แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละครับ ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ ไม่ว่าบวชเก่าหรือบวชใหม่ พร้อมทั้งแม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้เตรียมตัวตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุดเพื่อเข้าใจสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ วันนี้รู้สึกว่ามีฝนปรอย โปรย เป็นระยะ ๆ นี่ก็คือธรรมชาติ แต่ว่าปกติฤดูเข้าพรรษาเดือนแปด เดือนเก้า เดือนสิบ ทีนี่การเข้าพรรษาของพวกเราผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว เดือนต่อไปก็เป็นเดือนที่สำคัญ เป็นประเพณีรับตายาย ส่งตายาย ที่นี้วันรับตายาย ส่งตายาย คนจะเข้ามามาก มาทำบุญตายาย เดือนต่อไปก็ออกพรรษา วันเทโวโรหณะญาติโยมก็มาตักบาตรออกพรรษา กิจกรรมแต่ละวัน แต่ละวัน มันก็มีทุกวัน วันนี้พวกเราส่วนหนึ่งออกไปบิณฑบาตที่ตำบลพุมเรียง และก็ว่าจะไปฉันกันที่วัดตระพังจิก หรือว่าสวนโมกข์เก่า สวนโมกข์แรกที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสได้เข้าไปปฏิบัติ ถ้าไม่มีสวนโมกข์วัดตระพังจิกเชื่อว่าสวนโมกข์แห่งนี้ก็คงจะไม่มี ชื่อสวนโมกข์เกิดขึ้นที่วัดสะพังจิก เป็นวัดเก่าแก่ เป็นวัดร้าง ตอนที่ท่านพุทธทาสเข้ามาอยู่ กลางวันคนก็ไม่ค่อยอยากเข้าไป มันน่ากลัว มีต้นไม้ใหญ่ ๆ ท่านอาจารย์มาอยู่หลังโบสถ์ เหลือแต่พระประธาน ก็มาทำกระต๊อบอยู่ ท่านมาปฏิบัติที่นั่นอยู่รูปเดียว ตั้งหน้าปฏิบัติ ถ้าไปดูตารางปฏิบัติธรรม ปฏิบัติ ปฏิทินปฏิบัติธรรมที่ท่านอาจารย์ทำเป็นอย่างไรบ้าง ท่านตั้งใจที่จะปฏิบัติ ปรากฎว่าท่านก็พอใจที่ท่านได้อยู่ที่นั่น
ต่อมาก็มีพระรูปนั้นรูปนี้มาอยู่ จนกระทั่งได้เพื่อนที่สำคัญก็คือท่าน เจ้าคุณบุญส่วน ที่ต่อมาไปเป็นเจ้าคณะจังหวัดชุมพร ท่านก็มรณภาพไปแล้ว และอีกรูปหนึ่งพระอาจารย์ปัญญานันทะต่อมาที่เป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทาน ก็มรณภาพไปแล้ว ท่านอาจารย์พุทธทาสก็มรณภาพไปแล้ว ฉะนั้นสวนโมกข์ที่เรามาอยู่นี้มันมีเหตุมีปัจจัยที่ท่านอาจารย์นำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพูดให้พวกเราฟัง คือเรื่องอิทัปปัจจยตา เป็นหัวใจของทุกเรื่อง
อิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มี-สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี-สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้เกิด-สิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ดับ-สิ่งนี้จึงดับ เกี่ยวเนื่องกับชีวิตทุกคน แต่ว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็คือเรื่องปฏิจจสมุปบาท