แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลาย ขณะนี้เป็นเวลาบ่ายโมง เป็นเวลาที่เราได้กำหนดกันเอาไว้ระหว่างพระภิกษุสงฆ์กับคณะญาติโยมแม่ชีอุบาสกอุบาสิกาที่เข้ามาอยู่ที่วัดธารน้ำไหลและสวนโมกข์แห่งนี้ มาปฏิบัติธรรมร่วมกันได้มาเจริญสมาธิภาวนาโดยระบบอานาปานุสติ ช่วงนี้เป็นช่วงจะเข้าพรรษา วันนี้จะทำพิธีเข้าพรรษาของพระภิกษุสงฆ์ เกี่ยวกับเรื่องพระวินัย เมื่อถึงฤดูฝนพระภิกษุในพระพุทธศาสนา จะต้องอยู่ประจำที่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นเวลาสามเดือนในฤดูฝนเป็นเรื่องวินัยที่พระพุทธเจ้าได้บัญญัติเอาไว้ตั้งสองพันกว่าปีมาแล้ว ประเทศไทยเราก็ต้องปฏิบัติตามพระวินัย แต่ว่าฤดูฝนที่พระวินัยกล่าวไว้ ประเทศไทยเรานะฝนมันมาช้า ออกพรรษาแล้วฝนจึงตก ช่วงนี้ฝนยังไม่ตก ตกเหมือนกันแต่ไม่ตกมาก ไม่ใช่ฤดูฝนปลายๆพรรษา อันนี้ออกพรรษาแล้วฝนจึงตก แต่ก็ยังต้องรักษาพระวินัยเอาไว้ สำหรับคณะญาติโยม ฤดูเข้าพรรษาบางคนก็ถือโอกาสมาพักอยู่ที่วัดปฏิบัติธรรม สามเดือนก็มี หลายๆวันก็มีสวมโมกข์แห่งนี้ที่ผูกพันกันอยู่มีอยู่3แห่งด้วยกัน คือ สวนโมกข์ที่ตรงนี้สวนโมกข์วัดธารน้ำไหล ต่อมาท่านอาจารย์พระทาสคิดสร้างสวนโมกข์นานาชาติตรงกันข้ามกับสวนโมกข์แห่งนี้ ที่สวนโมกข์นานาชาติเนี้ยเป็นที่อบรมชาวต่างประเทศ อบรมคนไทย เป็นที่อยู่ของพระต่างประเทศเรียกว่า อาศรมธรรมทูตแล้วก็มีธรรมะมาตาเป็นที่อยู่ของโยมผู้หญิง 3เดือนนั่นในพรรษาก็มีโยมผู้หญิงก็มาอย่างไม่รู้ว่า ปีนี้มาอยู่กันกี่คนบางปีก็มาอยู่ตั้ง 20คน 10กว่าคน อาจารย์รัญจวน อินทรกำแหง มาเป็นหัวหน้า ต่อมาคุณหมอเสริมทรัพย์มาช่วยเหลือ เดี่ยวนี้อาจารย์รัญจวนก็เสียชีวิตไปแล้ว หมอเสริมทรัพย์อายุก็มากก็ไม่ได้ลงมาช่วยเหลือ แล้วก็มีคนอื่นก็พยายามที่จะกระทำกันอยู่ อยู่ที่สวนโมกข์นานาชาติธรรมะมาตา ทั้ง2สวนบุญนี้อยู่ใกล้กัน มีกิจกรรมร่วมกันตลอดเวลา ยังมีส่วนโมกข์อีกแห่งหนึ่ง คือ สวนโมกข์หอจดมายเหตุ อยู่ที่สวนจตุจักรกรุงเทพ
สวนโมกข์หอจดหมายเหตุเกิดขึ้นหลังจากท่านอาจารย์พระทาสมรณภาพไปแล้วหลายปี สวนโมกข์หอจดหมายเหตุเกิดขึ้น ก็เนื่องจากลูกศิษย์ลูกหาของท่านอาจารย์พระทาส มองเห็นว่าผลงานของท่านอาจารย์พระทาส โดยเฉพาะสมุดบันทึกต่างๆ ท่านอาจารย์ได้ทำเอาไว้เตรียมเอาไว้ รวมทั้งภาพที่ท่านถ่ายเอาไว้ ถ้าเก็บไว้ที่สวนโมกข์มันขึ้นราเสียหายมาก ต้องเอาไปเก็บไว้ในที่ๆปลอดภัย เพื่อคนรุ่นหลังจะได้ศึกษาเรียนรู้วิธีดำเนินงานของท่านอาจารย์พระทาส ว่าท่านดำเนินชีวิตของท่านมาอย่างไร ก็เลยคิดจะเอาไปไว้ที่กรุงเทพ
