แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละครับ ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ไม่ว่าบวชเก่าหรือบวชใหม่ รวมทั้งญาติโยม แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ จงตั้งใจเตรียมตัวที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดี่ที่สุดคือเวลาหัวรุ่ง เพื่อเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ คือเรื่องชีวิตของมนุษย์เรานั่นเอง คือเรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เรื่องทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ทุกข์นี้มันมีในชีวิตของเราตั้งแต่เกิดมา แล้วเหตุให้เกิดทุกข์มันคอยเกิดอยู่ตลอดเวลา ทุกข์มีหลายอย่าง โดยสรุปก็มี 2 อย่างคือ 1) ทุกข์ทางร่างกาย 2) ทุกข์ทางด้านจิตใจ
ทุกข์ทางด้านร่างกายทุกคนก็พยายามแก้ปัญหากันอยู่ตลอดเวลา ที่ยากที่สุดคือทุกข์ทางด้านจิตใจ ทุกข์ทางด้านจิตใจมันมาจากอวิชชาเพราะไม่มีความรู้เรื่องความจริงของธรรมชาติโดยยึดถือเอาสังขารทั้งหลายทั้งปวงซึ่งไม่มีตัวตนไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นเราเป็นของเราที่เรียกว่าอุปาทาน ตราบใดที่ยังมีอุปาทานความทุกข์มันจะมีอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าคนจนคนรวย เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ ทุกชาติทุกภาษา เหมือนกันหมด ส่วนการทำให้ทุกข์ดับถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรมมันมีไม่ได้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจริง ๆ อยู่ที่การฝึกจิตเรียกว่าจิตภาวนานั่นเอง ผมลาพรรษาไปเกาะสมุยเสีย 5 – 6 วัน ผมไปวันที่ 12 กลับมาวันที่ 17 เมื่อวาน ที่ผมไปเกาะสมุยเนื่องจากที่เรียกว่าทุกองค์ก็ทราบกันอยู่แล้วว่าผมไปทำที่ปฏิบัติธรรมที่เกาะสมุยที่เรียกว่าทีปภาวัน ผมไปช่วงนี้ไปอบรมฝรั่ง อบรมคนไทย ที่ทีปภาวันมีการอบรมตลอด อบรมฝรั่ง 3 ครั้งด้วยกัน ฝรั่งทั่ว ๆ ไป 2 ครั้ง ฝรั่งรัสเซียครั้งหนึ่ง แล้วอบรมคนไทย แต่ละเดือน ๆ
ผมก็ไปช่วงนี้เนื่องจากชาวต่างประเทศมาอบรม ฝรั่งก็ไม่ได้มากเกินไปแต่ก็ไม่น้อยเสียทีเดียว ก็มีประมาณเกือบ 30 คน ญาติโยมคนไทยก็ประมาณ 20 กว่าคน ผมทุกวันก็ขึ้นไปนั่งสมาธิกับฝรั่งโดยเฉพาะตอนหัวรุ่ง ตอนกลางคืน บางทีก็มาอยู่กับญาติโยมคนไทย บางวันผมก็ออกไปที่นั่นที่นี่ ออกไปเกือบทุกวัน ไปร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านเจ้าคณะอำเภอเกาะสมุย ท่านพระครูสิริทีปคุณากร ท่านไปขอร้องให้วัดต่าง ๆ จัดอบรมสมาธิภาวนา ผมก็ออกไปเรียกว่าทุกวันก็ว่าได้ ผมไปเกาะสมุยก็มีที่หลาย ๆ แห่งที่ไปทำเอาไว้ ถ้าพวกเราได้ไปเกาะสมุยก็จะได้ไปเห็น ผมตั้งใจจะพาพระใหม่คือพวกคุณที่เข้ามาบวชที่นี่ไปดูไปสัมผัสเกาะสมุย ไปลักษณะธรรมยาตรา ไปเพื่อศึกษาเรียนรู้ ไปเพื่อให้คนได้เห็นพระมาก ๆ ได้ติดตามกันไป เพราะว่าบนเรือเฟอร์รี่แต่ละลำ ๆ เต็มไปด้วยชาวต่างประเทศ เต็มไปด้วยคนต่างชาติ การที่เราไปกันมาก ๆ เขาก็คงจะเห็นว่าเมืองไทยเป็นเมืองพระพุทธศาสนา มีพระสงฆ์มากบวชในพุทธศาสนากันมาก ๆ เขาก็คงจะเพิ่มศรัทธามากขึ้น ๆ ผมไปทำที่เอาไว้หลายแห่งเป็นต้นว่า สวนสมคิดกฤษณาสาระภู ที่ ดร.กฤษณามอบที่ดินให้ผม 40 ไร่ ก็ปลูกป่า ไปปลูกป่าต้นไม้ก็ขึ้นงอกงาม ผมไปร่วมมือกับคนหลาย ๆ ฝ่าย เป็นครูที่โรงเรียน เป็นญาติโยมที่เกาะสมุย ช่วยกันปลูกป่ารักษาธรรมชาติ ทุกวันที่ 14 ก็มีคนขึ้นไป แล้ววันที่ 14 ที่ผ่านมาครูพานักเรียนประมาณ 70 คน เป็นนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ขึ้นไปดูแลต้นไม้แล้วก็ไปนั่งสมาธิ
ผมถือโอกาสว่าไปพบกับเด็กนักศึกษาวิทยาลัยอาชีวศึกษาภาวนาโพธิคุณที่มีนักศึกษาอยู่ประมาณ 300 กว่าคน ที่ผมนิมนต์พระจากสวนโมกข์ไปอยู่กัน 5 รูป เป็นพี่เลี้ยงอยู่ในอาศรมภาวนาโพธิคุณ ไปอยู่มาเป็นพี่เลี้ยงให้นักศึกษาตอนเช้าตอนเย็น มานำทำวัตรบรรยายธรรมแล้วก็นั่งสมาธิ ผมตั้งใจว่าจะไปพบกับนักเรียนเหล่านี้อย่างน้อยเดือนละ 3 ครั้ง ผมออกไปที่นั่นที่นี่แต่ก็อดห่วงพวกเราที่อยู่ที่สวนโมกข์ไม่ได้ ผมก็ขอโทรศัพท์มือถือของพระที่อยู่ที่ทีปภาวันเพราะผมเองผมไม่มีโทรศัพท์มือถือ ก็ขอใช้โทรศัพท์มือถือจากท่านสัณฐานที่อยู่ที่ทีปภาวัน โทรมาหานายพันโดยเฉพาะมาถามข่าวว่าเข้ามาวัดไหม ที่โรงฉันมาไหม เห็นพระเรียบร้อยดีหรือเปล่า มีข่าวอย่างไรบ้าง นายพันก็บอกให้ผมฟัง พอผมรู้ข่าวว่าพวกเราอยู่กันเรียบร้อยผมก็สบายใจ เพราะว่าอย่างไรก็ดีผมยังรับผิดชอบในฐานะเป็นเจ้าอาวาสอยู่ ก็ต้องรับผิดชอบ ถ้าพวกเรามีปัญหาขึ้นมาผมก็ต้องรับผิดชอบด้วย นอกนั้นต้องเซ็นรับรองเรื่องนั้นเรื่องนี้
เมื่อวานผมมาก็ท่านประสิทธิ์ก็เอาหนังสือมาให้ผมเซ็นรับรอง นี่ก็คือหน้าที่ของเจ้าอาวาส อย่างไรก็ดีผมก็สบายใจที่หลาย ๆ องค์มุ่งมั่นตั้งใจที่มาอยู่กันที่สวนโมกข์เพื่อปฏิบัติธรรม ปัญหาต่าง ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น ผมก็ขอบคุณพวกท่านทุกองค์ที่มาอยู่ที่สวนโมกข์ ไม่ก่อปัญหาไม่สร้างปัญหาขึ้นในสวนโมกข์ คนก็เข้ามาในแต่ละวันเพราะเขาศรัทธาต่อท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านอาจารย์สร้างสวนโมกข์ขึ้นมาให้เป็นที่ปฏิบัติธรรม พวกเราเข้ามาอยู่ถ้าปฏิบัติตามที่ท่านอาจารย์พุทธทาสได้พูดได้สอนเอาไว้ ผมคิดว่าก็ได้รับประโยชน์ ก็ค่อยดีขึ้นไปเรื่อย ๆ การปฏิบัติธรรมที่สำคัญที่สุดต้องดูที่จิตใจแต่ละวัน ๆ จนกระทั่งนอนหลับนั่นชีวิตมันหยุดคือจิตมันไม่ทำงาน เหมือนอย่างตายชั่วคราว ในช่วงที่เรานอนหลับก็เหมือนกับตายชั่วคราว ที่มีบางคนพูดว่านอนหลับเหมือนตาย