อาศัยกันแล้วก็เกิดขึ้น อาศัยกันแล้วละเกิดขึ้น ก็คือเรื่องอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้ทุกข์เกิด เรื่องความดับมายังทุกข์ เรื่องทางถึงความดับมายังทุกข์ อริยสัจสี่ถ้าอธิบายให้ละเอียดก็คือเรื่องอิทัปปัจจยตา นั่นก็คือปฏิจจสมุปบาท คือปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีอยู่สองฝ่าย ฝ่ายทุกข์เกิดกับฝ่ายทุกข์ดับ ปฏิจจสมุปบาท นี่อยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง โดยเฉพาะเรื่องทุกข์ ถ้ามีเหตุให้ทุกข์เกิด ก่อนอริยสัจข้อที่สาม ข้อที่สี่ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ มันมีไม่ได้
เพราะฉะนั้น ชีวิตของเราที่เกิดมามันพาความทุกข์มาเสร็จแล้วในชีวิต ความทุกข์มันมีหลาย ๆ อย่าง สรุปแล้วความทุกข์ทางด้านร่างกาย และความทุกข์ที่สำคัญที่สุด คือความทุกข์ทางด้านจิตใจ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนออกบวช ออกเพื่อจะค้นหาให้พบวิธีหรือหนทางที่จะช่วยเหลือสัตว์โลก รวมทั้งพระองค์ ให้พ้นจากความทุกข์ โดยเฉพาะความแก่ ความเจ็บ และความตาย พระองค์ใช้เวลาถึงหกปีกว่าจะค้นพบ พระองค์ก็ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็เที่ยวจาริกสั่งสอนให้คนเข้า ก็เกิดสาวกขึ้นมา จนกระทั่งเกิดพุทธบริษัท เกิดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา รวมทั้งพวกเรา วัดวาอารามทั่วโลก ในประเทศไทยนับเป็นหมื่น ๆ วัด ก็มาจากพระพุทธเจ้านั่นเอง ฉะนั้นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนาคือเรื่องอิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุปบาท ท่านอาจารย์พุทธทาสอธิบายว่าอิทัปปัจจยตานี้ใช้กับทุกเรื่อง ก่อนปฏิจจสมุปบาทใช้เฉพาะเรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์ เหมือนอย่างในตู้ยามียาหลาย ๆ อย่างรวมกันในตู้ แต่ถ้าเราไม่สบายด้วยโรคใดโรคหนึ่งไปหยิบยาเฉพาะที่เอามาใช้รักษาโรคของเรา ตู้ยาเป็นที่เก็บยาคืออิทัปปัจจยตา เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดสิ่งนี้จึงเกิด เพราะสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับสิ่งนี้ก็ดับ ใช้กับทุกเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทเกี่ยวกับเรื่องทุกข์เรื่องดับทุกข์โดยเฉพาะ
