แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ ก็ขอให้พวกเราที่เป็นภิกษุสงฆ์ ทุกรูปทุกองค์ ไม่ว่าบวชเก่าหรือบวชใหม่ รวมทั้งคณะญาติโยม แม่ชีอุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ จงเตรียมตัวตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรม เพื่อให้เข้าถึงธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ เพื่อทำที่พึ่ง ของตนของตน ให้มันเข้มแข็ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ ได้ตรัสรู้สิ่งสูงสุดถึงทำให้พระองค์ ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พ้นจากความทุกข์ มีความเกิดแก่เจ็บตาย เป็นต้น พระองค์ยังเป็นที่พึ่งของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า พุทธบริษัทก็มีไม่ได้ เพราะฉะนั้นพวกเราเป็นพุทธบริษัท มีหน้าที่ ที่ต้องปฏิบัติธรรม ซึ่งมีหลายๆ อย่าง ประการแรกคือ ทำที่พึ่งให้เกิดขึ้นแก่ตน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของชาวพุทธ เพราะฉะนั้นชาวพุทธเราไม่ว่าเป็นพระภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง มีมีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ถ้าชาวพุทธไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก็ไม่เป็นชาวพุทธ การที่เราจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งก็ต้องพึ่งตนเองอีกนั้นเอง
ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตาหิ อัตตะนาโน นาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน เราจะมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งได้ ก็เพราะตัวของเราเอง ต้องกระทำ ทีนี้ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ มันมีมากมาย 84000 พระธรรมขันธ์ หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็จาริกไปโปรด คนที่พอจะเข้าใจได้ พอที่จะเข้าใจธรรมะของพระองค์ได้ เป็นนักบวชบ้าง เป็นคฤหัสถ์ ฆราวาสครองเรือนบ้าง ที่นั่นที่นี่ ต่อมาเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว มีพระมหากัสสปะเป็นประธาน จัดให้มีการทำสังคายนา คือการร้อยกรองพระธรรมวินัย ให้อยู่มั่นคงตามเรื่องราวของพุทธประวัติ ครั้งที่หนึ่ง ครั้งที่สอง ครั้งที่สาม
ต่อมาพุทธศาสนาแผ่ขยายไปต่างประเทศ มาถึงศรีลังกา มาสุวรรณภูมิ ประเทศแถบที่เราอยู่ ประเทศศรีลังกานี่สังคายนารู้สึกว่าเป็นครั้งที่สี่ ก็ได้บันทึก เป็นตัวอักษร เป็นคัมภีร์ขึ้นมา เรียกว่าคัมภีร์พระไตรปิฎก บันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหมวด เป็นหมู่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ตั้งแต่หมวด 1 ถึงหมวด10 หมวด 20 เป็นหัวข้อธรรมะ เยี่ยมมาก แต่ใจความสำคัญของธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็มีแต่เรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์เท่านั้น ดังที่พระองค์ตรัสว่า ก่อนหน้านี้ก็ดี แม้ขณะนี้ก็ดี เราสอนในเรื่องทุกข์ กับเรื่องดับทุกข์ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เกิด ทำให้ชีวิต ของเราที่มันเป็นตัวทุกข์อยู่แล้วเนี่ย ให้มันมีความทุกข์น้อยลง น้อยลงทุกข์เนี่ยมันก็มีอยู่หลายๆอย่าง แต่สรุปแล้วก็มีสองอย่าง ทุกข์ทางร่างกาย กับทุกข์ทางด้านจิตใจ ทุกข์ทางด้านร่างกาย
