แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะครับ วันนี้พวกเรามาทำวัตรเช้ากันที่อาคารหลังนี้เพราะว่าฝนตก แต่ว่าฝนตกช่วงนี้ยังไม่ใช่เป็นฤดูฝนที่แท้จริง ฤดูฝนที่แท้จริงทางปักษ์ใต้ปลายๆ พรรษาหรือออกพรรษาแล้ว ฝนที่ตกช่วงนี้เป็นฤดูฝนที่มาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทะเลอันดามัน ตกไม่เต็มที่ บางวันเท่านั้น อย่างวันสองวันข้างหน้าฝนแบบนี้ก็คงจะไม่มี การเข้าพรรษาของพวกเราก็คืออยู่ในฤดูฝน อยู่ในกุฏิ อยู่ในที่ๆ ฝนตกรั่วรดไม่ได้ ปกติถ้าฝนไม่ตกที่สวนโมกข์เราก็ใช้กันที่ลานหินโค้งแต่วันนี้ฝนตกก็ย้ายมาใช้ที่นี่ เป็นประโยชน์ของเสนาสนะ ถ้ามานึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าการให้การทำทานมันมีหลายอย่าง พระสงฆ์เราที่อยู่กันได้มาเป็นเวลาช้านานก็เพราะมีพุทธบริษัทที่เป็นฆราวาสคืออุบาสกอุบาสิกานั่นเอง อย่างในครั้งพุทธกาลอุบาสกที่สำคัญ อุบาสิกาที่สำคัญ ก็มีหลาย ๆ คน เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี นางวิสาขา ได้สร้างที่พักที่อาศัยให้พระภิกษุสงฆ์ วัดเชตวันมหาวิหาร อนาถบิณฑิกเป็นผู้สร้าง บุพพาราม นางวิสาขาเป็นผู้สร้าง พระสงฆ์ก็ได้พักสะดวกสบาย พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้ว่าคนโง่เท่านั้น คนพาลเท่านั้น ที่ไม่สรรเสริญทาน บัณฑิตนี้สรรเสริญทาน
การให้มันมีหลายๆ ชนิด พระพุทธเจ้าตรัสว่าการให้อาหารคือการให้กำลัง มนุษย์เราทุกคนต้องกินอาหาร ถ้าไม่มีอาหารกำลังก็ไม่มี สัตว์ทั้งหลายอยู่ด้วยอาหาร สัพเพ สัตตา อาหารัฏฐิติกา สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ได้ด้วยอาหาร เราก็ต้องฉันอาหารทุกวัน อาหารได้มาจากไหน ได้มาจากประชาชนที่มีศรัทธา อุบาสก อุบาสิกา อย่างวัดสวนโมกข์เราอยู่กันมาก ๆ อย่างนี้ถ้าไม่มีโรงครัวก็คงอยู่กันมากอย่างนี้ไม่ได้ โรงครัว กับข้าว อาหาร มาจากไหน มาจากญาติโยมที่เขาศรัทธา เขาช่วยเหลือบริจาคทรัพย์ให้แม่ครัวปรุงอาหาร เพราะฉะนั้นอาหารนี้จึงเป็นเรื่องสำคัญ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการให้อาหารคือการให้กำลัง การให้จีวรคือการให้วรรณะ มนุษย์เราร่างกายจริงๆ มันไม่ได้สวยไม่ได้งาม ถ้าเปลือยกายอย่างสัตว์เดรัจฉานทั้งหลายมันก็ดูน่าเกลียดมาก ก็ต้องมีจีวรมานุ่งมาห่มกันร้อนกันหนาว กันความน่าเกลียด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการให้จีวรให้เครื่องนุ่งห่มคือการให้วรรณะ การให้ยาคือการให้ชีวิต เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องกินยาใช้ยา