เรามาอยู่กันที่สวนโมกข์ ได้ยินได้ฟังนิทานท่านอาจารย์พุทธทาสได้บรรยายไว้ ที่บันทึกเก็บเอาไว้ ก็มาเปิดให้ฟัง แต่ว่าการศึกษาเนี่ยมันมีระดับ ศึกษาระดับความรู้เรียกว่าปริยัติมันก็ยังไม่พอ ต้องมีการปฏิบัติ การปฏิบัตินี้เป็นเรื่องที่สำคัญแต่ว่าถ้าไม่รู้หนทางไม่รู้ปริยัติปฏิบัติเท่าไรมันก็สำเร็จไม่ได้ ปริยัติต้องถูกต้อง ปฏิบัติต้องถูกต้อง จึงจะได้ผล ผลที่ได้คือความทุกข์ในชีวิตของเราต้องน้อยลง น้อยลง จนกระทั่งความทุกข์มันเกิดไม่ได้ ก็คือพระอรหันต์หรือว่ารอง ๆ ลงมาก็คือพระอริยเจ้า เช่น พระโสดาบัน เป็นต้น เพราะพวกเรามันยังไม่ถึงจุดนี้ก็ต้องฝืนใจปฏิบัติ เพราะฉะนั้นสวนโมกข์เนี่ยเหมือนกับมหาวิทยาลัยที่เราเข้ามาเรียนมาศึกษา มหาวิทยาลัยทั่ว ๆ ไป คนศึกษาวิชาแขนงนั้นแขนงนี้มันเยอะมาก วิชาที่มนุษย์เรียนรู้กันเนี่ยมันมากมาย เรียนกันจนตายก็เรียนไม่จบ ความรู้ที่มีอยู่ในโลกที่เรียกว่าศาสตร์ต่าง ๆ ศาสตร์นั้นศาสตร์นี้ สวนโมกข์เนี่ยมันเป็นมหาวิทยาลัย ที่ยิ่งกว่ามหาวิทยาลัยทั่วไปก็ได้ เพราะไม่งั้นหลาย ๆ คนเรียนจบปริญญาเอกมาจากต่างประเทศจากเมืองนอก แต่มาอยู่ในสวนโมกข์ก็มีอยู่หลาย ๆ องค์ที่ผ่านมา ก็มาเรียนรู้พุทธศาสตร์
พุทธศาสตร์เนี่ยเป็นเรื่องที่สำคัญ ส่วนความรู้ต่าง ๆ ถ้าใครเรียนได้มันก็ดีได้รับประโยชน์ความรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ถ้าเราไม่รู้เราก็โง่ในเรื่องนั้นอยู่ ถ้าเราไม่เรียนเราก็ไม่รู้ ยกตัวอย่างภาษา ภาษาต่างประเทศมันมากมายเรียนกันไม่หวาดไม่ไหว ภาษาที่มนุษย์พูดจากัน หนึ่งภาษาแม่ภาษาของเรา สองภาษาของคนอื่นของคนชาติอื่นเช่น เราเกิดเป็นคนไทยเมืองไทย ก็ภาษาแต่ละภาคก็ยังไม่ค่อยเหมือนกัน ทุกตัวอักษร ภาษาภาคเหนือ ภาษาภาคกลาง ภาษาภาคใต้ ภาษาภาคอีสาน ภาษาที่ใช้พูดฉะนั้นต้องใช้ภาษากลางเป็นหลัก แม้แต่เรื่องภาษานี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ บังเอิญผมเข้าไปในห้องที่เก็บของก็มีหนังสือกองมากมายก็คิดว่าน่าจะเป็นของ คุณอณามัย เมื่อก่อน คุณอณามัย เนี่ยก็เรียนจบจากมหาวิทยาลัยขอนแก่นแล้วก็มาบวชอยู่ที่สวนโมกข์ เคยช่วยเหลืออบรมฝรั่ง สะสมหนังสือไว้เยอะมากและต่อมาแกก็ลาสิขาไป เดี๋ยวนี้ไปทำงานแกก็พวกโรงแรมต่าง ๆ ที่ภูเก็ตสอนพวกฝรั่ง แกก็ไปสอนสมาธิให้แก่ฝรั่ง หนังสือมากมายหลายเล่ม พวกดิกชั่นนารีต่าง ๆ ก็มี ก็ไปหยิบมาเล่มหนึ่งเรื่องจิตวิทยาภาษา นี่คนเขียนคนนี้ไปเรียนจบที่ต่างประเทศรู้สึกว่าปริญญาโทหรือปริญญาเอก เขียนเรื่องจิตวิทยาเกี่ยวกับภาษา ก็เป็นเรื่องใหญ่เหมือนกัน พอลองอ่านดูก็ได้เข้าใจว่าภาษานี้เป็นเรื่องที่สำคัญ ภาษาที่เราเรียนนี้คือภาษาแม่เรียนจากแม่เรียนจากแม่ ภาษาที่ใช้ปากพูด ภาษาที่ใช้มือเขียน ภาษาที่ใช้หูฟัง มันมีหลาย ๆ อย่าง เพราะงั้นแม้แต่เรื่องภาษาเนี่ยมันก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะงั้นคนที่เขาประสบความสำเร็จก็คือรู้จักใช้ภาษานั่นเอง