ทุกคนก็พยายามที่จะหาวิธีเอาชนะความทุกข์ เช่นความหิว ความกระหาย ก็ไปหาอาหาร หาน้ำมาดื่ม เอามาบรรเทาความทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วย ก็พยายามรักษา ใช้ยา หาหมอ ก็พยายามกันทุกวัน แต่ความทุกข์มันก็ไม่ได้หมดโรคนี้ ผ่านไป โรคใหม่ มันเข้ามา ร่างกายของมนุษย์เรา มันเป็นที่อยู่ของโรคภัยไข้เจ็บ พระพุทธเจ้าใช้คำว่า โรคนิทธัง โรคะก็คือโรค นิทธังคือรัง ที่อยู่ของโรค เดี๋ยวโรคนั้น เดี๋ยวโรคนี้ มันมีความทุกข์ อยู่ในตัวชีวิตของเรา พอเกิดมาก็พาความทุกข์มาเสียแล้วทางร่างกาย และที่ทำกันอยู่คือทุกข์ทางด้านจิตใจ ทุกข์ทางด้านจิตใจ มันมาจากกิเลส กิเลสเนี่ยมันมีมากมาย หลายอย่าง แต่ว่าแม่ของกิเลส ก็มีเพียงสามอย่างคือ ราคะ โทสะ และโมหะ เนี่ยเป็นแม่ของกิเลส
เมื่อกิเลสมันเข้ามาอยู่ในจิตใจของเราได้ จิตใจก็มีปัญหา จิตใจก็มีความเครียด มีความเร่าร้อนกระวนกระวายในชีวิตประจำวันเนี่ย เนี่ยทำอย่างไร ให้ความทุกข์เหล่านี้มันเบาบางลง เบาบางลง ต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมนี่เอง การปฏิบัติธรรมทำที่พึ่งให้แก่ตัวเอง จะต้องอาศัยความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ทรงแสดงเอาไว้ เรียกว่าเป็นพระธรรม พระธรรมถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ มีอยู่ก่อนที่พระพุทธเจ้า ได้อุบัติขึ้นบนโลกนี้เสียอีก ดังที่พระองค์ได้ตรัสว่า ตถาคตจะเกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว ธรรมะก็คือธรรมชาติ มันมีอยู่แล้ว แต่ว่าคนไม่รู้จัก เข้าถึงมันไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ได้ค้นพบ ได้เปิดเผยธรรมะเหล่านี้ให้คนเข้าใจ โดยเฉพาะหัวใจธรรมะที่สำคัญที่จะทำให้ความทุกข์ในจิตใจเบาบางลงได้นี่ก็คือ เข้าใจธรรมนิยาม เป็นกฎตายตัวของธรรมะคือสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา แต่ไม่ใช่ตัวตน ความทุกข์ทางจิตใจเนี่ย มันมาจากอวิชชาคือความไม่รู้ไม่เข้าใจ
ธรรมชาติตามที่เป็นจริง ก็ไม่เข้าใจว่าทุกข์จริงๆมันคืออะไร เหตุให้เกิดทุกข์มันมาจากไหน ดับทุกข์เนี่ยมันคือดับอะไร ถามถึงความดับทุกข์มันคืออะไร ไม่เข้าใจ ก็ทำให้จิตใจเป็นทุกข์เร่าร้อนกระวนกระวายในชีวิตประจำวัน เพราะไม่เข้าใจธรรมะ คือไม่เข้าใจธรรมชาติตามที่เป็นจริง พระพุทธเจ้าก็ได้ทรงเปิดเผยให้คนเข้าใจ ทีนี้ถ้าใครเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้ตามที่เป็นจริง ก็จะทำให้ความทุกข์ในจิตใจมันลดลง ลดลง ก็เลยทำให้มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลังจากที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรงปรารภว่า การอยู่อย่างไม่มีที่พึ่ง มันไม่สมควร แม้พระองค์เอง ก็ต้องมีที่พึ่ง และพระองค์ก็พิจารณาว่า ใครบ้างที่จะเป็นที่พึ่งของพระองค์ก็มองไม่เห็น ???พระองค์ก็ตัดสินใจว่าธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้นี่เอง