อย่างครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าบอกนิสัย เช่น ไม่มีอะไรก็เอามูตรเอาคูถมาเป็นยารักษาโรคบางชนิด บางคนเนี่ยดื่มปัสสาวะของตัวเองก็ได้ผลดี แม้แต่หมอบางคนก็ดื่มปัสสาวะของตัวเองแล้วบอกว่าได้ผลดี นี่ก็เป็นยาชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่ว่าโรคมันมีมากมายหลายโรค รักษาด้วยยาอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีต้องรักษาด้วยการฉายแสง เช่น โรคมะเร็ง รักษาด้วยการผ่าตัดจากหมอสมัยใหม่ คำว่าโรคนี้แปลว่าสิ่งเสียดแทง สิ่งที่มันมาทำลายชีวิต การรักษาก็ต้องรักษากับหมอ หมอมีความรู้ การรักษาก็ต้องใช้เงินใช้ทองมาก ไม่มีประเทศไหนที่เหมือนประเทศไทยที่พระได้รับความสะดวกสบายคือมีโรงพยาบาลสงฆ์ที่กรุงเทพฯ โรงพยาบาลสงฆ์ต่างจังหวัด โรงพยาบาลเขามีห้องพิเศษสำหรับให้พระสงฆ์เข้าไปรักษา ผมเคยไปที่โรงพยาบาลสงฆ์คุณหมอพยาบาลเขาดีมาก เขาให้เกียรติพระสงฆ์ พระสงฆ์ไปพักก็ได้รับความสะดวกสบาย โรงพยาบาลสงฆ์มาจากสมเด็จพระราชชนนีที่พระองค์ส่งเสริมสนับสนุนให้ทุนทำให้เกิดโรงพยาบาลสงฆ์ ได้รับความสะดวกสบายสำหรับพระสงฆ์ พระพุทธเจ้าตรัสว่าการให้ยาคือการให้ชีวิต การให้เสนาสนะคือการให้ความสุข ลองพิจารณาดูว่าถ้าเราไม่มีเสนาสนะ ไม่มีกุฏิที่อยู่ มันคงหาความสุขได้ยาก
เพราะฉะนั้นอาคารหลังนี้คนบริจาคทรัพย์ให้ท่านอาจารย์พุทธทาสเอามาสร้าง อาคารหลังนี้สร้างขึ้นมาด้วยเรี่ยวด้วยแรงของภิกษุที่สวนโมกข์ของพระในสวนโมกข์เป็นส่วนใหญ่ มีนายช่างคนเดียวเท่านั้นมาคุม นายสุรเดช ผมก็มีโชคดีเหมือนกันได้มาช่วยสร้างอาคารหลังนี้เมื่อปี พ.ศ. 2508 ผมก็ทุ่มเทมาทำงานสร้างอาคารหลังนี้ทำให้ผมมีความรู้มีความสามารถเหมือนอย่างมาเข้าโรงเรียน หลังจากนั้นผมไปสร้างสวนโมกข์นานาชาติ ถ้าคุณได้เข้าไปดู อาคารหลายหลังผมคุมเองทั้งนั้น คุมเองด้วยทำด้วย สวนโมกข์นานาชาติที่ใช้อยู่ปัจจุบัน หลังจากนั้นก็ไปสร้างอาศรมธรรมทูตผมก็ไปคุมเอง เป็นอาคารหลังใหญ่เหมือนกัน หลังจากนั้นก็ไปทำธรรมมาตา กุฏิหลายหลังผมก็ไปออกแบบไปคุมเอง เนี่ยเพราะการมาเรียนรู้ที่สวนโมกข์นั่นเอง สวนโมกข์เหมือนกับมหาวิทยาลัย เป็นที่ศึกษาเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง แต่ปัจจุบันนี้งานหนักๆ ไม่ค่อยจะมีแล้ว งานก่อสร้างก็ไม่ค่อยจะมี สมัยแรกๆ ของการสร้างสวนโมกข์นี้พระสงฆ์ทุ่มเทใช้เรี่ยวใช้แรงทำงานกัน ที่เรียกว่าโรงงานทางหลังเขานี้ใช้เวลาถึง 10 ปี ที่ปั้นภาพพุทธประวัติ สวนโมกข์ก็พัฒนาไปตามลำดับ คนรุ่นหลังมาอยู่ก็เรียกว่าสบายแล้ว ไม่ต้องทำงานหนัก แต่ว่าเรายังมีวันกรรมกรอยู่ วัน 7 ค่ำ วัน 14 ค่ำ ยังมีการทำงาน ฉะนั้นขอให้พวกเราที่มาอยู่สวนโมกข์ให้พอใจในการทำงาน แล้วผมเองนี้ผมทำงานทุกอย่าง งานหนัก กำแพงหินในวัดนี้ผมก่อหลายแห่ง คล้ายๆ กับศาลาธรรมโฆษณ์นี้ผมเป็นคนก่อ คนอื่นช่วยล้างหิน ผมยกหินทีละก้อน ๆ เอาปูนซีเมนต์มาก่อ กำแพงหินที่หัวเรือนี้ผมก็ก่อ กำแพงหินที่บ้านสมเด็จผมก่อ กำแพงที่หินที่บ้านพุทธกรผมก่อ ใช้เรี่ยวใช้แรงเยอะมากแต่ก็ได้ประสบการณ์ ได้มีความรู้ ได้มีความสามารถ