ถ้าเราใช้ภาษาไม่เป็นมันยากที่จะก้าวหน้า คือพูดไม่เป็น ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักพูดคำไหนใช้คำอะไร เรื่องภาษาเนี่ยมันเกี่ยวกับเรื่องสังคม เรื่องติดต่อกับคนอื่น คนที่เขาเกลียดที่เขาไม่ชอบเพราะเราใช้ภาษาไม่เป็นนั่นเอง พระพุทธเจ้าก็สอนเรื่องนี้ว่าคำพูดเนี่ยมันมีหลายชนิด คูถภาณี , มธุภาณี ,บุปผภาณี. ภาณี คือการพูด การพูด คูถภาณี คือคำพูดเหมือนอย่างอมอุจจาระแล้วพ่นออกมา คูถะ คือ คูถ พูดอย่างเหมือนอย่างอมอุจจาระพ่นออกมา ก็คำพูดที่มันหยาบคนอื่นฟังเขาก็ไม่พอใจ เขาเอาไปคิด ไปปรุงแต่ง ทำให้เกิดฆ่าฟันกันตายเพราะคำพูดนี่เอง คำพูดที่ดูถูกคนอื่น คนทุกคนปุถุชนทั่วไป มนุษย์ก็ต้องมีตัวตน พอถูกคนอื่นพูดประณาม พูดเหยียดหยาม ก็ไม่พอใจ เพราะงั้นคำพูดชนิดนี้ต้องระวัง เรามาอยู่ที่สวนโมกข์เหมือนอย่างมาเข้ามหาวิทยาลัยเพื่อจะเรียนให้เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า จะเลื่อนชีวิตให้สูงขึ้นไปสูงขึ้นไปในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าเรียกว่าเสขะ เสขะคือผู้ที่ยังต้องศึกษาอยู่ คือยังไม่เป็นพระอรหันต์แต่เขานับเสขะตั้งแต่พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี ยังเป็นเสขะบุคคล ยังไม่เป็นพระอรหันต์ อันนั้นเขาเรียกว่าพระอเสขะ ไม่ต้องเรียน โดยเฉพาะเรียนเรื่องดับทุกข์เนี่ยไม่ต้องเรียน แต่เวลาที่เหลืออยู่ก็เพื่อจะช่วยเหลือผู้อื่น เพราะฉะนั้นเรามาอยู่ที่สวนโมกข์ขอให้พวกคุณทุกคน ทุกรูป ก็ได้รับประโยชน์ โดยเฉพาะพระใหม่มาศึกษาเรียนรู้ เหมือนมาเข้ามหาวิทยาลัย แม้แต่เรื่องคำพูดเนี่ยก็ต้องระวัง คูถภาณี อย่าเอามาพูด มธุภาณี คำพูดที่อ่อนหวานบุปผภาณี คำพูดที่หอมหวน ก็คือคำพูดที่ดี เป็นวาจาสุภาษิตนั่นเอง อันเรื่องการใช้คำพูดที่ว่าภาษาเนี่ยมันก็มีมากมาย ได้ยินภาษาต่างประเทศถ้าเราไม่เรียนเราจะไม่รู้เลย ภาษาจีน ภาษาบาลี ภาษาฝรั่ง ถ้าเราไม่เรียนภาษาของเขา เขาพูดอะไรเราก็ไม่รู้ เราก็โง่ในเรื่องอย่างนั้น แต่ว่าความรู้โลก ๆ เนี่ยมันเรียนไม่จบ เรียนเท่าไรก็เรียนไม่จบ เรื่องภาษาอย่างเดียวเรียนจนตายก็ไม่มีทางที่จะจบ เพราะฉะนั้นชีวิตของเราเนี่ยมันมีความทุกข์อยู่ ความทุกข์มีอยู่ในชีวิต ที่เรามาอยู่ที่สวนโมกข์เนี่ยเพื่อจะเรียนรู้ให้เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า เพื่อจะทำให้ทุกข์น้อยลง