ที่แรกว่าจะเอาไปฝากไว้ที่หอสมุดแห่งชาติหรือว่าที่ใดที่หนึ่ง คุณหมอประเวศบอกว่า ถ้าเอาไปซุกไว้อย่างนั่นไม่เกิดประโยชน์ ก็โชคดีก็ได้ที่สวนจตุจักร สร้างเป็นอาคารขึ้นมาสำหรับเก็บงานของท่านอาจารย์พระทาส ได้มีกิจกรรมอย่างเมื่อวาน อาตมาโทรไปถามดูว่า มีกิจกรรมอะไรบ้างเมื่อวานวันอาสาฬหบูชา ทางหอจดหมายเหตุได้รายงานมาว่าเมื่อวานคนเยอะ คนเกือบ 1000 คน มาทำบุญตักบาตรมาฟังเทศฟังธรรม มาเจริญสมาธิภาวนา กลางคืนก็อยู่กันตลอดคืน เมื่อวานพระหมอศักดิ์ชัยได้ไปช่วยเหลือว่าทางสวนโมกข์เนี้ย องค์นั่นองค์นี้ขึ้นไปช่วยเหลือ อาตมาก็เคยขึ้นไปบางคราว ก็มีคณะญาติโยมมาร่วมปฏิบัติสมาธิแบบเนี้ยกันหลายสิบคนก็น่าปลื้มใจ ดีใจที่คนกรุงเทพสนใจงานของท่านอาจารย์พระทาส อาตมานี้ก็มีส่วนในการทำให้เกิดสวนโมกข์หอจดหมายเหตุ อาตมานี้เป็นเจ้าอาวาสการที่จะนำของต่างๆออกจากวัด เจ้าอาวาสต้องอนุญาต ถ้าเจ้าอาวาสไม่อนุญาตก็นำออกไม่ได้ อาตมามองเห็นว่าถ้าไว้ที่นี้ของจะเสียหาย ก็มอบให้ก็ไปฟังตอนที่เขาประชุมกันว่า จะสร้างอาคารขึ้นมาเก็บสิ่งของอย่างไร อาตมาเห็นว่ามันปลอดภัยดี ก็ทำให้เกิดหอจดหมายเหตุขึ้นมา 3แบบนี้ผูกพันกัน นอกจากนั่นก็เป็นเครือข่ายของสวนโมกข์เยอะมากภายในประเทศต่างประเทศ
แต่ว่าสวนโมกข์ที่สำคัญ ก็สวนโมกข์แห่งนี้ในอำเภอไชยาเนี้ย ท่านอาจารย์มาอยู่ทีวัดตระพังจิกเป็นวัดร้างมานาน ใกล้ๆกับบ้านของท่าน ท่านมาอยู่ที่นั่นเป็นเวลา10ปี ท่านมาอยู่คนเดียวรูปเดียวก่อน มาอยู่หลังพระพุทธรูป มีพระพุทธรูปเป็นพระประธานอยู่ในวัดร้าง กลางวันคนก็ไม่ค่อยกล้าเข้าไปกลัวผี เพราะมันรกเป็นต้นยางใหญ่ๆ ท่านอาจารย์เอามาทำเป็นเพิงมีสังกะสีมุง ท่านก็อยู่หลังพระพุทธรูป ท่านมุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติรูปเดียว เป็นเวลา2ปีกว่าๆ จนกระทั่งท่านแน่ใจในสิ่งที่ท่านเข้าใจแล้วเขียนหนังสือออกมา พิมพ์หนังสือออกมา จึงเกิดหนังสือพุทธศาสนาหลายปีมากเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ท่านอาจารย์เขียนบทความของท่านอาจารย์ส่วนใหญ่ นอกนั่นคนอื่นก็เขียนบ้าง ท่านอยู่ที่นั่น10ปี แล้วก็มาเจอที่ตรงนี้ เมื่อได้ที่ตรงนี้แล้ว ท่านอาจารย์ก็ย้ายมา แรกๆ ก็ไม่มีอะไร ท่านมาอยู่กุฎิหลังแรกที่ท่านมุ้ยอยู่ปัจจุบันนั่น ท่านมาอยู่ที่กุฎหลังนั่น ถ้าใครมาแขกมา ท่านอาจารย์ก็มานั่งต้อนรับที่หน้ากุฏิ
