แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ไม่ว่าบวชเก่าบวชใหม่ รวมทั้งญาติโยมแม่ชีอุบาสกอุบาสิกาที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้เตรียมตัวตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อประโยชน์แก่ตัวเอง เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น และการรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้อยู่ในชีวิตของเรา ให้พุทธศาสนายังมีอยู่ในโลก
ช่วงนี้เป็นช่วงทำบุญตา-ยาย ที่วัดธารน้ำไหล (สวนโมกข์) วันรับตา-ยาย ผ่านมาแล้ว อีกไม่กี่วันก็เป็นวันส่งตา-ยาย ที่อื่นมีการห่างกัน 6-7 วัน การรับตา-ยาย การทำบุญส่งตา-ยาย หมายถึงการบำเพ็ญบุญ บำเพ็ญกุศล อุทิศไปให้แก่ปู่-ย่า ตา-ยาย ที่ล่วงลับไปแล้ว พวกเราที่เป็นพระสงฆ์อยู่กันที่สวนโมกข์ นอกจากที่สวนโมกข์เองก็ยังไปช่วยเหลือที่วัดโน้นวัดนี้ เพราะว่าวัดต่างๆพระสงฆ์มีไม่พอ การทำบุญตา-ยาย นั้นเป็นงานใหญ่คนเข้าวัดเข้าวากันมาก ถ้าคนเข้ามาในวัดมากแต่มีพระสงฆ์รูปสองรูปมันก็ไม่สมบูรณ์ งั้นพวกเราก็ออกไปช่วยเหลือหรือไปสงเคราะห์นั่นเอง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ยก็เพื่อจะให้เกิดบุญเกิดกุศลแล้วอุทิศไปให้ปู่-ย่า ตา-ยาย ที่ล่วงลับไปแล้ว อีกประการหนึ่งการปฏิบัติธรรม อย่างพวกเราอยู่ที่สวนโมกข์ซึ่งเป็นวัดของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านมาสร้างเอาไว้ให้เป็นที่ปฏิบัติธรรม พวกเราอยู่ที่สวนโมกข์อยู่กันอย่างธรรมดาก็ไม่ได้ก้าวหน้าอะไร ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าให้พวกเราทุกรูปทุกองค์เจริญก้าวหน้าในธรรมะของพระพุทธเจ้า การปฏิบัติธรรมเนี่ยก็เพื่อเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ คือ “สัจธรรม”
สัจธรรม คือธรรมะที่จริงแท้เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เรียกว่าสัจธรรม ในการที่จะเข้าใจสัจธรรมก็ต้องเข้าใจชีวิตของเราเอง เพราะชีวิตของเราเองก็คือตัวธรรมะเป็นรูปก็ดี เป็นนามก็ดี หรือขยายออกไปเป็นเบญจขันธ์ เป็นรูป เป็นเวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็วิญญาณ หรือว่าเป็นอายตนะมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีวิตของเราคือตัวธรรมะ การเข้าใจสัจธรรมต้องเข้าใจธรรมะที่อยู่กับเราก่อนที่จะเข้าใจธรรมะที่อยู่ในที่อื่น อยู่กับคนอื่น เราที่ผ่านการศึกษาธรรมะเล่าเรียนปริยัติมาแล้ว ก็จะได้ยินได้ฟังว่าธรรมะหมวด 2 สำคัญมากหมวดนี้ คือ 1. สังขตธรรม 2. อสังขตธรรม