เดี๋ยวนี้การศึกษาที่เขาเรียนกันมันกว้างขวาง โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์ เรื่องโบราณคดี เนี่ยมีคุณหมอคนหนึ่งที่สนใจเรียนเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดีก็เคยบวชที่สวนโมกข์นี้ ก็เขียนหนังสืออกมา ผมก็ยังเตือนบอกว่าเรียนประวัติศาสตร์ เรียนโบราณคดี ต้องเอาพุทธศาสตร์ไปประยุกต์ด้วยจะได้รับประโยชน์ เนี่ยผมได้รับวิทยุเสียง วันนั้นมีโยมเอามาถวายที่โรงฉัน เป็นโยมที่หวังดี มาขอร้องว่าให้ผมรับไว้และพยายามฟังด้วย ก็รับไว้ ก็มีเสียงของท่านเจ้าพระคุณมหาประยุทธ์สมเด็จพุทธโฆษาจารย์ ของท่านอาจารย์พุทธทาส และของอาจารย์อีกรูปหนึ่ง เขาก็ฟัง ตั้งใจฟัง โดยเฉพาะของท่านเจ้าพระคุณมหาประยุทธ์ ท่านเก่งมาก แม่นมาก เรื่องประวัติศาสตร์ ท่านเอาประวัติศาสตร์เรื่องราวมาเล่าให้พระใหม่ฟัง ได้รับความรู้ดีเรื่องพุทธศาสนาในประเทศอินเดียก็น่าสนใจ ก็รับความรู้
เพราะงั้นเรื่องประวัติศาสตร์เนี่ย ถ้าเราเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าไปประกอบ ก็จะได้รู้ว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ที่เคยรบราฆ่าฟันกัน คนเคยยิ่งใหญ่แล้วก็ตายไปเป็นระยะ ๆ ตั้งแต่อเล็กซานเดอร์ พระเจ้าอโศกมหาราช ใครต่อใครเคยเกิดขึ้น เคยเกิดขึ้นในโลก แล้วก็เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีแล้ว วัตถุโบราณคดีที่นั่นที่นี่ ที่ทำกันไว้ คนที่ทำก็ล้มหายตายจากกันไปหมดแล้ว เพราะงั้นเรียนพุทธศาสตร์เนี่ยหัวใจสำคัญคือเรียนให้เข้าใจว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน จะเรียนวิชาอะไรก็ตามถ้าเขาไม่เข้าใจกฎของพระไตรลักษณ์ ความทุกข์มันไม่มีทางที่จะลด การเรียนถ้าไม่เอาพุทธศาสนาเอาไปประยุกต์ ตัวตนก็เพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นว่าเราจบวิชาด้านนั้นด้านนี้ จบมหาวิทยาลัยด้านนั้นด้านนี้ ได้ปริญญาระดับนั้นระดับนี้ ตัวตนมันเพิ่มขึ้น เพราะงั้นผมเตือนคุณหมอบัญชา พงษ์พานิช ที่หอจดหมายเหตุ เขาบอกว่าอย่างไรก็ตามต้องเอาพุทธศาสนาเข้าไปประยุกต์ เข้าไปใช้ เพราะงั้นคนที่ไม่รู้ภาษา แต่ว่าเข้าใจธรรมะอย่างเว่ยหลาง เว่ยหลางเนี่ยอ่านภาษาก็ไม่ออกแต่ว่าได้เข้าใจธรรมะ เนี่ยเมื่อวาน ท่านมัน ท่านมัน นี่อยู่ที่เชียงราย มาอยู่ที่นี้เป็นสามเณร ก็ไม่นึกว่าก้าวหน้า เดี๋ยวนี้ก็ก้าวหน้ามาก ไปเมืองจีน ไปทำความคุ้นเคยกับวัดของท่านเว่ยหลางที่อยู่ที่กวางตุ้งหรือกวางโจว เมื่อวานโทรทางไกลมาคุยกับผม มาเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ทำรูปหล่อท่านเว่ยหลางใหญ่มาก ก็มาไว้ที่วัดของท่านและก็ไปสร้างวัดใหญ่โตอยู่ที่เชียงราย ท่านนัน ท่านนัน เนี่ยก็น่าสนใจว่าท่านมีคุณธรรมที่สำคัญที่สุดคือกตัญญูกตเวที มาอยู่ที่สวนโมกข์ความรู้อื่นท่านไม่ได้สนใจแต่กตัญญูกตเวทีเนี่ยเข้มแข็งมาก ก็ว่ายามมาสวนโมกข์ก็มาไหว้ท่านอาจารย์ พาพระมา