ตอนที่นอนหลับคือจิตมันไม่รู้อะไรเลยมันก็เหมือนตายชั่วคราว พอเราตื่นขึ้นมาก็รู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ ตอนที่เราตื่นนี้มันสำคัญที่สุดที่เรามีความทุกข์ที่มีปัญหาเพราะกิเลสมันเข้ามาอยู่ในจิตใจของเรานี่เอง ช่วงที่เรานอนหลับกิเลสมันก็ไม่ได้เข้ามาแต่พอเราตื่นมันพร้อมที่จะเข้ามา ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีการอบรมจิต มันจะเข้ามา
พอเข้ามาก็มาทำลายจิตที่ดีที่เรียกว่าจิตประภัสสร จิตนี้จะเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้เพราะอาศัยจิตประภัสสรนั่นเอง ถ้าเราไม่รักษาจิตของเราไว้ปล่อยให้กิเลสเข้ามาทำลายปัญหามันก็เกิด กิเลสต่าง ๆ มันเยอะ แต่รวมกันแล้วก็คือราคะ โทสะและโมหะ เผาร่นจิตใจให้เร่าร้อนให้เป็นทุกข์ ให้มีปัญหา ทีนี้ถ้าบังคับมันไม่ได้มันก็ออกมาข้างนอกเป็นกิเลสอย่างหยาบ ท่านแบ่งกิเลสเป็น 3 ประเภท กิเลสอย่างละเอียด กิเลสอย่างกลาง กิเลสอย่างหยาบ กิเลสอย่างละเอียดคือกิเลสที่มันเคยชิน ที่เรียกว่าอนุสัย มันเคยชินที่จะเกิด มันเกิดขึ้นมาถ้าไม่พยายามต่อสู้กับมัน ไม่พยายามที่จะขจัดมัน มันจะทำให้เกิดความเคยชิน ทิ้งเชื้อแห่งความเคยชินให้เกิดเร็วขึ้นง่ายขึ้น ตัวของมันเองก็เป็นสังขาร มันเกิดขึ้นมามันทำหน้าที่ของมัน เช่น เผาผลาญจิตใจของเราให้เร่าร้อนแล้วมันก็ค่อยคลายไป ๆ เพราะมันเป็นสังขารเหมือนกัน แล้วมันก็หมดไป แต่บางเวลากิเลสเกิดขึ้นมาแล้วก็ไม่ใช่ว่าครึ่งชั่วโมงมันจะหาย หนึ่งชั่วโมงมันจะหาย บางทีเป็นวัน ๆ บางทีตั้งหลายวันจึงจะหายไปแล้วมันก็เกิดใหม่อีก ทีนี้ถ้าปล่อยให้มันเคยชินต่อไปมันจะโกรธมากขึ้น เกลียดมากขึ้น รักมากขึ้น กิเลสประเภทนี้เขาเรียกว่าอนุสัย แล้วก็ไหลออกมาเป็นกิเลสเรียกว่าอาสวะ เราต้องรู้ว่ากิเลสมันเกิดขึ้นอย่างไร มันทำหน้าที่กันอย่างไร กิเลสมันเกิดถ้าเราไม่ขจัดมันมันจะเคยชิน เขาเรียกว่าอนุสัยไหลออกมาเป็นอาสวะแล้วผูกพันจิตใจอย่างนี้เรียกว่าสังโยชน์ ผูกมัดรัดรึงจิตใจให้มีปัญหา
เพราะฉะนั้นไม่ว่าเราอยู่ที่ไหนแม้จะมาอยู่ที่สวนโมกข์ถ้าไม่สนใจฝึกจิตใจก็ไม่ได้อะไร ก็มาอยู่กันอย่างธรรมดาเหมือนอย่างอยู่ทั่ว ๆ ไป ในที่ทั่ว ๆ ไป อยู่ที่บ้านที่เรือน อยู่ที่ไหนก็เหมือน ๆ กัน มันไม่แปลก เพราะฉะนั้นมาอยู่ที่สวนโมกข์ขอให้พวกเรามุ่งมั่นตั้งใจเพราะท่านอาจารย์ใช้เวลามีคนช่วยเหลือบริจาคทรัพย์เงินทองมาสร้างสวนโมกข์มากมาย ท่านก็มรณภาพไปแล้ว ท่านทิ้งมรดกเอาไว้ให้เราได้มาอยู่ ดังนั้นพวกคุณต้องมองเห็น ถ้าไม่มองเห็นอันนี้ผมคิดว่าไม่ว่าอยู่ที่ไหนมันก้าวหน้าไม่ได้ มาอยู่ในสวนโมกข์ยังไม่สนใจ ไปอยู่ที่อื่นมันก็ยิ่งแย่ โดยเฉพาะเป็นพระใหม่ พระนวกะ ออกพรรษาแล้วก็ลาสิกขาไป พอไปอยู่ที่บ้านที่เรือนคุณจะพบแต่อารมณ์โลก ๆ เป็นอารมณ์ของกิเลสเสียส่วนใหญ่ เพราะฉะนั้นมาอยู่ที่สวนโมกข์ก็เตรียมเครื่องมือสำหรับต่อสู้กับกิเลส สร้างภูมิคุ้มกันเอาไว้สำหรับออกไปต่อสู้ในชีวิตฆราวาสซึ่งมีปัญหามาก
