับ ผมก็ได้เตรียมการ มาต้อนรับ ผู้พิพากษา หัวหน้าศาล จะมาเยี่ยมสวนโมกข์ ถือว่ามาให้เกียรติ ก็อยากจะนิมนต์พวกเรา ให้มาร่วมต้อนรับด้วย ตามกำหนดการว่า บ่ายสองโมง จะมาถึงที่นี่ เพราะเวลาบ่ายโมง ก็มาปฏิบัติธรรมกัน วันนี้ผมจะลงเอง พร้อมๆกับลงมาร่วมปฏิบัติธรรม กับพวกเรากับ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ก็พอดีกับ คณะผู้พิพากษา หัวหน้าศาล มาถึง ก็ให้ศีลให้พรต้อนรับ ที่ว่ามาให้เกียรติ แก่สวนโมกข์ เรื่องคุณงามความดีเนี่ย มีอยู่ในบุคคลใด คนอื่นก็จะเข้าไปหา คุณงามความดีอยู่ที่ไหน คนทั่วไปก็จะไปหา ณ วัดสวนโมกข์อย่างนี้ ถ้าพวกเราที่อยู่กันไม่เอาไหน ไม่ได้สนใจปฏิบัติธรรมเลย ใครที่ไหนจะข้ามมา มันเป็นไปไม่ได้ เพราะนั้นต้องมองให้เห็น ว่าชีวิตของเราจะมีค่า ก็เพราะปฏิบัติธรรมนั่นเอง การปฏิบัติธรรม ก็เพื่อที่จะเข้าใจธรรมะ ที่พระองค์ได้ทรงค้นพบ คือเรื่องอริยสัจ เรื่องความจริงของชีวิต ที่มันมี???ทุกคน ทุกข์ อย่าได้ทุกข์เกิด ความดับ??? ??? ??? ทุกขเวทมาเกิดทุกข ขเวทเกิดทุกข์ มันมีอยู่ตลอดเวลา ส่วนความดับทุกข์ มันไม่มี ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรม ในหนทางที่ธรรม ให้ทุกข์มาดับ
พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสั่งสอนว่าความทุกข์ทางด้านจิตใจโดยเฉพาะมันมาจากอวิชชา อวิชชาเป็นปัจจัย ทำให้เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ นาม รูป แป๊ปเดียว ก็ทำให้เกิดชาติ ชาติเนี่ยตัวที่ทำให้ทุกข์เกิด เราต้องเข้าใจ พระอาจารย์พุทสทาสก็อธิบายให้เข้าใจ ว่าชาติการเกิด มันมีสองอย่าง การเกิดทางเนื้อหนังมีครั้งเดียวเท่านั้น ในชาติ ในจิตใจ ถ้ามีอวิชชามาคอยเกิด ตลอดเวลา ก็รู้สึกว่ามีตัวตนนั่นเอง เพราะรู้สึกว่ามีตัวเราของเรา ความทุกข์ต่างๆ ก็จะเข้ามา เวลาเรานอนหลับอยู่ ร่างกายไม่ได้ตาย หัวใจยังทำงานอยู่ปอดยังทำงานอยู่ระบบไหลเวียนของโลหิตก็ทำงานอยู่ แม้แต่ระบบย่อยอาหารมันก็ทำงานอยู่ แต่ว่าเรานอนหลับ ความทุกข์มันไม่มี ไม่รู้สึกว่าเป็นทุกข์อะไร เพราะจิตมันไม่ทำงาน พอตื่นขึ้นมา ตาเห็นรูปหูฟังเสียง เป็นต้น ถ้าเราไม่มีสติสัมปชัญญะ ควบคุมจิตไว้ อวิชชาจะเข้ามา โดยเฉพาะเมื่อผัสสะเกิด อวิชชาจะเข้ามาทันทีเลย ตาเห็นรูป วิญญาณเกิดสามอย่าง เป็นผัสสะจับคู่สัมพันธ์ ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ อวิชชาจะเข้ามา พอเข้ามาก็ปรุงแป๊ปเดียว ก็รู้สึกว่ามีตัวตน มีเรา มีเขา มีเราด้วยมีเขาด้วย และที่ร้ายกว่านั้น ปรุงจนรู้สึกว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นหญิง เป็นชาย นี่คือปัญหามาก