ตอนที่อาตมามาสวนโมกข์ครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2499 ก็มาพบท่านอาจารย์ที่กุฎหลังนั่น อาตมามาสวนโมกข์ตั้งแต่ปี 2499 แต่ว่ามาอยู่จริงเมื่อปี2506 ตอนที่ท่านอาจารย์พระทาสคิดสร้างโรงมหรสพทางวิญญาณขึ้นมา แล้วก็อยู่เรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ 55ปี 56ปี ปีนี้ อาตมาก็ช่วยงานท่านอาจารย์ทุกอย่าง ที่ท่านต้องการจะให้ทำ จนกระทั่งท่านอาจารย์จัดการให้มาเป็นเจ้าอาวาส ซึ่งไม่นึกไม่ฝัน ไม่ได้เตรียมตัวว่าจะมาเป็นเจ้าอาวาส ท่านอาจารย์พระทาสก็ฝึกงานให้ทำ หน้าที่เจ้าอาวาสเนี้ยมันเยอะมากภาระมากต้องรับรู้ โบราณเขาพูดว่าทุกข์กษัตริย์ ทุกข์หัววัด ทุกข์พ่อเรือนแม่เรือน ทุกข์ในความหมายนี้คือ ภาระหน้าที่ต้องเอาใจใส่ ต้องดูแล หนึ่งพระมหากษัตริย์ปกครองประเทศ ทุกข์หัววัด คือ สมภารเจ้าอาวาสต้องรับรู้ทุกเรื่อง เรื่องนั่นเรื่องนี้ แล้วก็พ่อเรือนแม่เรือน คือ คณะญาติโยมๆ ญาติโยมเป็นพ่อบ้านแม่เรือนก็รู้ดี ว่าต้องดูแลเอาใจใส่อย่างไร อาตมาก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุดให้เต็มที่ แต่มาบัดนี้อายุมันมากอายุ87ปี
ท่านอาจารย์พระทาสท่านมรณภาพเมื่ออายุ87ปี ท่านอาจารย์ไม่ค่อยแข็งแรง ก่อนที่ท่านมรณภาพ อยู่ปี 2ปี ท่านเดินเตาะแตะๆไม่ค่อยมีแรงที่จะเดิน จนกระทั่งท่านป่วยและมรณภาพ อาตมานี้ก็โชคดีหน่อยยังเดินได้ไปไหนได้ ยังเดินขึ้นเขาได้ ยังพอมีเรียวมีแรง แต่ว่าสำหรับคนแก่ใครๆก็รู้ว่าคนแก่เป็นอย่างๆไร ตาเนี้ยก็เป็นสำคัญ ไม่เหมือนกับคนหนุ่มๆ ตาคนแก่มองอะไรมันมองเห็นไม่ถนัด อาตมาก็ไปเปลี่ยนเลนส์ตามาแล้ว ถ้าไม่เปลี่ยนเลนส์ตา คือว่าอ่านหนังสือคงมองไม่เห็น แล้วก็เปลี่ยนเลนส์ตา แล้วก็คือความก้าวหน้าทางแพทย์ปัจจุบัน ก้าวหน้าตามองไม่เห็นก็ทำให้มองเห็น หูไม่ค่อยได้ยินก็มีเครื่องช่วยในการฟังอย่างนี้เป็นต้น ที่นี้สำหรับหน้าที่ของอาตมาก็ยังเป็นเจ้าอาวาสอยู่ อาตมาก็ต้องขอขอบพระคุณ ขอขอบใจพระทุกรูปไม่ว่าพระใหม่พระเก่าที่มาอยู่กันที่สวนโมกข์ ต้องขอขอบใจญาติโยมทุกคนที่เป็นแม่ชี อุบาสกอุบาสิกาที่มาอยู่ที่สวนโมกข์ อาตมามองเห็นว่าสวนโมกข์แห่งนี้ เป็นสวนโมกข์ที่สำคัญของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พระทาส ถ้าเราไม่รักษาให้ดี ไม่รักษาให้เข้มแข็งมันก็เสื่อม ถ้าสวนโมกข์แห่งนี้มันเสื่อม ต่อไปเครือข่ายของสวนโมกข์ก็พลอยเศร้าหมองไปด้วย แล้วคนเขาก็ติดตามอยากจะรู้เรื่องอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะพระศักชัยที่มาถ่ายภาพบันทึกเสียงแล้วแพร่ออกไป คนติดตามรู้ถ้าพวกเราอยู่ที่สวนโมกข์เรียบร้อยราบรื่น ไม่มีปัญหาที่อื่นเขาก็พลอยดีอกดีใจด้วย อาตมามองเห็นว่าสวนโมกข์แห่งนี้ก็จะดำเนินไปได้เป็นประโยชน์ ต้องปฏิบัติพระธรรมตามคำสอนของพระพุทธเจ้า
อาตมาก็พูดมาหลายครั้งพูดบ่อย ต้องใช้ระบบภาวนา4 1. กายภาวนา 2.ศีลภาวนา 3.สมาธิภาวนา 4. ปัญญาภาวนา ภาวนาคือการทำให้มันเจริญ ทำให้กุศลธรรม ทำให้คุณธรรมมันเจริญ เรียกว่า ภาวนา กายภาวนาคือใช้เรี่ยวใช้แรงของเราทำประโยชน์ สวนโมกข์เป็นวัดกว้าง บริเวณมันกว้าง ถนนหนทางที่ต่างๆ ถ้าไม่ช่วยเหลือกันวัดจะรกรุงรัง มีห้องน้ำห้องส้วมจำนวนมากคนก็เข้ามาในวัด ถ้าไม่มีคนทำความสะอาด ห้องน้ำห้องส้วมก็สกปรก คนเข้ามาก็เบื่อหน่าย ก็ต้องขอขอบใจ แม่ชีอุบาสิกาหรือว่าพระสงฆ์ที่ช่วยกันทำความสะอาดให้เรียบร้อย นอกนั่นก็ยังมีงานอื่นๆร่วมกันทำวันกรรมกร เสียสละเรี่ยวแรงทำงาน การทำงานกรรมกร 7วันครั้งหนึ่งเนี้ยทำให้เกิดอะไรมากมาย ที่สร้างสวนโมกข์นานาชาติขึ้นมา ก็ใช้เรี่ยวแรงของพระทำงานวันกรรมกรนี้ แล้วก็สนุกสนาน แม้แต่ชาวต่างประเทศที่มาร่วมทำงานกรรมกรเขาก็พอใจ เขามาช่วยขุดดิน งัดก้อนหิน ตอนหลังเขามาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์นานาชาติ ก็ยังบอกว่าเขาเคยมาช่วยเหลือทำงานกรรมกร
สวนโมกข์นานาชาติก็มีการทำงานออกแรงพวกฝรั่ง วันสุดท้ายอบรมฝรั่ง 10 วันที่สวนโมกข์นานาชาติ พวกฝรั่งวันสุดท้ายเขาก็สละเรี่ยวแรงอยู่ในภาคกายภาวนา อยู่ที่กุฏิก็กวาดบริเวณกุฏิ ถนนหนทาง มันเป็นกิจวัตรด้วย บิณฑบาตกวาดวัด แสดงอาบัติทำวัตร สวดมนต์ ขวนขวายปัจจเวกภาวนา อุปัฏฐาก อุปัชฌาย์อาจารย์ บริหารของสงฆ์และกิจสงฆ์ดำรงตน น่าว่าอย่างนี้เป็นต้น มันจะว่าเป็นหน้าที่ ขั้นที่ 2 ศีลภาวนา ศีลเนี้ยมันมีหลายระดับ ศีลประเพณี ชาวพุทธเราเข้าวัดจะถวายทาน หรือว่าจะทำอะไร ก็ทำพิธีรับศีลแล้วถวายทาน ก่อนจะถวายทานก็รับศีลกันก่อน ศีลอย่างนี้เป็นศิลปะระเพณี ถ้าชาวพุทธในเมืองไทย