ถ้าบังคับกิเลสไม่ได้แล้วทำไปตามอารมณ์ของกิเลสดีไม่ดีต้องไปอยู่ในคุกไปอยู่ในตาราง ดีไม่ดีก็ฆ่าตัวตาย ก็มาจากกิเลสเหล่านี้ทั้งหมด มาจากราคะบ้าง มาจากโทสะบ้าง มาจากโมหะบ้าง กิเลสพวกนี้มันจะทำงานร่วมกัน มีราคะก็เพราะมีโมหะ มีโทสะก็เพราะมีโมหะ โมหะมันลึก อวิชชาคือกิเลสประเภทโมหะ พระอริยเจ้าท่านละกิเลสเหล่านี้ได้ พระโสดาบันละกิเลสประเภทโมหะหยาบ ๆ ได้ระดับหนึ่ง คือ สักกายทิฏฐิ เห็นว่ากายนี้เป็นของตน วิจิกิจฉา ลังเลสงสัย ไม่แน่ใจในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สีลพพตปรามาส ถ้าละได้กิเลส 3 ตัวนี้เป็นกิเลสประเภทโมหะที่มันยังหยาบ แต่ถ้าละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพพตปรามาส เท่ากับปิดนรกได้ ปิดนรกปิดอบายได้ ไม่ต้องร้อนใจเหมือนไฟเผาเหมือนตกนรก ไม่เป็นเปรตหิวกระหายอยากได้ต้องการ ไม่เป็นสัตว์เดรัจฉานโง่ ไม่เป็นอสุรกายน่ากลัว เพราะละกิเลส 3 ตัวนี้ได้ เป็นกิเลสประเภทโมหะ ในพระอริยเจ้าที่สูงขึ้นไปก็ละสังโยชน์เหล่านี้สูงขึ้นไป ๆ ตามลำดับ ส่วนกิเลสราคะนี้พระอริยเจ้าโสดาบันยังไม่ละเลย ยังไม่ละราคะเลย สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพพตปรามาส เป็นกิเลสประเภทโมหะ กิเลสราคะต้องมาถึงพระอนาคามี พระสกทาคามีละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลพพตปรามาส แล้วก็ละราคะ โทสะ โมหะ มากกว่าพระโสดาบัน มาละกิเลสราคะถึงระดับพระอนาคามี กามราคะ ปฏิฆะ กามราคะนี้มันเป็นตัวร้ายที่มันรบกวนจิตใจเราอยู่ทุกวัน พวกกามราคะ จิตมันครุ่นคิดถึงเรื่องเพศเรื่องกามารมณ์ แม้อายุมันจะมากแล้วก็ยังมีอยู่ ผมเคยพูดกับพระแก่ ๆ ที่อยู่กันที่นี่ว่า “ท่าน อายุมากแล้วขนาดนี้แล้วกิเลสอะไรที่รบกวนจิตใจของท่านมากที่สุด”
“ราคะ” แม้อายุจะแก่แล้วมันก็ยังมีอยู่ คนแก่จะมีปัญหาร่างกายแก่ชราแต่ว่าจิตใจมันไม่แก่ ยังมีกิเลสราคะรบกวนจิตใจอยู่ เพราะฉะนั้นพวกเราที่มาอยู่ที่สวนโมกข์คุณก็สังเกตดูว่าจิตใจเป็นอย่างไร ยังมีราคะรบกวนจิตใจอยู่หรือเปล่า เร่าร้อนอยู่ด้วยกิเลสพวกนี้หรือเปล่า มันมีกันทุกคนถ้ายังไม่ถึงพระอนาคามี กามราคะ ปฏิฆะนั้นก็คือกิเลสประเภทโทสะ พระอนาคามีละได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้นพระอนาคามีไม่มีความโกรธ ความโกรธนั้นเราละได้ในระดับอนาคามี แต่กิเลสประเภทราคะมันละเอียด กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ การละราคะที่ละเอียดต้องมาถึงพระอรหันต์นะ รูปราคะ อรูปราคะ นี่เป็นราคะที่มันละเอียด คำว่ารูปราคะคือจิตยังกำหนัดพอใจอยู่ในรูปฌาน