มันปรุงให้รู้สึกว่าเป็นหญิงเป็นชาย เมื่อปรุงให้เป็นหญิงเป็นชายมันมีความต้องการ ทางเพศทางกามมารมณ์ นี่เป็นกิเลสที่ละมันยาก และก็เกิดความทุกข์ ปัญหาต่างๆ ในเมื่อรู้สึกว่ามีตัวตนอย่างนี้ มันทำให้ปฏิบัติธรรมะ มันเป็นไปไม่ได้ ที่ไม่มีความทุกข์ ไม่มีใครเลย ที่จะพ้นจากความทุกข์ ของกิเลสเหล่านี้ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรม เมื่อพวกเราอยู่ในสวนโมกข์สถานที่ปฏิบัติธรรม ต้องสนใจปฏิบัติธรรม ที่ผมเคยพูดบ่อยๆว่า คนที่ที่อยู่เนี่ยกุฎิกรรมฐานใช่มั๊ย ก็ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติมากเท่าไหร่จะมีประโยชน์มากเท่านั้น การที่ทำให้ทุกข์ มันดับก็เกิดละ เหตุที่ทำให้ทุกข์มันเกิด ท่านก็ทรงแสดงไว้มากมาย รวมแล้วมีถึง 37 อย่าง คือ โพธิปักขิยธรรม ลองไปศึกษาดูว่ามันมีอะไรบ้าง โพธิปักขิยธรรม เป็นธรรมะไว้ให้ทุกข์มันดับ
ถ้าปฏิบัติอยู่ในโพธิปักขิยธรรม กิเลสก็เกิดไม่ได้ มีอะไรบ้าง สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 4 พละ 5 โพชฌงค์ 7 อริยมรรค 8 37 อย่าง แต่ว่าการปฏิบัติธรรมที่สำคัญคือ สติปัฏฐาน 4 เมื่อปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 ธรรมะบทอื่นๆก็มารวมอยู่ ในการเจริญสติปัฏฐาน 4 ที่นี่ ที่สวนโมกข์ พระเดชพระคุณท่านพุทธทาสนำระบบที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญมากที่สุด วิธีปฏิบัติธรรม คือระบบอาณาปานสติ ซึ่งมีอยู่ 16 ขั้น ที่พวกเราได้ยินได้ฟังกันบ่อยๆ 16 ขั้นที่รวมรวบในสติปัฏฐาน 4 คือบทที่ 1 ตามเห็นกายในกาย บทที่ 2 ตามเห็นเวทนาในเวทนา บทที่ 3 ตามเห็นจิตในจิต บทที่ 4 ตามเห็นธรรมในธรรม พอเจริญสติปัฏฐาน 4 ธรรมะเนี่ยก็มารวมตัว เช่นความเพียรอย่างเนี้ย สัมมัปปธาน 4 ความเพียร ที่ถูกต้อง ที่จะต้องมารวมตัว อิทธิบาท 4 ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา อินทรีย์ 5 ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มารวมตัวกัน อริยมรรค 8 สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบเป็นต้น จนกระทั่ง สัมมาสมาธิ มันจะมารวมตัวกัน ทำกันจนว่าเราสนใจปฏิบัติธรรมมากน้อย แค่ไหนเท่านั้น
ช่วงเวลาต่อไปนี้ ก็ขอให้ทุกองค์ ทุกคน ที่นั่งอยู่ในบริเวณนี้ จงสนใจ อานาปานสติ ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่าอริยวิหาร ก็ที่อยู่ของพระอริยเจ้า พรหมวิหารคือที่อยู่ของพรหมคือผู้ประเสริฐ ตถาคตวิหารที่อยู่ของพระพุทธเจ้า พระตถาคต พระพุทธเจ้าให้ปฏิบัติอานาปานสติ ปัญหาในชีวิตก็จะ น้อยลงๆ ปัจจุบันนี้ พวกฝรั่งเค้าสนใจพุทธศาสนามากขึ้นๆทั่วโลก ก็ในสวนโมกข์นานาชาติก็มีคนทั่วโลกมาอยู่กัน ก็มาฝึกอานาปานสติ อานะหายใจเข้า อาปานะ หายใจออก ทุกคนก็มีอยู่ ถ้าเราขาดสติ ขาดสัมปชัญญะที่ขาดเนี่ย ต้องหายใจหายใจออก