ปฏิบัติศีล5ได้จริงๆเนี้ย ปัญหาอย่างที่มีมันก็น้อยมาก เดี่ยวนี้คนไทยมีปัญหามากเพราะว่าไม่ได้มีศีล5จริงๆ ลองพิจารณาศีล5ดูมีอะไรบ้าง เจตนางดเว้นในการทำลายชีวิต คือ ไม่ประทุษร้ายชีวิตของผู้อื่นสัตว์อื่น มีเจตนาที่ไม่ประทุษร้ายไม่ลักขโมยของๆผู้อื่น ไม่เป็นโจร มีเจตนาไม่ทำของที่เขารักจะเป็นบุคคล เป็นลูก เป็นหลาน ภรรยาสามีคนอื่นหรือว่าสิ่งๆของผู้อื่นที่เขารักเขาหวง คือล่วงเกินของรักเรียกว่าทำผิดในกาม ไม่มีเจตนาที่จะไปแสวงหาประโยชน์ด้วยการพูดให้เขาๆเข้าใจผิดเรียกว่าโกหก แล้วก็ไม่เจตนาไม่ประทุษร้ายสติสัมปชัญญะของตัวเอง อันนี้สำคัญมากศีลข้อที่5
ความจริงศีล5 เนี้ยมีก่อนพระพุทธเจ้า ใครบัญญัติขึ้นมาก่อนก็รู้ไม่ได้ แต่พอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ พระองค์เห็นว่าศีล5เนี้ยเป็นศีลที่มีประโยชน์ พระองค์ก็ยอมรับเอามาใช้ในพระพุทธศาสนาแล้วพระองค์ก็เติมให้สมบูรณ์ ทรงตรัสว่า ศีล5ข้อเนี้ย ข้อที่5 เนี้ยสำคัญกว่าเพื่อน เกิดเสพของมึนเมาสุราเมรัยยาเสพติดมันทำร้ายสติสัมปชัญญะ ถ้าเสพสุราเมรัยสิ่งเสพติดทั้งหลายเนี้ยศีลข้ออื่นๆรักษาไม่ได้เลย อย่างการฆ่า การลักขโมย ล่วงเกินของรัก โกหก เนี้ยคนที่ทำผิดเขาจับมาได้ ก็สารภาพว่า ก็ผมไปดื่มเหล้ามึนเมาทำอย่างนั่นอย่างนี้ จะแก้ตัวหรือว่าเป็นเรื่องจริง แต่ว่าพอขาดสติสัมปชัญญะแล้วทำได้ทุกอย่าง เพราะนั่นตอนนี้แม้ทางรัฐบาลเขาก็ชักชวนงดเหล้าเข้าพรรษา ถ้าใครงดเหล้าสิ่งเสพติดได้จริงๆ ปัญหาในชีวิตจะน้อยมาก ศีลเนี้ยมันต้องอบรม ลำพังรับศีลตามประเพณีแล้วไม่ปฏิบัติ มันยังไม่มีผล ต้องมีเจตนาที่จะปฏิบัติศีลแต่ละข้อแต่ละข้อ สำหรับพระที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็ต้องถือศีล คือที่วินัย วินัยเป็นส่วนหนึ่งของศีล วินัยของพระสงฆ์เนี้ย 227ข้อ 227ข้อนั่นมาสรุปลงในศีลนั่นเอง เพราะนั่นผู้ที่บวชเข้ามาก็ต้องตั้งใจที่จะอบรมให้ศีลมันก้าวหน้ามากขึ้นๆ ในเมื่อมีศีลแล้วก็อบรมให้เกิดสมาธิ ถ้าไม่มีศีลเลยมันก็ยากที่จะทำให้จิตใจมีสมาธิ เพราะจิตมันคอยวิตกกังวล มีคนที่เขาเป็นทหาร เป็นทหารไปรบทัพ ไปรบกับข้าศึก ฆ่าฝ่ายข้าศึกตาย ตัวเขาเห็นอยู่ ใช้ปืนยิงเขาไปฆ่าเขา พอมานั่งสมาธิ จิตมันก็เห็นภาพ ภาพที่เขาตาย มันก็ทำให้จิตใจมันวิตกกังวล