ฌานนี้เป็นพวกสมาธิ พระอริยเจ้าในระดับนี้ยังพอใจยังติดใจอยู่ในระดับฌาน ยังดับทุกข์สิ้นเชิงไม่ได้ ก็เลื่อนขึ้นมาถึงอรูปราคะ จิตใจยังติดใจอยู่ในอรูปฌาน นี่มันลึกมากพวกอรูปราคะ มานะเป็นกิเลสประเภทโมหะคือสำคัญตัวว่าเราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา ยังมีความรู้สึกว่าเป็นตัวเป็นตนอยู่ พอเห็นคนก็นึกเปรียบเทียบทันทีเลยว่าเราเสมอเขา เราดีกว่าเขา เราเลวกว่าเขา เป็นกิเลสประเภทโมหะ อุทธัจจะคือจิตใจยังไปสนใจว่าเรื่องนั้นน่าสนใจ เรื่องนี้น่าสนใจ ยังมีความรู้สึกว่าซึ้งอยู่ น่าสนใจ พระอรหันต์ท่านไม่มีเรื่องอะไรที่น่าสนใจ ท่านมองเห็นเป็นธรรมดา ท่านมองเห็นว่าทุกอย่างมันเป็นสังขาร ไม่ว่าจะเป็นการบ้านการเมืองเป็นเรื่องอะไรต่าง ๆ ที่คนสนใจ ไม่สนใจว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ อุทธัจจะแล้วอวิชชา อวิชชาคือไม่รู้อริยสัจ ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทก็คือเรื่องอริยสัจ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เรื่องทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นั่นคือเรื่องอริยสัจนั่นเอง ปฏิจจสมุปบาท โดยละเอียดแตกออกไปก็เป็นอริยสัจ แล้วก็ไม่มีอย่างอื่นที่จะเอาชนะกิเลสได้ก็ต้องฝึกจิตให้มีเครื่องมือคือป้องกันจิตอย่าให้กิเลสมันเข้ามาใหม่ แล้วพยายามปฏิบัติเพื่อขจัดกิเลสที่มันยังเหลืออยู่ในจิตใจ ก็ละพวกอกุศลวิตกต่าง ๆ กามวิตก จิตติดอยู่ในทางกาม พยาบาทวิตก จิตติดในทางพยาบาท อหิงสาวิตก จิตติดไปในทางเบียดเบียน
นี่คือการปฏิบัติธรรมประจำวัน พอตื่นขึ้นมาแล้วอกุศลวิตกเหล่านี้มันเกิดมากน้อยเท่าไหร่ ต้องดูเข้าไปในจิต เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าไปสนใจเรื่องคนอื่นว่าเขาทำแล้วหรือไม่ได้ทำ ให้สนใจจิตใจของตัวเองว่าวันหนึ่ง ๆ มันเป็นอย่างไรบ้าง มีกิเลสประเภทไหนเข้ามาอยู่ในจิตใจบ้าง นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอยู่ที่นี่หรือไปที่ไหนถ้าปฏิบัติธรรมแล้วเป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย เอาละครับเวลาต่อไปนี้เราก็ปฏิบัติธรรมกัน ที่เราปฏิบัติธรรมพร้อมกันหลาย ๆ องค์ หลาย ๆ รูป หลาย ๆ องค์ ก็ทำให้สถานที่นั้น ๆ มันมีคุณมีค่า ถ้าเราอยู่ที่สวนโมกข์ปฏิบัติกันอย่างนี้สวนโมกข์ก็มีคุณมีค่า สร้างบรรยากาศที่เป็นบุญเป็นกุศล เอาละครับต่อไปก็ปฏิบัติกัน ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือ หายใจเข้าจิตอยู่กับลม หายใจออกก็จิตอยู่กับลม พอมีสมาธิก็พิจารณาให้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา อันนี้เป็นหนทางเป็นปริยัติ ส่วนจิตจะเข้าถึงจริง ๆ นั้นเป็นเรื่องเฉพาะตัว เอาละครับปฏิบัติกันเล็ก ๆ น้อย ๆ 5 นาที 10 นาที