อย่างพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรที่อยู่หน้าโรงมหรสพทางวิญญาณ ก็คือมาจาก ท่านนัน ท่านมีลูกศิษย์ปั้นรูปพระ แล้วก็หล่อ ท่านก็อยู่ในที่ที่กว้างขวาง เป็นวัดป่าแบบเนี่ยไปอยู่ป่า ผมถามว่าวัดของท่านเว่ยหลางเนี่ยมีพระมีแม่ชีภิกษุณีเยอะมั้ย เขาว่าเยอะมาก บริเวณประมาณห้าพันไร่ อยู่ในป่าอยู่บนภูเขา เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาในเมืองจีนก็เจริญขึ้นมา ดร.วิทวัส ส่งหนังสือดีมาให้ผม ผมยังขอบใจ ผมก็อ่านดูเรื่องปรัชญาเซน เอาเรื่องท่านเว่ยหลางเอามาพูดแล้วก็อธิบาย ก็ได้รับประโยชน์ดี
ฉะนั้นการเรียนรู้ ความรู้เรื่องโลก ๆ มันมากมายเรียนเท่าไรก็ไม่จบ ที่เรามาอยู่สวนโมกข์เนี่ยก็มาเรียนรู้ความรู้ของพระพุทธเจ้าเพื่อได้ปริญญาของพระพุทธเจ้าที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่าปัญญาสวนโมกข์ คือปัญญาตายก่อนตาย คือทำให้ความรู้สึกว่าตัวตนมันลดลงลดลง ก็ตัวตนไม่มีปัญหามันก็ไม่มี ที่เรามีปัญหาเพราะตัวตน ซึ่งเหมือนกับผีหลอกมันไม่ได้มีจริงแต่ว่าจิตมันปรุงเพราะอวิชชา พออวิชชาเข้ามาในจิตใจมันก็ปรุง ทำให้เกิดสังขาร ทำให้เกิดวิญญาณ นาม รูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา แป๊บเดียวในความนึกว่าตัวตนเพราะถึงว่าตัวตนเนี่ยความทุกข์มันก็เกิด ที่นี้การมีพุทธศาสนาก็เกิดเพื่อให้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไร มันมีแต่สังขตธรรมหรือว่าสังขาร คือสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง สิ่งมีชีวิตสิ่งไม่มีชีวิต เป็นสังขารหรือสังขตธรรม มีอย่างเดียวเท่านั้นที่ไม่ใช่สังขารคือพระนิพพาน เรียกว่าอสังขตธรรม หรือวิสังขาร ความหมายของพระนิพพาน คือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ ไม่มีอุปาทาน ไม่มีตัณหา เนี่ยพุทธศาสนา พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตอนที่พระองค์เป็นพระราชกุมารเป็นพระโพธิสัตว์ อย่างความรู้โลก ๆ ที่เขาเรียนกันเนี่ยไม่ว่าสิบแปดสาขาปริญญาแต่พระองค์ไม่เคยประกาศว่าพระองค์จบปริญญาเลย ต่อมาเมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้ ได้รู้อริยสัจ ๔ เนี่ย พระองค์ก็ประกาศว่าพระองค์ได้ปริญญา คือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เพราะงั้นพวกเรามาอยู่ที่สวนโมกข์ซึ่งพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสได้มาสร้างขึ้นไว้ให้พวกเราได้มาอยู่ที่นี้และได้รับประโยชน์ เรียนรู้อะไรที่ควรรู้ ก็คือเรื่องทุกข์ อะไรที่ควรละ ก็คือกิเลสทั้งหลายทั้งปวง อะไรที่ควรทำให้แจ้ง ก็คือพระนิพพาน อะไรที่เราจะต้องปฏิบัติต้องทำให้มี