เคยมีผู้กำกับคนหนึ่งเนี้ย เคยมาบวชที่เนี้ยจำชื่อจำไม่ได้ พอตอนหลังผู้กำกับคนนี้ก็ถูกเขาฆ่าตายเหมือนกัน แกมาอยู่ที่ท่าชนะ ตอนนั่นโจรผู้ร้ายมันรบกวนชาวบ้าน เดือดร้อนกันมากนอนก็ไม่ค่อยหลับเพราะโจรมันชุกชุม ผู้กำกับคนนี้เขามาอยู่ แล้วก็ไปจับโจรมาได้ จับโจรมาได้ใส่โซ่กุญแจมือ โจรคนนี้ก็ยกมือไหว้ แกก็เตะเลย ใช้เท้าเตะหน้าและใช้ปืนยิง คนร้ายคนนี้ก็ตาย โจรคนนี้ก็ตาย ชาวบ้านทั่วไปเขาก็ดีใจอนุโมทนา ฆ่าโจรร้ายตายชาวบ้านจะได้นอนหลับ แล้วแกบอกว่า พอมาบวชเป็นพระ พอนั่งแล้วมันเห็นภาพ เห็นภาพที่เขายกมือขอชีวิตแล้วแกใช้เท้าเตะเขาตาย มันก็ฝังอยู่ในใจ ต่อมาผู้กำกับผู้กองคนนี้เลื่อนไปจนกระทั่งเป็นนายพล ไม่รู้เกิดเรื่องอะไรแล้วก็ถูกตำรวจลูกน้องยิงแกตาย เพราะนั่นศีลเนี้ยอย่าคิดว่าไม่สำคัญ ถ้าเราไปทำอะไรผิดเอาไว้ มันจะมาหลอกมาหลอน จิตไม่มีสมาธิโดยเฉพาะไปฆ่าเขาหรือว่าไปทำให้เขาเสียหายมากๆเนี้ย มันทำให้รบกวนจิตใจ
ศีลเนี้ยต้องรักษาให้ดี มันจะทำให้มีสมาธิดี เมื่อมีสมาธิแล้วก็ทำให้เกิดปัญญา เพราะนั่นกายภาวนา ศีลภาวนา สมาธิภาวนา ปัญญาภาวนา มันเอื้อกัน เพราะนั่นพวกเราที่อยู่ที่สวนโมกข์ มาอยู่เพื่ออบรมปฏิบัติพัฒนาชีวิตให้เจริญก้าวหน้า ก็ต้องทำหลายๆอย่างแต่ละวันแต่ละวัน เอาท่านอาจารย์พุทธทาสเป็นตัวอย่างเพราะมาอยู่ในวัดของท่าน ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านได้สอนเอาไว้ว่า บวชจริง เรียนจริง ปฏิบัติจริง ได้ผลจริง สอนผู้อื่นจริง ต้องจริงตลอดเวลา ท่านอาจารย์ทำงานวันหนึ่ง 18 ชม. แล้วก็ทำงานด้านตำราแปลหนังสือวันหนึ่ง 18 ชม. ผลงานของท่านจึงมีมาก พวกเราจึงได้มาอยู่สบาย ตอนนี้ถ้าเราพร้อมเพรียงกันสามัคคีกันก็จะไม่มีปัญหา แม้อยู่กันมากๆก็ไม่มีปัญหา ถ้าไม่มีการขัดแย้งทะเลาะวิวาทสามัคคีกัน ญาติโยมเขาเข้ามาก็ศรัทธาเลื่อมใส โดยเฉพาะช่วงที่คนเข้ามาในวัด
เดี่ยวนี้คนมาก็ไม่ได้มามือเปล่า มีโทรศัพท์มือถือติดมือมาด้วย แล้วพวกเรามานั่งเรียบร้อย มาเจริญสมาธิภาวนา ที่จริงไม่ใช่มาอวดมาแสดงมาโชว์ ก็แต่ว่าเป็นหน้าที่ๆเราอยู่ ก็ในวัดมาปฏิบัติร่วมกัน ก็ต้องขอขอบใจพระสงฆ์ทุกรูปญาติโยมทุกคนที่เห็นความสำคัญ มนุษย์เราเนี้ยเกิดมาก็มีร่างกายมีจิตใจ ต้องอาศัยปัจจัยเครื่องอยู่ ร่างกายต้องอาศัยปัจจัย4 ก็มีอาหารกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ บ้านเรือนต้องอยู่อาศัย ยารักษาโรค ถือว่าปัจจัย4เป็นสิ่งจำเป็น