จะเป็นที่พึ่งของพระองค์ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงเคารพธรรม เอาธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้มาเป็นที่พึ่งของพระองค์ พวกเราเป็นพุทธบริษัท เราจะเป็นพุทธบริษัทได้ต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ต้องเข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั่นคือเรื่องเดียวกัน หัวใจสำคัญของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์คือเรื่องเดียวกัน สิ่งเดียวกัน เกิดความสะอาด สว่างสงบ ความไม่มีทุกข์ในจิตใจนั่นเอง
นี่เป็นหัวใจของพระรัตนตรัย พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสได้อธิบายให้คนรู้เข้าใจอย่างชัดเจน ว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์มันมีหลายแบบ หลายชั้น อย่างพระพุทธเจ้าก็มีหลายชั้น พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง
เป็นแต่พระพุทธเจ้าพระองค์แทน ตัวคนยึดถือ ในพระพุทธรูปมาก ถึงกับมีปัญหา แม้แต่พระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศตะวันตก บางคนก็ถือว่าจะเป็นสิ่งที่ไม่เป็นมงคล อัปมงคลก็พยายามที่เปลี่ยนพระพักตร์ของพระพุทธรูปไปทางทิศตะวันออก แม้แต่ที่ทั่วไปธรรมดา เมื่อวาน ผมขึ้นไป (กะ-โป-ธา-วัน) มีโยมมาเสนอว่าจะทำลานหินโค้งเสียใหม่ ลานหินโค้งที่ผมไปทำเอาไว้ มันติดอยู่กับลำคลอง คลองน้ำ พระไปนั่งอยู่ที่ริมลำคลอง แต่พระพุทธรูปหันหน้าไปทางทิศตะวันตก ญาติโยมที่มาทำบุญ มาปฏิบัติธรรม หันหน้ามาหาพระพุทธรูปแล้วก็มองเห็นลำธาร มองเห็นลำคลอง มันเป็นบรรยากาศ ที่มันชวนให้เข้าใจธรรมะ เพราะน้ำในลำคลองมันไหลตลอดเวลา แต่มันมีบางคนยึดติดว่า พระพุทธรูปต้องหันหน้าไปทางทิศตะวันออก
ถ้าไม่เช่นนั้นมันเจริญไม่ได้ ผมก็ไม่เห็นด้วย ผมก็บอกว่า พระพุทธรูปเนี่ย ถ้าเอามาทุกแบบ ทุกสมัยของทุกประเทศเอามาวางรวมกัน แล้วใครกล้าบอกได้ไหมว่าองค์ไหนที่มีลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้า พระองค์จริง ใครกล้า บอกได้มั้ย มันไม่มี พระพุทธเจ้าดับขันธ์ ไปตั้งห้าร้อยปี พระพุทธรูปจึงบังเกิดขึ้น ด้วยคันธาระเกิดขึ้นในประเทศอินเดีย ต่อมายุคนั้นยุคนี้ ในประเทศไทยเรา ยุคสุโขทัย ยุคเชียงแสน ยุคอยุธยา ยุครัตนโกสินทร์ ก็เอาแบบพระพุทธรูปจากจีนมา พระพุทธรูปจากญี่ปุ่นมา พระพุทธรูปอย่างศรีลังกามา เอามาวางรวมๆ ไม่มีใครกล้าทายว่าองค์ไหนที่มีลักษณะเหมือนพระพุทธเจ้า ไม่มีใครกล้า เพระฉะนั้น พระพุทธรูปไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง เป็นแต่พระองค์แทน เราชาวพุทธ เคารพกราบไหว้ พระพุทธรูปไม่ใช่เคารพ วัตถุโลหะ หิน หรือว่าไม้ก็ตามแล้วแต่จะทำพระพุทธรูปทำด้วยไม้ก็มี ต้องระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ผมอธิบายชาวบ้านคงเข้าใจไม่จำเป็นต้องไปรื้อสิ่งที่เราทำอยู่แล้ว มันดีอยู่แล้ว ไปรื้อต้องเสียเงินเสียทอง เพราะชาวบ้านยึดถืออยู่ ว่าพระพุทธรูปเนี่ยสำคัญมาก