ก็คือมรรคนั่นเอง เพราะงั้นชีวิตของเรามันมีอะไรหลาย ๆ อย่างที่เรายังไม่ได้สนใจปฏิบัติ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เนี่ยมันมีกันทุกคน แต่เราปล่อยให้กิเลสมันเข้ามา ทางตาบ้าง ทางหูบ้าง ทางจมูก ทางลิ้น ทางกายบ้าง สิ่งที่เราขาด ที่เราขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ ขาดสมาธิ ขาดปัญญา ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดถึงเรื่องธรรมะสี่เกลอ สติ ปัญญา สัมปชัญญะ สมาธิ.. พยายามอบรมให้มีมากขึ้นมากขึ้น ก็ความรู้อื่น ๆ ที่พวกเราเรียนมาก็ดีแล้ว ที่เราเรียนสำเร็จก็เพราะเรามีสติ มีสัมปชัญญะ มีสมาธิ มีปัญญา ระดับใดระดับหนึ่งนั่นเอง ถ้าไม่มีสิ่งนี้เลยทนเรียนอะไรไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้ ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ไม่มีปัญญาสมาธิ สมาธิเนี่ยเป็นเรื่องสำคัญ ทีนี้ฝรั่งทั่วโลกเขามาสนใจเรื่องสมาธิดังหนังสือที่ ดร.วิทวัส ส่งมาให้ผมเล่มหนึ่งเกี่ยวกับสมาธิ ลงทั้งเล่มเลย เรื่องประโยชน์ของการฝึกสมาธินี่เอง ลงทั้งเล่ม หลายหน้า เนี่ยฝรั่งเขาจะมาสนใจความรู้ของพระพุทธเจ้า พระองค์อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนจำนวนมาก จึงขอให้พวกเราสนใจปฏิบัติ เนี่ยอย่าง ท่านปัญญา (ฮีนห์) ที่ท่านเป็นชาวอินเดีย ท่านมาอยู่เมืองไทยวัดสวนโมกข์ ต้องการจะมาเรียนรู้แบบสวนโมกข์ ท่านก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะเผยแพร่พุทธศาสนาในประเทศอินเดีย ผมก็อนุโมทนาท่าน เอาละครับต่อไปก็ปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ลมหายใจเข้าออกเรามีตลอดเวลา แต่ว่าเราปล่อยให้หายใจเข้าหายใจออกโดยเปล่าประโยชน์ เราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ เพราะงั้นก็ฝึกให้มีสมาธิ พอได้สมาธิมาอบรมให้เกิดปัญญา ก็มีเพียงสองอย่างเท่านั้น ตัวย่อการศึกษาพุทธศาสนามีสมถะกับวิปัสสนาซึ่งเป็นทางสายกลาง ไปที่ไหน พบอะไร ก็พยายามพิจารณา อย่างวันนี้จะไปเทศน์สวนโมกข์เก่าวัดตระพังจิก ก็ได้ไปศึกษาเรียนรู้ ผมก็จะไปด้วย แต่ว่าผมอยากออกไปที่สวนโมกข์นานาชาติก่อนเพราะวันนี้ฝรั่งคงจัดคอร์ส ถ้าผมกลับมาจากนั้นก็ตามไป แต่ผมไม่ได้ไปบิณฑบาต แต่ว่าผมไปร่วมด้วย อยากจะเตือนว่าไปที่ไหนก็ถือว่าไปประกาศธรรมะของพระพุทธเจ้า ไปสร้างศรัทธาให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน เพราะงั้นต้องสำรวม ต้องระวัง ต้องไม่ประมาทการห่มจีวร การรับบาตร การขบ การฉัน ต้องมีสติสัมชัญญะ เอาละครับ ก็วันนี้ก็ตั้งใจปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