แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ บวชเก่าหรือบวชใหม่ รวมทั้งแม่ชี ญาติโยม อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ในบริเวณนี้มาตั้งใจเตรียมตัวปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุดของวันคือเวลาตี 5 ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า รอบเวลา 5 น. เมื่อวานพวกเราหลายรูปที่ผมพาไปที่ตโปแล้วก็เหตุปัจจัยมันไม่เอื้ออำนวย เมื่อวานฝนตกมากน้ำในลำธารก็สูงไม่เหมือนกับเวลาปกติที่น้ำไม่มี จะลงไปอาบน้ำในลำธารไปอาบน้ำร้อน เมื่อวานก็ไม่ได้ทำอย่างนั้นเพราะว่าเหตุปัจจัยมันไม่เอื้ออำนวย ซึ่งพวกท่านก็ได้ไปเห็นว่าตโปเป็นอย่างไร ไปเห็นเมื่อฝนฟ้ามันตกก็ดูมันไม่สวยงาม ไม่น่าอยู่ก็ได้ แต่ว่าถ้าไปในเวลาอื่นตโปนี้เป็นที่ที่สวยงามมากธรรมชาติมันดี แล้วก็เราที่มาจากกรุงเทพมาบวชแต่ว่าไม่อยู่ที่สวนโมกข์แห่งนี้คงคิดว่าคงได้ศึกษาเรียนรู้ว่า สวนโมกข์ที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสสร้างกันไว้นี้เป็นอย่างไร คงได้รับประโยชน์ไม่มากไม่น้อย เพราะฉะนั้น เมื่อท่านก็คงจะต้องลาสิกขาบทออกไปอยู่ในชีวิตฆราวาส ถ้าหากว่าท่านได้รับประโยชน์จากการอยู่ที่สวนโมกข์ ข้อธรรมะได้มาศึกษาเรียนรู้ ได้สัมผัสเอาไปใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีในโลกเพื่อแก้ปัญหา เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป
ทุกคนต้องการความสุขแต่ว่าน้อยคนที่พบความสุขจริง ๆ ส่วนใหญ่ก็พบความสุขธรรมดา ปุถุชนที่เขาเรียก คิหิสุข ??? เป็นความสุขที่ยังเจืออยู่ด้วยความทุกข์ และก็คนส่วนใหญ่รู้จักความสุขเพียงระดับนี้ก็แสวงหากัน ก็เลยไม่พบความสุขของพระอริยะเจ้าที่ท่านได้มี พระอริยะเจ้าความจริงก็มาจากปุถุชนปัญญาคนทั่ว ๆ ไปนั้นเอง ท่านได้อาศัยพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพัฒนาชีวิต ชีวิตของท่านก็สูงขึ้น สูงขึ้น ก็ได้พบความสุขที่มันดีกว่า ที่มันเลิศกว่าความสุขธรรมดา สุขปุถุชน สุขปุถุชนก็คือกามสุขนั่นเอง คือ สุขจากตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายต้องสัมผัสโดยเฉพาะระหว่างเพศ ระหว่างเพศผู้หญิง ระหว่างเพศผู้ชายจะเกิดสุขเวทนาขึ้น คนทั่วไปเข้าใจความสุขระดับนี้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนความสุขสงบสุขที่เย็นที่เรียกว่าอริยะสุข โลกุตตระสุขส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยเข้าใจและก็ไม่ค่อยสนใจ ไปคิดว่ามันไม่มี ไม่มีอะไรที่ดีกว่านี้คงจะมีแค่นี้ก็น่าสงสารเหมือนกัน มนุษย์เป็นจำนวนมากเกิดมาไม่ได้พบสิ่งที่ดีกว่า เกิดมาก็เพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายก็ไม่แตกต่างอะไรมากนักจากสัตว์เดรัชฉานทั่วไป ที่เกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตาย อันนี้เราเกิดมาเป็นมนุษย์โดยเฉพาะได้พบพระพุทธศาสนาแปลว่าเป็นโชคอันประเสริฐ เป็นลาภมหาศาล ขอให้พวกคุณที่มาอยู่สวนโมกข์ ออกไปทำงานทำการอย่าลืมเอาธรรมะของพระพุทธเจ้าติดตัวไปด้วย เอาโมกข์ติดตัวไปด้วย มาอยู่สวนโมกข์ก็เอาโมกข์ติดตัวไปด้วย เวลามีปัญหาอะไรเกิดขึ้นก็สามารถจะแก้ปัญหาได้