ทำการทำงานคือการปฏิบัติธรรม ทางร่างกายนี้ถ้าเราทำเราฝึกมันก็เกิดชำนาญแต่ว่างานสูงสุดเป็นงานทางด้านจิตใจ งานทางด้านจิตใจนี้เรียกว่าเป็นงานสูงสุด ผมที่บวชมาตั้ง 60 กว่าพรรษา ปีนี้ก็เข้า 67 พรรษา แล้วผมมีโอกาสได้ฝึกสมาธิ แล้วก็ผมก็ฝึกสมาธิประจำวันทุกวันไม่เคยขาดนอกนั้นก็ทำอย่างอื่น เล่าเรียนศึกษา อันนี้ผมเล่าให้ฟังเพราะผมไม่ได้เล่าเรียนแบบคนอื่น ผมเรียนเองจากทั้งหมด เพราะฉะนั้นแต่ละวัน ๆ ผมไม่ได้ปล่อยให้เปล่าประโยชน์ ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้เรี่ยวแรงมันไม่มี แต่ผมก็ทำอย่างอื่นแต่ละวัน ๆ ขณะนี้ก็พยายามรักษาสมองเอาไว้ไม่ให้มันเสื่อมด้วยการอ่านหนังสือ ด้วยการเรียนภาษาต่างประเทศ เรียนภาษาบาลีบ้าง เรียนภาษาอังกฤษบ้าง เรียนภาษาจีนบ้าง ทุกวัน ผมทำทุกวันเป็นปกติ แต่ว่าชีวิตที่จะเหลือต่อไปข้างหน้าเท่าไรผมก็รู้ไม่ได้เหมือนกัน แต่ละวันๆ ถ้าไม่ตายเสียตื่นขึ้นมาก็ทำอย่างนั้นทำอย่างนี้ ตั้งใจจะใช้ชีวิตให้เกิดประโยชน์ ให้มันเกิดประโยชน์แก่ตัวเอง ตราบใดที่เรายังไม่สิ้นกิเลสก็ต้องปฏิบัติไปเรื่อยๆ แล้วพยายามทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน เพราะฉะนั้นผมจึงพูดกับพวกเราทั้งหลายที่มาอยู่ที่สวนโมกข์ว่าขอให้มุ่งมั่นตั้งใจพัฒนาตัวเองโดยเฉพาะทางด้านจิตใจว่าจิตใจของเรานี้มันเป็นอย่างไร ยังเร่าร้อนยังรุ่มร้อนด้วยกิเลสมากน้อยแค่ไหน
มาอยู่ที่สวนโมกข์ให้มีเป้าหมายอยู่ที่คำว่าโมกข์ โมกข์นี้เป็นเป้าหมายสำคัญ โมกข์ก็คือพระนิพพานนั่นเอง เป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนาคือพระนิพพาน แต่ใช้คำแทนหลาย ๆ คำ คำว่าวิโมกข์ วิมุตติ คำว่านิพพานความหมายคือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ได้ตรัสรู้ ได้ค้นพบหนทางที่จะบรรลุนิพพานคือพระองค์ตรัสรู้เรื่องอริยสัจ อริยสัจคือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อริยสัจ 1) ทุกข์ 2) เหตุให้ทุกข์เกิด 3) ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ 4) ทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ทุกข์นี้ต้องรู้จัก วิธีปฏิบัติจะต้องรู้จักตัวทุกข์ ทุกข์ต้องกำหนดรู้ให้ได้ เพราะทุกข์มันมีหลายอย่าง เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ อย่างที่เราสวดกันนี้ แล้วตัวทุกข์ที่สำคัญที่สุด คือทุกข์เพราะยึดมั่นถือมั่นในอุปาทาน สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา นี่คือตัวทุกข์จริงๆ เราไปยึดถือสำคัญมั่นหมายว่าเป็นเราเป็นของเรา ทุกข์ตัวนี้มันเกิดก็ลองวัดดูว่ายังมีความรู้สึกว่าตัวตนอยู่หรือเปล่า ตราบใดที่ยังรู้สึกว่ามีตัวตนทุกข์มันก็มีอยู่เรื่อย ๆ มันยังไม่หมด จะปฏิบัติกี่ปีกี่เดือนถ้ายังมีความรู้สึกว่าตัวตนความทุกข์มันก็ไม่ดับ มันต้องกำหนดให้รู้ สมุทัยนี่ต้องละ เหตุให้เกิดทุกข์นี้ต้องละ คือละกิเลส สมุทัยทุกข์เกิดก็เกิดอวิชชาความไม่รู้ คือไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้กฎของพระไตรลักษณ์ คือไม่รู้ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่แจ่มแจ้ง ยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง รู้แต่ปริยัติแต่ว่ายังไม่รู้ด้วยใจจริงๆ อวิชชามันก่อให้เกิดตัณหาความอยาก ความอยากก่อให้เกิดอุปาทาน นี่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ต้องพยายามละ นิโรธต้องทำให้แจ้ง นิโรธคือพระนิพพาน นิพพานมีอยู่แล้วแต่เราทำให้แจ่มแจ้งไม่ได้เพราะมีกิเลสมาห่อหุ้มจิตใจของเราเกือบตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถสัมผัสกับนิโรธคือนิพพานได้ ก็ต้องปฏิบัติคือมรรค
อบรมมรรคให้เจริญ อริยมรรคมีองค์ 8 ที่เราสวดกันที่สวนโมกข์ สัมมาทิฏฐิ เห็นชอบ สัมมาสังกัปโป ดำริชอบ สัมมาวาจา พูดจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโม เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ สรุปแล้วคือเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา ที่เราปฏิบัติธรรมกันนี้ ที่เราปฏิบัติมันไม่ได้มาก ปฏิบัติอริยมรรคมีองค์ 8 ปฏิบัติที่กาย ที่วาจา ปฏิบัติที่จิตใจ โดยย่อ ปฏิบัติที่คำพูด การอยู่กันมาก ๆ เรื่องคำพูดต้องระวังให้มาก ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดเพ้อเจ้อ ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปพูดแต่เรื่องเพ้อเจ้อ พูดเรื่องเหลวไหล ไม่มีประโยชน์ เรียกว่าเดรัจฉานคาถา พูดเรื่องบ้านพูดเรื่องเมือง พูดเรื่องคนนั้นคนนี้ พูดเรื่องเดรัจฉานคาถา ไม่เป็นไปเพื่อให้จิตใจสงบ
เพราะฉะนั้นพยายามพูดให้น้อยที่สุด ไม่จำเป็นไม่พูด ผมเคยอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาสสังเกตดูว่าท่านพูดน้อยที่สุด ท่านไม่ค่อยพูด พูดพร่ำเพรื่อคนพูดมากคนอื่นเขาไม่ค่อยศรัทธา คนที่พูดมากเขารู้ว่าจิตใจเป็นอย่างไร เพราะว่าคำพูดนี้มันบอกว่าจิตใจของผู้นั้นเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นพูดแต่น้อยจะมีประโยชน์มาก ถือว่าคมในฝัก มีดมันอยู่ในฝักมันคมอยู่ การที่ชักมีดออกมาเป็นมีดที่มันแหว่ง เป็นมีดที่ขึ้นสนิม แสดงว่ามันไม่มีคุณไม่มีค่า ฉะนั้นคำพูดนี้ถ้าเราพูดมากคนเขารู้ว่าจิตใจของเรามันเป็นอย่างไร มันต้องระวังคำพูด ไม่พูดเท็จ พวกโกหกนั้นแน่นอนว่าไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครเชื่อ พูดส่อเสียดยุยงให้เขาแตกกัน พูดคำหยาบนี่ก็ไม่มีใครชอบ พูดเพ้อเจ้อก็ไม่มีประโยชน์ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ต้องไม่ทำ ปฏิบัติทางกายก็ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก อันนี้เราบวชเป็นพระทำไม่ได้อยู่แล้ว ไม่ฆ่าเขา ไม่ลักของ ๆ เขา เพียง 5 มาสกหรือประมาณ 1 บาทก็หมดความเป็นพระแล้ว เจตนาที่จะไปถือเอาของ ๆ ผู้อื่นที่เขาไม่ให้ 5 บาสกหรือบาทเดียวก็หมดความเป็นพระแล้ว ล่วงเกินของรัก วินัยของพระมีอยู่แล้ว ไม่ว่าเรื่องเพศเรื่องกามรมณ์ก็ทำไม่ได้อยู่แล้ว นี่ก็ต้องปฏิบัติ แล้วที่สำคัญที่สุดที่ต้องสนใจเรื่องจิตใจ