อสังขตธรรมก็คือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานเนี่ยเป็นอสังขตธรรม เป็นเป้าหมายที่เราปฏิบัติธรรมเพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้ง นอกจากพระนิพพานแล้วนอกนั้นเป็นสังขตธรรมทั้งหมดที่อยู่ในชีวิตของเราเป็นรูป เป็นนาม เป็นเบญจขันธ์ เป็นอายตนะ เป็นผัสสะ เป็นอะไรล้วนแล้วแต่เป็นสังขตธรรม ข้างนอกทุกอย่างที่เราสามารถเห็นได้สัมผัสได้เป็นรูป เป็นเสียง เป็นกลิ่น เป็นรส เป็นโผฎฐัพพะ เป็นอารมณ์ต่างๆ ล้วนแต่เป็นสังขตธรรมทั้งหมด แล้วถ้ามาปฏิบัติธรรม รู้ความจริงของสัจธรรม ก็จะมองเห็นว่าสังขตธรรม มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป อยู่ตลอดเวลา สิ่งมีชีวิตเป็นบุคคล เป็นสัตว์ เป็นสิ่งของ เป็นธรรมชาติ แม้แต่ดินฟ้าอากาศ มันก็มีการเกิดขึ้น และมีการตั้งอยู่ แล้วมีการดับไป ถ้าเข้าใจสังขารตามที่เป็นจริงที่ใจมันจะเลื่อน เลื่อนขึ้นมาสู่ธรรมะระดับสูงที่เรียกว่า “โลกุตรธรรม” หรือ ปรมัตถสภาวธรรม
โลกุตรธรรม คือธรรมะที่อยู่เหนือโลก โลกที่ว่านี้ก็คือความทุกข์ ความทุกข์นั่นเอง ตราบใดที่เรายังทำให้จิตใจของเราพ้นจากความทุกข์ไม่ได้ เราก็ต้องปฏิบัติธรรมไปเรื่อยๆ ไม่ว่าอยู่ที่ไหน จะไปที่ไหน ก็ต้องปฏิบัติธรรมถึงจะเข้าใจสัจธรรม คือ สังขารที่มันไม่เที่ยง ที่ใดไม่เที่ยงที่นั้นมันเป็นทุกข์ ที่ใดเป็นทุกข์แล้วจะมายึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราไม่ได้ แต่ว่ามนุษย์ทุกคนรวมทั้งสัตว์เดรัจฉานมันมีสัญชาตญาณที่ทำให้รู้สึกว่ามีตัวตน อันนี้มันยากมากที่จะเอาชนะมันได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้ พระองค์อยู่เหนือความทุกข์ ด้วยประการทั้งปวง แล้วพระองค์ก็บอกทางให้พวกเราที่เป็นพุทธบริษัทเดินตามทางนี้ คืนที่พระองค์ตรัสรู้ก็คือเรื่องทางนั่นเอง เราจะเห็นได้ว่าตอนที่พระพุทธเข้าแสดงธรรมครั้งแรกให้ปัญจวัคคีย์ฟัง พระองค์เอ่ยถึงเรื่องทางสองแพร่งที่ไม่ควรข้องแวะ ไม่ควรดำเนิน ไม่ควรปฏิบัติ (เทฺวเม ภิกขะเว อันตา) ทางสองทางนี้เป็นทางตัน ใครขืนเดินสักเท่าไหร่ก็จะทำให้พ้นจากความทุกข์ไม่ได้เพราะเป็นทางตัน “กามสุขัลลิกานุโยค” คือหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกามคุณทั้งหลาย ปุถุชนคนธรรมดาทั่วไปหลงติดยึดติดอยู่ในเรื่องกามคุณทั้งหลายก็ได้แก่รูป เสียง กลิ่น รส โผฎฐัพพะ ที่น่ารักน่าพอใจ ทั้งปัญหาของสังคมที่เกิดขึ้นกันไม่ว่าในครอบครัว ในชุมชน สังคม ในประเทศ ในโลก ที่รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะมนุษย์ติดอยู่เฉพาะกามคุณ มีปัญหามาก มีความเดือดร้อนมาก พระพุทธเจ้าอุปมานอย่างท่อนกระดูกที่สัตว์มันแย่งกัน เอาเป็นเอาตายกัน มีคนฆ่าสัตว์ ฆ่าเนื้อ พอเฉือนเอาเนื้อไปหมดแล้วก็โยนท่อนกระดูกให้สุนัขมันแทะมันกัด เนื้อที่ติดอยู่ในกระดูกมันมีน้อยนัก มีแต่กระดูกแข็งๆ สุนัขก็กัดแทะ เหนื่อยมาก ลำบากมาก แต่ว่าความอิ่มมันไม่มี ปัญหาตามที่ได้เกิดขึ้นในสังคม ทะเลาะวิวาท รบราฆ่าฟันกัน ก็เพราะมนุษย์ไม่ได้เลื่อนชีวิตให้สูงขึ้น ยังอยู่ในระดับเรียกว่ากามคุณ ทางนี้ก็จะทำสักเท่าไหร่ ตกแต่งให้สวยงามแค่ไหน แต่ว่าคนก็ดับทุกข์ไม่ได้
อีกทางหนึ่ง “อัตตกิลมถานุโยค” การทรมานตนให้ลำบาก คนส่วนใหญ่ไม่สนใจที่จะทำ อดอาหาร ทรมานร่างกาย แต่ว่าในประเทศอินเดียมีนักบวชบางประเภทเคยปฏิบัติกันมาแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ก็เคยปฏิบัติมาแล้วแต่ว่าดับทุกข์ไม่ได้ พระองค์จึงเลิกเสีย พระองค์มาหาทางใหม่ เรียกว่าทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ทางสายกลาง แล้วพระองค์ก็บอกทางให้พุทธบริษัทได้เดินทางนี้ ทางสายกลางที่สมบูรณ์คือทางประกอบด้วยองค์แปดเรียกว่า “อริยมรรคมีองค์แปด” สัมมาทิฎฐิ มีความเห็นชอบ อันนี้สำคัญมากเหมือนอย่างดวงตา สัมมาทิฎฐิเหมือนอย่างดวงตา เห็นชอบ เห็นตรง แล้วองค์ถัดมาก็คือสัมมาสังกัปปะ ดำริชอบ ความดำริ ความคิดนึกของมนุษย์เรา อยู่ที่ความเห็นนั่นเอง พอมีความเห็นอย่างนี้ก็คิดนึกตาม ถ้าเห็นผิด ความคิดนึกก็ผิด ดำริผิด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าไม่มีอะไรที่จะอันตรายเท่ากับความเห็นผิด (มิจฉาทิฎฐิ) พระองค์ตรัสว่าโจรพบกับโจร คนที่จองเวรพบกับคนจองเวร คนมุ่งร้ายพบกับคนมุ่งร้าย แล้วต่อสู้กัน เอาแพ้เอาชนะกัน เอาเป็นเอาตายกัน แต่ว่าไม่ร้ายเท่ากับมิจฉาทิฎฐิ มิจฉาทิฎฐิหน่ะสร้างปัญหา ไม่ให้มากกว่านั้น ตรงกันข้ามถ้ามีสัมมาทิฎฐิจะมีประโยชน์มาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “สมฺมาทิฏฺฐิสมาทานา สพฺพทุกฺขา อปจฺจคา” คนจะพ้นความทุกข์ทั้งปวงได้เพราะสมาทานสัมมาทิฎฐิ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสอธิบายคำว่า “สมาทาน” คือ ถือเอาด้วยดี ถือเอามาปฏิบัติอย่างถูกต้อง เรียกว่าสมาทาน ตรงกันข้ามกับ “อุปาทาน” อุปาทานคือมายึด มาถือ มาแบกให้หนัก เพราะฉะนั้นถ้ามีสมาทานสัมมาทิฏฐิก็จะพ้นจากความทุกข์ทั้งปวงได้ ที่ว่าองค์ต่อมาที่สำคัญมากคือสัมมาสังกัปปะ ถ้ามีมิจฉาทิฏฐิก็ดำริไปในทางสวยทางงามคือทางกามทางโลกทั่วๆไปก็มีแต่ยั่วยวนชวนให้นึกเรื่องกามคุณ เรื่องเพศ เรื่องผู้หญิง เรื่องผู้ชาย พยาบาท คิดนึกไม่พอใจ อาฆาต พยาบาทจองเวร คิดไปในทางเบียดเบียน อกุศล วิตก ก็มาจากทิฐินี่เอง ทีนี่เมื่อมีความดำริมีความคิดแล้วต่อไปมันก่อให้เกิดเป็นการกระทำ ถ้ามีมิจฉาทิฏฐินำหน้าต่อมาก็มีการกระทำผิดทางกาย เช่นการฆ่ากัน การลักขโมย การล่วงเกินของรัก ทางวาจาก็จะพูดผิด พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดยุยงให้แตกกัน ส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เมื่อมีการกระทำผิด พูดผิด ปัญหาก็เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ปัญหาก็เกิดขึ้นแก่ครอบครัว ปัญหาก็เกิดขึ้นแก่สังคม อย่างที่เราได้ยินข่าวอยู่เป็นประจำก็มาจากจิตใจของมนุษย์นี่เอง ฉะนั้นพวกเราอยู่ในสวนโมกข์ต้องพยายามเดินทางให้ถูก เดินทางสายกลาง มีสัมมาทิฏฐิเป็นองค์นำ แล้วก็มรรคที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งก็คือสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตให้มันถูกต้อง
ถ้าเราอยู่กันที่สวนโมกข์เป็นพระ ไม่ต้องทำมาหากิน ไม่ต้องตากแดดตากฝน ไม่ต้องไปหาเงิน ญาติโยมทั้งหลายเอามาถวายก็เพราะเขามองเห็นว่าพวกเราที่เป็นพระสงฆ์ปฏิบัติตามธรรมะ ตามวินัย เขาก็ศรัทธาพร้อม ทำให้คนไม่ศรัทธาอยู่ไม่ได้เลย อยู่กันที่สวนโมกช์หลายๆสิบรูป รวมทั้งญาติโยม อุบาสก อุบาสิกาด้วย รวมกันถึงร้อยกว่า ค่าใช้จ่ายแต่ละวันมันเยอะ คุณสุนทร ไวยาวัจกร เอารายได้ของวัดมาให้ผมดู ผมก็มองเห็นว่าเดือนๆนึงใช้เป็นแสน ค่าอาหาร ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอะไรหลายๆอย่าง ถ้าญาติโยมไม่ศรัทธาอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นพวกเรานี้มีสิกขาสาชีพมาเป็นภิกษุก็ต้องสนใจธรรมวินัยกว่าฆราวาสทั่วไปที่ทำมาหากิน บางคนหากินไม่ถูกวิธีประกอบอบายมุขก็ไปไม่รอด มีปัญหา แต่บางคนประกอบสัมมาอาชีพไม่ทำผิดกฏหมายบ้านเมือง ไม่ทำผิดศีลธรรม ก็ก้าวหน้า การที่เราจะมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ ก็ต้องใช้ความเพียร ความเพียรเนี่ยสำคัญ ถ้าไม่มีความพากเพียรมันทำสำเร็จไม่ได้ แต่ความพากเพียรอย่างมันเดียวไม่พอ ต้องมี “สติ” ธรรมะที่สำคัญที่สุดก็คือ สติ เราสู้กิเลสไม่ได้เพราะเราขาดสติ สติมันไม่พอ ก็ต้องฝึกให้มีสติ สติอย่างเดียวไม่พอ ต้องมีสัมปชัญญะมาเป็นคู่กัน ทุกอิริยาบท จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน จะพูด จะนิ่ง จะขบ จะฉัน จะคิด จะนึก ก็ต้องฝึก นี่คือการปฏิบัติธรรม