ที่จริงมันสำคัญอยู่ที่คนนี่เอง เพราะฉะนั้นพระพุทธรูป ไม่ใช่พระพุทธเจ้าพระองค์จริง ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดว่าบางคนมีพระเครื่องแขวนที่คอ บอกว่าพระศักดิ์สิทธิ์มาก บางองค์ราคาเป็นแสน เป็นล้านก็มี แต่ว่ายกแก้วเหล้า ข้ามหัวพระทุกวัน ก็ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ พระก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเขาไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราเป็นชาวพุทธต้องเข้าใจสิ่งที่เราพึ่งคือ พระพุทธมันมีหลายแบบ พระพุทธเจ้าพระองค์แทน พระพุทธเจ้าที่มีพระวรกายก็ไม่มีแล้ว พระองค์ดับขันธปรินิพพานไปนานแล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม มีอยู่กับเรา มีอยู่กับชาวพุทธตลอดเวลา
เราเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดแม้จะเชื่อไปกับเราแต่ไม่เห็นธรรม เชื่อว่าไม่เห็นเรา ผู้ใด แม้จะอยู่ห่างไกล แต่เห็นธรรมเชื่อว่าเห็นเรา ที่พระองค์ตรัสต่อว่า ผู้ใดเห็นปฎิจจสมุปบาท คนนั้นเชื่อว่าเห็นธรรม ปฎิจจสมุปบาทคืออะไร ปฎิจจสมุปบาทก็คือชีวิตของเรานั่นเองคือเรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์ ปฎิจจสมุปบาท โดยละเอียดตั้งแต่อวิชชาเป็นปัจจัยเกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยเกิดวิญญาณเป็นต้น จนกระทั่งเกิดภพเกิดชาติ เกิดทุกข์ชาติที่ว่านี้คือชาติแห่งความรู้สึก รู้สึกว่ามีเรามีของเราขึ้นมา ความทุกข์ในจิตใจมันก็เกิด เนี่ยมันมาจากอวิชชาคือความไม่รู้ นี่เป็นปฎิจจสมุปบาท ว่าทุกข์เกิด ว่าทุกข์ดับ คือทำให้อวิชชามันดับ
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมมันอยู่ที่เรานี่เอง ไม่ใช่อยู่ที่ไหน เราจะทำให้เรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งก็ต้องปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นตัวพระธรรมเนี่ยเป็นสิ่งสำคัญเพราะตัวชีวิตของเราก็คือตัวพระธรรมเหมือนกันแต่ว่าเป็นธรรมชาติ
เป็นสังขารธรรม เป็นรูปก็ดีเป็นนามก็ดี มันเป็นสังขารธรรม ไปที่ไหนธรรมะก็ติดตัวเราไปที่นั่น ในสถานที่ต่างๆ ไม่มีที่ไหนที่ไม่เป็นธรรมชาติ ที่ไม่เป็นสังขาร อยู่ที่วัด จะไปที่ไหน เหมือนกันหมด สังขารธรรม มันมีทุกหนทุกแห่ง และถ้าเป็นสังขารธรรม ก็ต้องไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ที่นี้มาถึง พระสงฆ์
พระสงฆ์อย่างที่พวกเรามาบวชเนี่ยเรียกสมมติสงฆ์ก่อน แต่ว่าถ้าเราปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร จิตใจมันก็เลื่อน เลื่อน สูงขึ้น สูงขึ้นถ้าใครทำได้ สำเร็จก็เป็นพระอริยสงฆ์ มีพระโสดาบันเป็นต้น สูงสุด คือพระอรหันต์
พระอริยสงฆ์คือ จิตใจของท่านเข้าใจ เรื่องสังขารตามที่เป็นจริง คือไม่เที่ยงเป็นทุกข์ และก็เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน เมื่อจิตใจของท่านเบาบางจากการยึดถือ ความทุกข์ก็น้อยลง น้อยลง สำหรับพระคือผู้ที่ไม่ยึดมั่นถือมั่นกับสิ่งใดๆว่าเป็นตัวเป็นตน ความทุกข์ในจิตใจของเราก็ไม่มี เพราะฉะนั้นหัวใจของพระรัตนตรัย คือความไม่มีทุกข์นั่นเอง หัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ คือจิตใจอยู่เหนือความทุกข์ ไม่มีความทุกข์ก็เป็นจิตใจที่สะอาด สว่าง สงบ เพราะฉะนั้นการที่เราทำที่พึ่ง ก็ต้องพึ่งตัวเอง เราจะพึ่งตัวเองได้ เราก็ต้องพึ่งธรรมะ พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้อย่างมากมายเป็นหมวด เป็นหมวด ถ้าผมมีเวลา จะเอามาพูด เช่น นาถกรณธรรม ธรรมะสำหรับธรรมที่พึ่งซึ่งมีถึงสิบอย่าง หรือ พหุกัลณธรรม ธรรมะที่ทำให้เกิดคุณ เกิดประโยชน์มากมาย ตั้งต้นจากมีศีล