ความจริงธรรมะไม่ได้อยู่ที่ไหน ธรรมะมันอยู่ในชีวิตของเรานะ ธรรมะมันอยู่ในที่ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรมะ แต่ว่าธรรมะมันมีหลายระดับ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือ ธรรมชาติ ที่ว่า ธรรมนิยาม เป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ คือ สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา-ไม่ใช่ของเรา แล้วก็สังขารเหล่านี้ก็เปลี่ยนไปตามเหตุตามปัจจัย เหตุปัจจัยมันเป็นอย่างนี้ทีนี้ก็เปลี่ยนไป อย่างเมื่อวานนี้เราไปที่ตโปก็มีฝนตก มีน้ำในลำธารมาก สภาพสิ่งแวดล้อมที่เราเห็นมันก็เป็นอย่างนี้ เพราะเหตุปัจจัยเพราะฝนมันตก ถ้าฝนมันไม่ตก ฝนมันแล้งตโปก็จะสวยงามมาก เพราะฉะนั้น อย่าคิดว่าต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เราคิดว่าต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้ จะแก้ไขปัญหาทางด้านจิตใจไม่ได้จะดับทุกข์ไม่ได้ เรียกว่า สัตตะทิฐิที่ว่าต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้นอย่างอื่นไม่มี นี่อย่างคนมาสวนโมกข์ถ้ามาเวลาหน้าฝนก็จะ สวนโมกข์มันไม่น่าอยู่ เพราะว่าฝนมันตกดูมืดไปหมด แต่พอมาหน้าแล้งมันก็รู้สึกคนละอย่าง ใบไม้ร่วงหล่นบนพื้นดินก็รู้สึกว่าสวนโมกข์มันเป็นอย่างนี้แต่ความจริงมันไม่ใช่ ถ้าหน้าฝนก็ต้องเป็นอย่างนี้ หน้าแล้งก็เป็นอย่างนี้ หน้าอื่นก็ต้องเป็นอย่างอื่น ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับเหตุกับปัจจัย เพราะฉะนั้น เราเป็นพุทธบริษัทต้องเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ถ้าเป็นชาวพุทธนี้ต้องมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ทำให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เข้มแข็งขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้นมีหลายระดับ ระดับเด็ก ๆ เห็นพระพุทธรูปก็คิดว่านี่เป็นพระพุทธเจ้า ตอนที่ผมเด็ก ๆ ก็ไปที่วัดหนึ่งพระพุทธรูปองค์ใหญ่เป็นพระประธานอยู่ในวิหาร เขาทาสีที่พระโอษฐ์นะปากแดง แล้วก็บอกว่าพระรูปนี้กินเด็ก จับเด็กกินเลยเลือดติดปาก เราก็กลัวไม่เข้าไปในวิหารนี้เพราะถูกหลอก ตอนเด็ก ๆ เห็นพระพุทธรูปคิดว่าพระพุทธเจ้าเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ ถ้าเอาพระพุทธรูปทุก ๆ แบบ ทุก ๆ ยุคเอามาวางรวมกัน ที่ประเทศไทยเรามียุคสุโขทัย เชียงแสน อยุธยา รัตนโกสินทร์ ศรีวิชัย ทวารวดี เอาพระพุทธรูปมาวางรวมกันแล้วให้คนทายดูว่า องค์ไหนที่เหมือนพระพุทธเจ้าพระองค์จริง มันจะไม่เหมือนกัน เพราะพระพุทธรูปนั้นมนุษย์สร้างขึ้นมาตามจินตนาการ แต่ละยุค แต่ละยุคก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหลังครั้งพุทธกาลแล้วตั้งหลายร้อยปีจึงมีพระพุทธรูปตอนที่ ??? (นาทีที่ 12.09) ไปอยู่ในประเทศอินเดีย ก่อนหน้านั้นหลายร้อยปียุค ??? (นาทีที่ 12.25) แม้อมราวดีนี้ก็ยังไม่มีพระพุทธรูปยังไม่ทำรูปเคารพ ใช้เพียงสัญลักษณ์ เช่น ทำเป็นอาสนะว่าง ทำเป็นต้นโพธิ์ ทำเป็นสถูป เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้ามีหลายระดับ พระพุทธรูปเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์แทนเท่านั้น ความจริงในพระพุทธรูปก็มีพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมสถิตอยู่ในพระพุทธรูป สถิตอยู่ในทุกสิ่ง ในก้อนหิน ในต้นไม้ แม้แต่ในดิน พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมสถิตอยู่ที่นั่น แต่ว่าคนนี้ไม่เข้าใจหาว่าไปดูถูก ก็ต้องเข้าใจว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมคืออะไร พระพุทธเจ้าที่มีพระวรกายก็ไม่มีแล้ว