ที่สำคัญที่สุดฝึกให้ได้สมาธิ เพราะสมาธิเป็นกำลังสำคัญ ถ้าไม่มีสมาธิ กำลังมันไม่มี พอได้สมาธิมาก็มาปลุกปัญญา และพอวิปัสสนาปัญญาก็มาตามดูให้เห็นสังขารตามที่เป็นจริง ว่าสังขารมันไม่เที่ยง ที่ใดไม่เที่ยงที่นั้นมันเป็นทุกข์ มันทนอยู่ไม่ได้ เพราะไม่มีตัวตน ดูไปที่ใด ถ้าจิตมีสมาธิมันจะเห็น แม้แต่วันเวลามันก็เปลี่ยน จากวินาทีไปสู่นาทีเป็นชั่วโมง เป็นวัน เป็นคือ
อย่างวันเวลาในพรรษาเดี๋ยวก็ผ่านมาๆ สองเดือนแล้ว ยังเหลือไม่เท่าไหร่พรรษาก็จบ ฤดูแล้ง ฤดูฝน บางประเทศก็ฤดูหนาว ต้นไม้ใบไม้มันก็เปลี่ยน พอถึงหน้าแล้งใบไม้ก็ร่วงหล่น บางภาคของประเทศไทย ภาคอีสานหน้าแล้งมองไปบนภูเขาใบไม้เหลืองไปทั้งภูเขาไม่เหมือนปักษ์ใต้ ภาคใต้ยังมีฝนคอยตกใบไม้ยังเขียวอยู่อย่างอยู่ที่สวนโมกข์ มันเปลี่ยนมันเดินทางไปตามฤดูกาล เวลา มองไปที่วัตถุสิ่งของบ้านเรือน ที่คนสร้างขึ้นมา มันก็ไปเสื่อม ก็ไปเก่า ก็ซ่อมสร้าง บางทีมันก็พังทลายหายไป มองเข้าไปที่สัตว์ก็เช่นเดียวกัน มันปลี่ยนๆ เนี่ยข่าวที่สังคมสนใจเรื่องพยูน คราวก่อนพยูนตายคนก็สนใจกันมาก ตอนนี้ก็หมีตาย หมีแพนด้าตาย เสือตาย ผมนั่งรถนายพันมา นายพันก็เปิดวิทยุฟังข่าว ก็วิพากษ์วิจารณ์ไปถามรัฐมนตรีที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ทำไมมันจึงตาย บางทีมันเป็นสังขาร มันต้องตาย ตายช้า ตายเร็ว มันต้องตาย คนนั้นคนนี้ เดี๋ยวคนนั้นตาย เดี๋ยวคนนี้ตาย ทำบุญส่งตา-ยาย เอากระดูกของคนที่เคยมีชีวิตอยู่มาให้พระบังสุกุล คนเหล่านี้ก็เคยมีชีวิตอยู่แต่เค้าตายไปแล้ว เราเองหน่ะมันเป็นอะไร มันเป็นสังขาร วันหนึ่งเนี่ยมันต้องจบชีวิต เพราะชีวิตมันเดินทางอยู่เรื่อยๆ เดินทางเคลื่อนไหวไปไหนมาไหน วันๆหนึ่งก็เดินกันไป
อย่างผมเนี่ยก็เดินทางไปเกาะสมุย เมื่อวานก็กลับมาจากเกาะสมุย เห็นคนบนเรือเฟอร์รี่ชาตินั้นชาตินี้ ที่เกาะสมุยเค้าจัดงาน Festival วันก่อนผมก็ไปร่วมทำพิธีเปิดที่ท่านเจ้าคณะภาค ท่านเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะตำบล ผมก็ติดไปองค์เสียด้วย ก็ไปนั่ง เรียกว่าไม่ใช่เข้าไปดูงาน เค้าจัดให้นั่ง ท่านนายกรัฐมนตรีก็ถวายจตุปัจจัย แล้วท่านก็ไปเปิดงาน คนเยอะมาก แน่นมาก คนก็เดินทางไปเที่ยวกัน เครื่องบินที่คนเดินทางไปมาจากประเทศนั้นมาประเทศนี้ ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ คนก็เดินทางกันมากขึ้น เดินทางอย่างนี้ร่างกายมันเคลื่อนไหวไป บางทีเราไม่ต้องเดินด้วยเท้า นั่งรถไปรถก็พาไป การเดินทาง แต่บางเวลาไม่ได้ไปไหน อยู่กับที่ แม้นอนอยู่บนที่นอน ชีวิตมันก็ยังเดินทางอยู่ตลอดเวลา ชีวิตในส่วนร่างกายมันก็แก่ แก่แล้วก็เจ็บ เจ็บแล้วก็ตาย เพราะมันเป็นสังขาร ยิ่งจิตใจเนี่ยแว้บไปนึกเรื่องนั้น แว้บไปนึกเรื่องนี้ แต่ละวัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน อยู่ที่กุฏิหรือไหนต่อไหน จิตมันคอยเดินทางอยู่ตลอดเวลา นี่ถ้าไม่รู้จักทางมันก็เดินทางผิด เดินทางอบายไปสู่ความทุกข์นั่นเอง เรียกว่า “อบายภูมิ” นรก เปรต สัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย ทางอบาย นรกก็คือความร้อนใจ ส่วนนรกที่อยู่ใต้ดินนั่นมันยังไม่ถึง ยังไม่ถึงเวลา เรียกว่านรกในชีวิตประจำวันลองทำอะไรให้มันผิดก็ต้องร้อนใจ ร้อนใจเหมือนถูกไฟเผาหน่ะ หากบวชเป็นพระลองทำให้ผิดวินัยดูมันจะร้อนใจกังวลใจ ฆราวาสเหมือนกันทำให้ผิดกฏหมายดู ไปฆ่าเขา ไปลักของของเขา ผิดลูกผิดเมียเขา ก็ต้องร้อนใจ นรกก็เกิด จิตใจมันอยากมันต้องการไม่รู้จักพอ เปรตมันก็เกิด โง่เขลา สัตว์เดรัจฉานมันก็เกิด ความกลัว อสุรกายมันก็เกิด ฉะนั้นคนทั่วไปเดินทางสายนี้กันเป็นส่วนใหญ่ ปัญหาก็มาก ทางด้านจิตใจ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงบอกทางไว้ ให้เดินทางถูก ทางไปสู่สวรรค์ ทางไปสู่พรหมโลก ทางไปสู่พระนิพพาน พระองค์ทรงบอกไว้เสร็จแล้ว ทางไปสู่สวรรค์ก็คือปฏิบัติให้มีศีล อย่างศีลห้าเนี่ย ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา แล้วก็มี “หิริ” ละอายบาป “โอตัปปะ” กลัวบาป ถ้าใครปฏิบัติได้ ชีวิตของผู้นั้นปัญหาก็น้อยลงๆ เดินทางไปสู่สวรรค์ สวรรค์จริงๆ คือพอใจเมื่อเราได้ทำดี ในแต่ละวันๆ ควรทำความดีเอาไว้ให้ตัวเองระลึกแล้วก็ได้พอใจว่าได้ทำความดีได้ทำประโยชน์ ถ้าเราระลึกแล้วไม่เห็นว่าได้ทำประโยชน์อะไร ความพอใจมันไม่มี สวรรค์มันไม่เกิด แต่ละวันๆเราก็หัดทำได้ เราอยู่กันที่สวนโมกข์อย่างที่ท่านช่วยกันทำ กวาดวัด ทำความสะอาดห้องน้ำห้องท่า โรงฉัน กิจกรรมต่างๆ ถ้าตั้งใจทำด้วยความพอใจเรียกได้ว่าสวรรค์มันเกิด โดยเฉพาะการฝึกสมาธิให้มันเดินทางสูงขึ้นๆ ถ้าจิตมีสมาธิได้ฌานสูงขึ้นไปๆ เรียกว่าเจริญเมตตาภาวนา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เป็นทางที่ไปสู่พรหมโลก แต่ยังไม่สูงสุด ต้องเดินทางไปสู่พระนิพพาน ให้ถึงพระนิพพาน พระนิพพานจริงๆไม่ใช่ต้องไป พระนิพพานมันมีอยู่แล้วในทุกหนทุกแห่ง ต้องเข้าใจความหมายของนิพพานให้ถูก คือเมื่อใดจิตใจมันไม่มีกิเลส ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ นิพพานก็ปรากฏ การที่จะเดินทางไปหานิพพานด้วยคำว่านิพพานต้องเข้าใจสังขารเหตุ ชีวิตของเรามันเป็นสังขารทั้งหมด เป็นรูป เป็นนาม เป็นเบญจขันธ์ เป็นอายตนะ มันเป็นสังขาร อยู่ที่สวนโมกข์ก็หาโอกาสเจริญสมาธิภาวนาทางสายกลาง เป็นโดยย่อก็คือสมะและวิปัสสนา