ข้อแรกที่สุดก็คือศีล เราเป็นพระอยู่ได้ ก็เพราะมีศีลนั่นเอง ถ้ามาบวชเป็นพระ ไม่ถือศีล ไม่ถือวินัย ความเป็นพระก็ไม่มี ชาวบ้านก็ไม่เคารพ ชาวบ้านก็ไม่ใส่บาตร ก็ต้องสึกขาลาเพศไป เพราะไม่มีศีล ศีลนี่เป็นของเก่าแก่มีมาก่อนพระพุทธเจ้าตรัสรู้เสียอีก พระองค์เรียกว่า (ทะ-นัน-ตะ-นะ) เป็นของเก่า อย่างศีล 5 เนี่ย เป็นแม่ของศีล ที่อื่นๆมาสรุปลงในศีลห้าทั้งหมด แม้พระสงฆ์จะถือศีลถือวินัย 227 สิกขาบท รวมแล้วก็คือ อยู่ในศีล 5
แต่ว่าความมากความน้อย ความลึก ความตื้น มันแตกต่างกันเท่านั้น ศีลห้าเนี่ย ถ้าชาวพุทธเราปฏิบัติได้จริงๆ มีศีล 5 จริงๆ ปัญหาอย่างที่มี มันไม่มี ไม่ต้องมีคุก ไม่ต้องมีตาราง ก็ไม่มีนักโทษ ไปอยู่ในคุกในตาราง การที่คนไปติดคุกติดตาราง ก็เพราะไม่มีศีลห้า ไม่มีเจตนาที่จะประทุษร้ายชีวิต ก็ไปฆ่าผู้อื่นให้ตาย มีเจตนาที่ไปถือเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนคือลักขโมย มีเจตนาที่ล่วงเกินของรักของผู้อื่น จะเป็นบุคคล จะเป็นสิ่งของโดยเฉพาะบุคคลเป็นลูก เป็นภรรยาสามีของคนอื่น ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา
เนี่ยผู้บัญชาการเรือนจำมาหาผมเมื่อวานซืน ผู้บัญชาการเรือนจำไชยาเนี่ย แกอยู่ที่เกาะสมุยมาก่อน ก็นิมนต์ผมไปพบนักโทษที่เรือนจำเกาะสมุย ต่อมาย้ายไปอยู่ภูเก็ต ต่อมาย้ายมาอยู่ไชยา มานิมนต์ผมให้ไปพบนักโทษ มาครั้งหนึ่งแล้ว โยมตั้งใจเดือนนี้ที่จะไปปฏิบัติธรรมที่ทีปภาวัน เกาะสมุย แต่บังเอิญมีธุระไม่ได้ไปก็มา บอกให้ผมทราบเมื่อวันก่อน ผมก็ถามว่านักโทษในเรือนจำ คดีอะไร ทำผิดในคดีอะไรที่ต้องอยู่ในคุกมากสุด ก็คือยาเสพติด ยาเสพติดประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นถ้าคนไทยเราถือศีลข้อที่ห้าได้เนี่ย ปัญหาอย่างที่มีมันก็จะไม่มี คือเสพของมึนเมา เป็นเหล้าเป็นเบียร์ เป็นยาเสพติดทุกชนิด ที่มาทำลายสติสัมปชัญญะ ศีลข้อห้าเนี่ยเชื่อว่าสำคัญมาก
พระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าทำผิดศีลข้อที่ห้าแล้วข้ออื่นอยู่ไม่ได้ เพราะขาดสติสัมปชัญญะ แต่ว่าคนก็ยังประมาทถือศีล 5 ให้ครบสมบูรณ์ไม่ได้ พระสงฆ์เราก็อย่าประมาทในเรื่องศีล ในเมื่อเราปฏิบัติศีลได้เราก็มีที่พึ่งที่เขาเคารพพระสงฆ์ ก็เพราะพระสงฆ์ทรงศีล พอพระสงฆ์ไม่มีศีลก็ไม่มีใครเคารพ
อุบาสกอุบาสิกาก็เหมือนกันถ้ามีศีลอยู่ที่ไหนใครก็รัก เราไม่มีศีลไปที่ไหนก็ไม่มีใครต้องการ ไม่มีใครต้อนรับ เพราะฉะนั้นการที่เราจะทำ ที่พึ่งให้แก่ตนเองได้ ก็ต้องปฏิบัติด้วยตัวเอง ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ นั่นเอง และก็วันนี้พวกเราได้ทำหน้าที่ การทำหน้าที่คือการปฏิบัติธรรม มีพระจากวัดต่างๆมาเยี่ยมสวนโมกข์กัน พวกเราเป็นเจ้าบ้าน ก็ต้องต้อนรับ การต้อนรับปฏิสันถาร ถือว่าเป็นธรรมะอย่างหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่าต้องเคารพในปฏิสันถาร เพราะฉะนั้นฉันเสร็จแล้วก็มาช่วยปูเสื่อ ปูอาสนะ เตรียมสถานที่เอาไว้พอพระท่านมา ก็มาทำพิธีกันที่ลานหินโค้งตรงนี้