ทรงดับขันธ์ปรินิพพานถวายพระเพลิงไปแล้ว สองพันห้าร้อยกว่าปีมาแล้ว แต่พระเจ้าพระองค์ธรรมยังมีอยู่ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าคำว่า พุทธะ นี้แปลว่ารู้ ตื่น และก็เบิกบาน พุทธะนี้แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน เพราะฉะนั้น ถ้าเราเห็นอะไรถ้าจิตใจมันรู้จริงทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ก็คือรู้สังขารนั่นเอง ว่าเป็นสังขารมันก็ต้องไม่เที่ยง สิ่งใดที่ไม่เที่ยงสิ่งนั้นมันก็เป็นทุกข์ อะไรทีมันทุกข์สิ่งนั้นมันไม่มีตัวตน ตาของเราเห็นสิ่งต่าง ๆ จะเห็นบุคคล เห็นสัตว์ เห็นสิ่งของ เห็นธรรมชาติเราก็รู้ว่านี้มันเป็นสังขาร ถ้าเรารู้ว่าสังขารความเป็นจริงเป็นอย่างนี้พุทธะก็เกิดขึ้น ถ้าจิตมันรู้ จิตมันตื่น จิตมันเบิกบาน พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมก็ปรากฏขึ้นในจิตใจของเรา เพราะพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่งดังที่พระองค์ตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม เห็นธรรมก็คือเห็นสังขารตามที่มันเป็นจริงอย่างที่พระพุทธเจ้าแสดงธรรมครั้งแรก ปัญจวัคคีย์รูปหนึ่งโกณฑัญญะก็เห็นธรรม ยังกิญจิ สุมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัม สิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา และถ้าเป็นสังขารมันก็มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ขอให้ท่านทั้งหลายจงสนใจเรื่องนี้จะได้มีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอยู่ในจิตใจ พระพุทธเจ้ากับพระธรรมนี้อันเดียวกัน ธรรมะชั้นลึกนี้ก็สร้างจากพระธรรมอันเดียวกัน และความหมายของพระสงฆ์ก็หมายถึง มีปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ที่ว่าถึง ??? (นาทีที่ 16.40) ก็คือปฏิบัติให้เข้าใจกฎของธรรมชาติ ธรรมนิยาม ตรงกับ ตถาคตเกิดขึ้นก็ตามไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะมันมีอยู่แล้วเพราะสังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะไม่มีตัวตน ก็คนไม่เข้าใจก็ออกมาเปิดเผยพยายามที่จะให้คนเข้าใจ นั้นคนอย่าลืมอันนี้ แต่ละวัน แต่ละวันถ้าต้องการให้เห็นสังขารตามที่เป็นจริงต้องอบรมจิตให้มีสมาธิ ถ้าจิตมีสมาธิ คือ จิตบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น จิตอ่อนโยนจะมองเห็นสังขารตามที่เป็นจริง ชีวิตของเราที่มีนี้สังขารทั้งหมด ลมหายใจเข้า/ออกก็เป็นสังขาร และที่สังขารที่เราพูดกันอยู่ก็มาจากวิตก วิจารณ์ จิตตะสังขารก็คือสัญญาและเวทนาที่มีชีวิตของเรา และมันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป ถ้ามองหยาบ ๆ ชีวิตของเรามองทีละ 10 ปี 10 ปี จะเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ชัด เราเกิดมาปีแรกก็อยู่ประมาณ ??? (นาทีที่ 18.20) ชีวิตเราก็เปลี่ยนเป็นเด็กอ่อนนอนเบาะ เปลี่ยนเป็นนั่งได้ เดินได้ วิ่งได้ 10 ปี ร่างกายก็จะเดินเส้นตรง จาก 10 ปี ถึง 20 ปี มันก็เปลี่ยน เข้าวัยหนุ่มวัยสาวชีวิตก็ดูสวยงาม อวัยวะอินทรีย์ต่าง ๆ มันก็เจริญเต็มที่ 20 ปี ขึ้น 30 ปีตอนนี้ก็ยังคง ๆ อยู่ 30 ปี ถึง 40 ปีร่างกายเริ่มเปลี่ยนแปลง ความสวยความงามของร่างกายเริ่มมาเปลี่ยนแปลง 40 ปี ถึง 50 ปีก็จะเห็นปรากฏชัดมากขึ้น 50 ปี 60 ปี, 60 ปี 70 ปี, 70 ปี 80 ปี ลองพิจารณาดูทีละ 10 ปี 10 ปี ก็จะเห็นชีวิตมันเปลี่ยนแปลง