แต่ว่าถ้าญาติโยมเป็นฆราวาสมันก็ต้องหาเพื่อลูกเพื่อหลานเพื่อความร่ำรวย ส่วนใหญ่ก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะหาเงินหาทอง แต่ว่าเป็นสิ่งจำเป็น ถูกแล้วเป็นสิ่งจำเป็น เรียกว่าโภคทรัพย์ แต่ว่ามีโภคทรัพย์อย่างเดียว ถ้าไม่มีอริยทรัพย์ มันก็ยังไม่มีความสุข เพราะนั่นการมาปฏิบัติธรรมในวัด แม้มาเจริญสมาธิภาวนา หรือมาแสวงหาวอริยทรัพย์ คือทรัพย์ของพระอริยะเจ้า เป็น ทรัพย์ประเสริฐ
ทรัพย์นี้สำคัญ การแสงหาโภคทรัพย์เราไม่ได้แสวงหาได้ตลอดชีวิต ตอนเด็กๆเราก็ไปหาเงินหาทองไม่ได้ เพราะตัวยังเล็กพ่อแม่ต้องเลี้ยงดู พ่อแม่ต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองมาเลี้ยงดูลูกส่งลูกให้เล่าให้เรียน จนกระทั่งมีความรู้ทำงานได้ ก็เริ่มวัยหนุ่มวัยสาวก็ต้องแสวงหาทรัพย์ ชีวิตก็ผ่านไปผ่านไป ถ้าอายุมันแก่มากขึ้น70ปี 80ปี จะไปหาเงินหาทองมันทำไม่ได้แล้ว เรี่ยวแรงมันไม่มี เดี่ยวนี้ก็ปลดเกษียณอายุ 60ปีก็ปลดเกษียน แต่ว่าบางคนก็ยังไปทำงานอย่างอื่นแล้วแต่ความรู้ เช่น พวกหมอ หมอมันมีไม่พอ หมออายุ60กว่าก็ยังทำงานราชการได้ เนี้ยสำหรับการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง แต่เรื่องแสวงหาอริยทรัพย์มันแสวงหาได้จนตาย อายุแก่มากเท่าไหร่ก็เป็นโอกาสที่จะแสวงหาอริยทรัพย์ได้มากขึ้น เพราะว่าชีวิตที่ผ่านมาก็ได้ศึกษาเรียนรู้ประเทศเราทำมามันมีอะไรเป็นสาระ เป็นแก่นสารบ้าง มีอะไรที่มาช่วยคุ้มครองป้องกัน ให้เราไม่กลัวความตาย ไม่กลัวความทุกข์ ทรัพย์สินเงินทองมันช่วยไม่ได้แต่ว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้าเนี้ยจะช่วยได้ ขอให้ท่านทั้งหลายที่มาอยู่ในวัดสนใจอบรมแสวงหาอริยทรัพย์ ซึ่งมีหลายๆอย่าง สรุปแล้วก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญานี้เอง เพราะนั่นเวลาต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ชีวิตของเราเป็นของกลางๆ ปัญหาที่มีในชีวิตเพราะบาป เพราะอกุศล เพราะกิเลสมันเข้าไม่หยุด
ในการปฏิบัติธรรมคือการขจัดบาป กุศล กิเลสให้มันออกไป 1.