ผมเองวันนี้ผมก็ต้องลาพรรษา ไปเกาะสมุยเสียสี่ห้าวัน เพราะฉะนั้นขอบอกทั้งหลายท่านที่อยู่กันที่นี่ ช่วยทำหน้าที่ของตัวของตนให้ดีที่สุดก็เป็นผู้ที่มีศีล พยายามรักษาศีล และก็ปฏิบัติธรรมอื่นๆ เป็นโอกาส ผมก็จะถือโอกาสพูดบรรยายให้พวกเราฟัง เรียกว่าสามารถทำได้ทุกวัน เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าอัศจรรย์ อีกอย่างหนึ่งคือเราได้ยินได้ฟัง จำได้ สี่ห้าวันมันก็ลืมหมด ก็ต้องทบทวนกันใหม่ เอามาพูดกันใหม่ มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นขอให้ทุกองค์ทุกท่าน อุบาสกอุบาสิกา ไม่ว่าอยู่ที่วัด อยู่ที่บ้าน ถ้าเป็นชาวพุทธแล้ว จงพยายามใช้ตัวเองเนี่ย พึ่งตัวเองไม่มีใครมายกชีวิตของเราให้สูงขึ้นได้ ถ้าเราไม่ยกด้วยตัวเองเราจะยกตัวเองได้ก็ต้องอาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ เป็นต้นว่า ต้องมีศีล สตรีไม่มีศีลก็สิ้นสวย บุรุษด้วยไม่มีศีลก็สิ้นศรี
พระหรือเณรไม่มีศีลก็สิ้นดี ข้าราชการศีลไม่มีก็เลวทราม ใครประพันธ์เป็นคำกลอนก็ไม่รู้ ไพเราะดีมีประโยชน์ สตรีไม่มีศีลก็สิ้นสวย ไม่ใช่รูปร่างจะสวยงามขนาดไหน เราไม่มีศีลก็สิ้นสวย บุรุษด้วยไม่รู้ศีลก็สิ้นศรี ผู้ชายเช่นเดียวกัน พระหรือเณรไม่มีศีลก็สิ้นดี ข้าราชการศีลไม่มีก็คอรัปชั่น เลวทรามเหมือนกันหมด เพราะฉะนั้นธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของสัตว์โลก พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ให้เราพึ่งตัวเอง เพราะตลอดชีวิตของเรามันคือตัวธรรมชาติ เกิดสังขตธรรม
ธรรมะชั้นสูง โลกธรรมคือต้องเข้าใจว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา นี่เป็นธรรมะที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ส่วนการกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี มันเป็นธรรมะรองๆลงมา มาอยู่ในระดับ โลกียธรรม ระดับศีลธรรม ศีลธรรมกับ ปรมัตถธรรม อยู่ในชีวิตของเรา ขอให้ท่านทั้งพยายามมองให้เห็น และก็พยามยามทำที่พึ่ง ให้แก่ตัวเองแต่ละวัน แต่ละวัน และเวลาที่เหลือต่อไปนี้ก็ปฏิบัติเล็กๆน้อยๆ อบรมจิต ให้มีสมาธิ สมาธินั้นคือตัวพระธรรม การที่จะมีสมาธิได้ ต้องมีสติ สติก็เป็นตัวพระธรรม ต้องมีสัมปชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อม ก็เป็นตัวพระธรรม ก็ต้องมีความเพียร สติสัมปชัญญะ เป็นธรรมะที่สำคัญบทหนึ่งเหมือนกัน หายใจเข้าหายใจออกนี่ก็เป็นตัวพระธรรม คือธรรมชาติลมหายใจเข้าออก ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้าออกก็มีสติสัมปชัญญะควบคุมอยู่ สมาธิก็เกิดขึ้น เกิดขึ้น พอสมาธิเกิดขึ้นก็มาเจริญปัญญา
วิปัสสนาก็คือมารู้สังขารให้เห็นตามที่เป็นจริง เมื่อเห็นสังขารตามที่เป็นจริง คือไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตนจิตใจก็เบื่อหน่ายคลายกำหนัดในการไปยึดถือ ว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็น้อมจิตสลับความรู้สึกว่าตัวตนของตน ก็พยายามทำอย่างนี้แต่มันไม่ค่อยจะหลุด ก็ตัวตนมันไม่ค่อยจะหลุด จิตมันยังเหนียวอยู่ ก็พยายามสลัดให้ตัวตนมันหลุดออกไปจากจิตใจ นั่นแหละคือ จะพบความสุขสูงสุด ในพระพุทธศาสนา เฉพาะวิมุติ เรียกว่านิพพานนั่นเอง ก็ปฏิบัติเล็กๆน้อยๆต่อไปนี้