ก็ต้องใช้ความเพียร ความเพียรนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมาก วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนจะพ้นจากความทุกข์ได้ก็ต้องใช้ความเพียร ซึ่งมีหลาย ๆ อย่าง 1) เพียรป้องกันไม่ให้กิเลสมันเข้ามาอยู่ในจิตใจ เพียร ระวัง ถ้ากิเลสมันเข้ามาก็ต้องเพียรละให้มันออกไป ขจัดออกไป เพียรให้กุศลมันเกิด กุศลที่สำคัญที่สุดคือสมาธินี่เอง เมื่อมีสมาธิอบรมปัญญา เพียรให้กุศลมันเกิดแล้วเพียรรักษาเอาไว้ จะทำได้ก็ต้องมีสติ สตินี้ขาดไม่ได้เลย ที่เราทำอะไรผิดพลาดบกพร่องเพราะสติมันขาดมันเผลอมันก็ต้องฝึกสติให้มากขึ้น ๆ เมื่อสติดีก็จะทำให้มีสมาธิ พอมีสมาธิดีก็จะทำให้มีสัมมาทิฏฐิ มันก้าวหน้าเป็นโลกุตตระสัมมาทิฏฐิก็คือเห็นว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน เมื่อจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่นความทุกข์มันก็ดับ โมกข์เขาก็ปรากฏ เมื่อมาอยู่ในสวนโมกข์ขอให้ได้สัมผัสกับโมกข์กันทุกวัน วันละเล็กละน้อย
เอาละครับต่อไปนี้เราก็ปฏิบัติกัน พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสท่านนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสอนให้คนปฏิบัติคือระบบอานาปานสติ อานะหายใจเข้า อปานะหายใจออก ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้าออก จิตก็มีสมาธิ แล้วเมื่อเจริญอานาปานสติมรรคทั้ง 8 ก็มารวมตัวกันทันที ถ้าเราไม่ปฏิบัติเราก็ไม่ได้ฝึกอริยมรรคองค์ 8 เพราะฉะนั้นพยายามฝึกอานาปานสติยิ่งมากเท่าไรจะทำให้มรรคมีองค์ 8 มารวมตัวกันมากขึ้น ดังนั้นเวลาต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันตามเวลาที่มี หลังจากที่นี่แล้วปกติถ้าฝนไม่ตกถ้าไม่บิณฑบาตก็จับไม้กวาดกวาดถนนหนทางทำงานแต่ละวัน ๆ อย่าอยู่ให้ว่าง ทำโน้นทำนี้ ทำเพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง ศึกษาเล่าเรียน ปริยัติก็ต้องเรียน เรียนวินัย เรียนพุทธประวัติ เรียนธรรมะ หลังจากนี้แต่ละวัน ๆ 3 เดือนนิดเดียว สำหรับผมอย่างนี้อยู่ ๆ ก็พรรษา จบแล้วพรรษาจบแล้ว จบแล้ว คนที่อยู่มาเยอะอยู่มานาน ๆ ไม่รู้สึกว่าวันมันมากเลย พวกคุณบวช 3 เดือนอย่าคิดว่าเวลามันมาก ทำงานให้สนุก เป็นสุขเมื่อทำงาน ชีวิตจะมีค่า การมาอยู่ที่สวนโมกข์เป็นการบำเพ็ญบารมี บารมีคือทำให้คุณธรรมมันเพิ่มขึ้น ๆ แล้วจะเข้าใจธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้คือเรื่องทุกข์เรื่องดับทุกข์นั่นเอง เอาละครับปฏิบัติกันต่อไปนี้