เวลาต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าอีกไม่กี่วันผมก็ไม่ได้ดูว่าพวกคุณโดยเฉพาะพระใหม่ใครลงชื่อที่จะไปเกาะสมุยกันบ้าง ก็จะได้เตรียมตัววันที่ 28 จะเดินทาง เสร็จงานส่งตา-ยาย ที่นี่กันแล้วก็จะเดินทางกันไป การที่ผมพาพวกคุณเดินทางก็เพื่อจะไปสัมผัสไปเรียนรู้และเป็นการเผยแพร่พระพุทธศาสนาไปในตัว การที่พระสงฆ์ไปกันมากๆขึ้นไปบนเรือเฟอร์รี่ มีชาวต่างประเทศเยอะ เป็นฝรั่ง เป็นคนจีน เป็นคนไหนต่อไหน เค้าก็จะได้เห็นว่าเมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา มีพระสงฆ์อยู่กันมาก ไม่เหมือนหลายๆประเทศ พระสงฆ์ไม่ค่อยจะมี และคนจะได้ศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ประเทศไทยเราถ้าชาวพุทธไม่ปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าปัญหาก็ยิ่งมากๆ เพราะคนไทยบรรพบุรุษของเรายอมรับนับถือพุทธศาสนาเอามาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน โดยธรรมะในพระพุทธศาสนามันมีอยู่ 2 ระดับ ระดับศีลธรรม “โลกียธรรม” คนสนใจปฏิบัติกันมาก การทำบุญตา-ยาย นี่ก็เป็นระดับศีลธรรม กตัญญูกตเวที ตัวธรรมะสูงสุดที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบก็คือเรื่องสัจธรรม “โลกุตรธรรม” ก็คือเข้าใจว่าทุกข์มันเป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างไร ทางถึงความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างไร คือเข้าใจอริยสัจ 4 นั่นเอง แล้วก็อยู่ในชีวิตของเรา มองให้เห็นก็ทำให้ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเราได้ เนี่ยจะได้พบสิ่งสูงสุดในพุทธศาสนาเรียกว่า “นิพพาน” สวนโมกข์ โมกขะ ก็ความหมายอันเดียวกับนิพพาน มาอยู่ที่สวนโมกข์ก็พยายามปฏิบัติธรรม นี่คือหน้าที่ของพวกเราที่อยู่กันที่สวนโมกข์แห่งนี้ อยู่เพื่อทำประโยชน์ ประโยชน์แก่ตัวเอง ประโยชน์แก่ผู้อื่น เพื่อการรักษาพุทธศาสนาเอาไว้ดังได้กล่าวมาแล้ว ลำดับต่อไปก็ปฏิบัติกัน ลมหายใจเข้า-ออก ถ้าเรายังไม่ตายมันก็ยังมีอยู่ รีบใช้เสีย ต่อไปไม่รู้เหมือนกันกี่วัน กี่เดือน กี่ปี ลมหายใจเข้า-ออก มันก็มีไม่ได้ ก็จบกัน เอาหล่ะครับ ปฏิบัติกันต่อไปนี้ ขอให้จิตมีสมาธิ เข้าพิจารณาสังขารซึ่งมันแสดงให้เราเห็นระลึกว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และไม่มีตัวตน