ป้องกันอย่าให้กิเลสมันเข้ามา ก็คือ สำรวมตา หู จมูก ลิ้นกายใจ บางเวลามันเผลอ กิเลสก็เข้ามาอยู่ ก็ขจัดมันออกไป อย่าให้มันเคยชิน จนกระทั่งเป็นอนุสัย ทำยังไงจึงจะขจัดกิเลสเหล่านี้ออกไปได้ ก็ต้องรู้ ต้องเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ว่าทุกสิ่งทุกอย่างเนี้ยยกเว้นพระนิพพาน มันเป็นสังขารทั้งนั่น สังขารคือมีเหตุ มีปัจจัยปรุงแต่ง กิเลสก็คือสังขาร ที่มันเกิดขึ้นจากเหตุจากปัจจัย สังขารมันก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา การปฏิบัติธรรมสูงสุด ก็คือเพื่อเข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรานี้เอง ญาติโยมทั้งหลายพระสงฆ์ทั้งหลายลองพิจารณาดู จิตของเรายังรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเราหรือเปล่า ตราบใดที่ยังรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา ความทุกข์ในจิตใจมันก็จะมีเรื่อยๆ ก็ถ้าเมื่อใดเข้าใจแจ่มแจ้ง ว่าไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราสัพเพธัมมาอนัตตาได้ ความทุกข์ในจิตใจมันก็ไม่มี เนี้ยคืออริยทรัพย์สูงสุดก็เกิด ก็คือปัญญานั่นเอง เอาแหละต่อไปนี้ต่างคนต่างปฏิบัติด้วยกันร่วมกัน ก็ต้องมีสติ สตินี่ก็เป็นอริยทรัพย์ ระลึกเกี่ยวกับอารมณ์ของสมาธิ ลมหายใจเข้าออกระบบที่เราปฏิบัติที่นี้คืออานาปนสติ อานะหายใจเข้า อาปานะหายใจออกขั้นที่1 ให้จิตเกาะกับลม ตามลมไปทำความรู้กับลมเข้าแล้วก็เดินทางมาหยุดที่ท้องที่สะดือ แล้วก็เดินตามมาที่ปลายจมูก อาตมาเคยแนะนำพวกฝรั่งให้ทำความรู้สึกว่าลมเข้าทางจมูกแล้วเดินทางผ่านมาตามลำดับๆ ผ่านมาตามกระดูกสันหลังด้านในแล้วมาหยุดที่ท้องที่สะดือ หายใจออกติดตามลมมาตามลำดับ
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ต่อไปถ้าจิตมีสมาธิจะเห็นโครงกระดูกของตนเอง เห็นร่างกายของเราว่ามีแต่โครงกระดูก ถ้าใครทำให้เกิดนิมิตอัฐิกะอะนิมิตแบบนี้จะมีประโยชน์มาก สามารถเอาชนะกิเลสประเภทราคะได้ดีก็ลองทำดู แล้วทั่วไปมองเห็นตัวเองเวลาส่องกระจกก็เห็นแต่รูปแต่ร่างข้างนอกไม่ได้เห็นข้างใน ข้างในของร่างกายมนุษย์เรามีอะไร ก็คือมีโครงกระดูกมีเส้นเอ็น ไปดูโครงกระดูกที่แขวนไว้ที่ศาลาโรงธรรม มีอวัยวะต่างๆอยู่ภายในร่างกายนี้คือชีวิตของมนุษย์เรา แต่ว่าคนมันมีความกำหนัดว่าสวยว่างาม เพราะอำนาจของกิเลสมันมาครอบงำจิตใจ การปฏิบัติธรรมก็เพื่อจะเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง แล้วก็เพื่อจะไม่ยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราเป็นของเรา คือเห็นอนัตตา เห็นว่าไม่ใช่ตัวตน แล้วตั้งใจปฏิบัติกันต่อไปนี้ เวลายังเหลือ25นาที บ่าย2โมงเราก็เลิกกันให้โยมตั้งใจปฏิบัติกัน