แล้วชีวิตก็จบคืนสู่ธรรมชาติ ดินสู่ดิน น้ำสู่น้ำ ลมสู่ลม ไฟสู่ไฟ ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟคืนกลับสู่ธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ที่คนยึดถือเอาที่ดินวันนี้ของเรา ของเรา การที่ในที่ดินนั้นอาจจะมีคนเคยตายในที่ดินแต่มันนานมากแล้ว ที่เคยยึดเป็นของเรา ของเรา ที่คนเขาก็ตายกันไปไม่มีอะไร นี่ถ้าพวกคุณเข้าใจธรรมะนี้คุณจะแก้ปัญหาได้ มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้ว่ามันเป็นเพียงสังขารเท่านั้น ก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ถ้าคุณใช้ชีวิตฆราวาสคุณก็ต้องพยายามหาทรัพย์สินเงินทองในวัยที่คุณกำลังหาได้ และต้องประหยัด มัธยัสถ์ ส่วนหนึ่งแบ่งออมมาเพื่อทำประโยชน์ผู้อื่น สงเคราะห์ผู้อื่น และก็บำรุงพระพุทธศาสนา แล้วคนก็จะได้มีความสุขแล้วก็ความสุขจริงอยู่ที่จิตใจ ถ้าชีวิตของเราพิจารณาดูแล้วมีแต่ความเศร้าหมอง ไม่มีอะไรเลยที่เป็นประโยชน์คุณจะหาความสุขไม่ได้เลย ถ้าคุณทำคุณงามความดี ทำบุญทำกุศล อบรมให้มีศีล มีสมาธิ ปัญญา พอระลึกได้ก็อิ่มใจพอใจตัวเองคุณจะมีความสุข เพราะฉะนั้น การหาความสุขมันไม่ยากแค่มีความพอใจ เราจะพอใจชีวิตของเราเองเราต้องทำประโยชน์ ถ้าไม่ทำประโยชน์จะพอใจมันไม่ได้ความพอใจจะเกิดขึ้นไม่ได้ ในแต่ละวัน ละวัน ก็คือทำหน้าที่ให้ดีที่สุดเรียกว่า ปฏิบัติธรรม แล้วแต่หน้าที่ที่เรามีทำให้ดีที่สุด แล้วก็พยายามอบรมจิตให้มีเมตตากรุณาอยู่เป็นพื้นฐาน สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติ - หัวใจโพธิสัตว์ ท่านอาจารย์พุทธทาสตั้งพระโพธิสัตว์ขึ้นไว้เตือนคน สุทธิ ปัญญา เมตตา ขันติอันนี้ติดตัวไปด้วย นี่ เป็นธรรมะที่มีในสวนโมกข์ นอกจากนั้น ที่ต่าง ๆ ที่ได้เห็น ได้พบก็ไปคิดไปนึกทีละวัน ทีละวัน
ลำดับต่อไปนี้เหลือเวลาเล็กน้อยก็ปฏิบัติธรรมกัน สำรวมจิตให้มีสมาธิและก็พิจารณาสังขาร ถ้าเราทำได้อย่างนี้จะมองไปที่ไหนก็พบพระพุทธเจ้า มองไปที่ไหนก็พบพระธรรมไม่ใช่ธรรมะที่อยู่ในหนังสือ มองไปที่ไหนก็จะเห็นว่าที่นี้มันเป็นสังขาร สังขารไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าคุณทำได้อย่างนี้ก็จะได้เห็นพระพุทธเจ้า ได้เห็นธรรม ได้เห็นธรรมได้เห็นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม
วันนี้ก็ปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ ลมหายใจเข้า/ออกนี้เป็นสังขาร หายใจเข้า หายใจออก เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ว่าเมื่อจิตอยู่กับลมหายใจเข้า/ออกได้ จิตก็จะมีสมาธิ พระพุทธเจ้าได้เป็นพระเจ้าเพราะพระองค์ใช้ลมหายใจเข้าของพระองค์เป็นเครื่องมือในระบบอานาปานสตินี่เอง สวนโมกข์ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาสั่งสอนให้คนปฏิบัติกัน พวกเราก็ปฏิบัติกันอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ไปที่ไหน อยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น และก็สำหรับผมเอง วันที่ 12 ผมก็ลงไปเกาะสมุยจะหลายวัน คงไม่เจอพวกคุณ พวกคุณกลับไปก็จะไม่เจอก็ตาม ก็จะเป็นการลากันในวันนี้ก็ได้ นี่ผมก็ออกไปพบพระที่สวนโมกข์นานาชาติ วันนี้เป็นวันพระ วันธรรมสวนะ 8 ค่ำ ก็มาทำบุญในวัดปฏิบัติธรรม เวลาบ่ายโมง บ่ายสองโมงวันพระ วัน วันธรรมสวนะ ผมก็ลงไปปฏิบัติธรรมก็ทำอย่างนี้เป็นกิจวัตรเป็นหน้าที่ก็ปฏิบัติกันต่อไปนี้