ตลอดเวลา หายใจเข้าอากาศที่ร่างกายต้องอาศัยอากาศออกซิเจน ที่ฝรั่งเค้าเรียกอากาศออกซิเจน พอหายใจออกอากาศเสียออกไปเสีย คาร์บอนไดออกไซด์ ก็หายใจกันอยู่อย่างนี้ แต่ว่าที่ ฝึกสติปัฏฐาน 4 ถ้าไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีความเพียร มันก็ไม่ได้เกิด สติปัฏฐาน 4 ถ้าไม่ฝึกสติปัฏฐาน 4 ก็เป็นช่องทาง ของกิเลสที่จะเข้ามา เผาผลาญจิตใจ
เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เรื่องนกมูลไถ ผมก็เคยเอามาพูดบ่อยๆ นกมูลไถ นกมูลไถตามปกติมันจะหากิน ก็ตามร่องที่ไถ ที่ชาวนาไถทิ้งไว้ในทุ่งนา วันนึงมันประมาท ก็ขึ้นมาหากินบนก้อนขี้ไถ ในขณะนั้นเหยี่ยวที่มันเที่ยวหากินอยู่มันเห็นนกแล้วก็โฉบจับ นกมูลไถได้ จะพาไปฉีกกินเป็นอาหาร นกมูลไถก็ ร้องพิรี้พิไรว่าวันนี้ จะมาถึงแก่ความตาย เพราะไม่เชื่อฟังคำสอน ของบิดา มันก็บ่นไปอย่างนั้น เหยี่ยวก็ถามว่า บิดาของแกสอนว่าอย่างไง นกมูลไถมันตอบว่า บิดาของเรา สอนไว้ว่าถ้าหากินก็หากินระหว่างก้อนขี้ไถ วันนี้เราประมาทขึ้นมาอยู่บนก้อนขี้ไถ แกจึงจับเราได้ เหยี่ยวมัน เชื่อว่ามันมีอำนาจมากก็ปล่อยนกมูลไถลงมา บนพื้นดิน ทีนี้นกมูลไถมันพร้อมละ มันก็ ท้าเหยี่ยวว่าถ้าเก่งจริงโฉบลงมาซิ เหยี่ยวมันโฉบลงมา มันก็หลบเข้าไปอยู่ใต้ก้อนขี้ไถ เหยี่ยวมันพุ่งมาอย่างรวดเร็ว เอาหน้าออกกระแทกกับก้อนขี้ไถ เหยี่ยวถึงแก่ความตาย และเหยี่ยวมันตาย พุ่งมาลงมาตาย เหยี่ยวก็คือมารคือกิเลส งั้นถ้าเราสนใจ ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 ก็คือหากินอยู่ในร่องในรอยของพระธรรม กิเลสก็ข้ามมาไม่ได้ ปฏิบัติสติปัฏฐาน 4 มากเท่าไหร่ จะมีประโยชน์มากเท่านั้น
วิธีปฏิบัติ ทุกสำนัก ถ้าไม่ปฏิบัติอยู่ในสติปัฏฐาน 4 มันก็ผิด ปฏิบัติเท่าไรก็เสียเวลา เปล่าประโยชน์ แต่ว่าชุดในการปฏิบัติมันแตกต่างกัน แต่หัวใจสำคัญต้องปฏิบัติอยู่ในสติปัฏฐาน 4 คือมีสติ มีสัมปชัญญะ และมีความเพียร อบรมจิตให้ได้สมาธิ มากขึ้นๆ เมื่อได้สมาธิมาก็มาอบรม ปัญญา เรียกว่าวิปัสสนา ก็มาเห็น สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า ตถาคต เกิดขึ้นก็ตามไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว คือสังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์ สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นอนัตตา คือไม่ตัวตน ถ้าใครเข้าใจก็จะบอกว่าเรื่องอนัตตา เรื่องไม่มีตัวตน ความทุกข์มันก็ดับ แม้แต่ความตายมันก็ไม่มี นี่แหละธรรมะสูงสุด ในพระพุทธศาสนา ลำดับต่อไปนี้ก็มาปฏิบัติกันเล็กๆ น้อยๆ 5 นาที 10 นาที ปฏิบัติร่วมกัน แต่ว่าอยู่ที่กุฏิ ปฏิบัติมากเท่าไหร่ก็ได้ จะมีประโยชน์มากเท่านั้น ลำดับปฏิบัติกันต่อไปนี้