แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ขณะนี้ก็ถึงเวลาเราได้กำหนดกันเอาไว้ระหว่างพระภิกษุสงฆ์ กับญาติโยม แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา มาร่วมปฏิบัติธรรมที่ลานหินโค้ง ถ้าฝนไม่ตก เวลาบ่ายโมงถึง บ่ายสองโมง มีทุกวัน เป็นเฉพาะวันเสาร์ วันตักบาตรเสาร์อาทิตย์ ช่วงบ่ายเป็นเวลาฟังธรรม งดไป 1 วัน อีกวันหนึ่งก็คือวันกรรมกร วัน 7ค่ำ วัน 14ค่ำ และวัน 13 ค่ำ แล้วแต่เดือน เพราะนั่นเป็นวันทำงาน กรรมกร เป็นการปฏิบัติธรรมโดยใช้เรี่ยวแรงบำเพ็ญประโยชน์ นอกจากนั้นแต่ละเดือนละเดือน พวกเราก็มาปฏิบัติธรรม เวลาบ่ายโมงถึงบ่ายสองโมง สำหรับอาตมาเองเนี่ย วันพระ วันธรรมะสวนะ อาตมาก็ลงมาเองถ้าไม่ไปไหน นอกจากนั้นก็นิมนต์พระรูปอื่นให้มาช่วยเหลือกัน เมื่อวานฝนตกหนักพอสมควร อาตมาก็ขึ้นไปที่ตโป กับพระประมาณ 20 รูป ก็ไปเจอฝนถล่มมา ตโปทาวัน เมื่อวาน ไม่ได้บรรยากาศ เพราะฝนตกน้ำในคลองสูง เดินข้ามคลองก็ลำบาก ก็พอดีมีสะพานแขวน ก็เดินข้ามสะพานแขวนกันมา ท่านเจริญไปทำสะพานแขวนเอาไว้ที่ตโป น้ำเต็มคลองก็เดินข้ามได้ก็สะดวก แต่ว่าอาตมาเดินแล้วรู้สึกว่ามันต้องระวังมาก มันลักษณะเป็นคลื่น ขึ้นลงๆ ต้องระวัง คนแก่ๆไม่สะดวก ก็เดินข้ามสะพานแขวน ถ้าหกล้มลงมาแล้วก็อันตราย ถ้าเดินข้ามน้ำก็น่ากลัวเหมือนกัน เมื่อวานเดินลุยน้ำ น้ำเชี่ยวมาก มีคน 2-3 คน คอยเดินตามหลังอาตมา แต่ว่าหกล้ม ถ้าหกล้มในกระแสน้ำ ดีไม่ดีอันตรายได้ แล้วก็กลับลงมา ตอนบ่าย วันนี้ฝนไม่ตก อากาศดี นี่ก็เป็นธรรมชาติ ฝนตก แดดออก เป็นเรื่องของธรรมชาติ เราบังคับมันไม่ได้ แต่เราปรับปรุงความเป็นอยู่ของเราให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ ถ้าฝนไม่ตกน้ำก็ไม่มีจะใช้ ต้นไม้ก็ตาย เหี่ยวตายเพราะน้ำมันไม่พอ เหมือนอย่างบางแห่งก็ต้องช่วยทำฝนเทียม ฝนเทียมเนี่ยมาจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่พระองค์พยายามศึกษาความรู้ในการทำฝนเทียมช่วยเหลือประชาชน เดี๋ยวนี้ฝนเทียมก็ช่วยเหลือประชาชนได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ที่จะทำให้ทั่วถึงเนี่ยก็ยังยากเหมือนกัน แต่ก็พอแก้ไขปัญหาได้ในเมื่อเวลาจำเป็น ธรรมชาติมันก็เป็นอย่างนี้ แต่ละปีๆ บางปีฝนแล้งมาก บางปีฝนตกมาก บางปีก็พายุเข้ามาพัด ต้นไม้หักโค่นในสวนโมกข์นี่เอง บางปีต้นไม้ล้มลงเพราะว่าพายุมันหนัก พายุแรง เนี่ยเมื่อหลายปีมาแล้วที่แหลมตะลุมพุกพายุใหญ่พัดถล่ม คนตายเยอะ บางเวลาเกิดแผ่นดินไหวสึนามิ เมื่อหลายปีมาแล้วสึนามิมันเกิด คนล้มตายกันเยอะในฝั่งตะวันตกทะเลอันดามัน เมื่อไม่กี่วันมานี้ อาตมาไปที่คุระบุรี ที่เขามอบที่ดินให้แด่มูลนิธิพุทธทาส โยมกฤษณ์ สีฟ้า ให้ที่ดินประมาณ 200 กว่าไร่ ก็มีญาติโยมมาช่วยกันปลูกป่าประมาณ 600 คน ก็พร้อมเพรียง สามัคคี ก็น่าชื่นชม น่ายินดี อาตมาไปในวันนั้นยังไม่ได้ดูทั่วถึง พอดีพระฉัตรชัยเขาถ่ายภาพทางอากาศเอาไว้ เมื่อวานขณะนั่งรถไปตโปมาดูก็เห็นสภาพบริเวณนั้น ทะเลอันดามัน สถานที่ที่เขามอบให้เรา อยู่ที่ตรงไหน ก็เห็นชัดเจน มีลำคลอง มีอ่าว อาตมาคิดว่ายังพอมีเรี่ยวมีแรงก็จะไปที่นั่น กะว่าเดือนละครั้ง ไปสั่งสอนญาติโยมปฏิบัติธรรม คิดว่าเดือนหน้ายันกรกฎาวันที่ 9 ก็จะไปแนะนำให้เขาทำลานหินโค้ง ไม่ได้ไปก่อสร้างอะไร ที่ก่อสร้างก็มีพอสมควร มีบ้านพักที่เจ้าของที่เขามอบให้แก่มูลนิธิพุทธทาส ก็มีบ้านหลังใหญ่ มีห้องน้ำห้องส้วม ไม่ลำบาก ตลอดที่ปฏิบัติธรรม อาตมาอยากจะให้เป็นลานหินโค้ง ก็จะไปดู ไปสั่งสอนญาติโยมปฏิบัติธรรม เขาต้องการมอบที่นั้นให้แก่มูลนิธิพุทธทาส เพื่อสร้างธรรมมะอุทยาน สวนโมกข์อันดามัน ตอนนี้ทางคณะที่เราไปกับธรรมทานมูลนิธิ มีคุณเมตตา มีคนอื่นๆ คณะธรรมทาน รวมทั้งอาตมาที่เป็นประธานมูลนิธิพุทธทาสก็ได้รับมาแล้ว ยังเหลือแต่ไปใช้สถานที่นั้นให้เกิดประโยชน์ วันที่ 9 ของทุกเดือนคิดว่าจะไป ญาติโยมคนใดสนใจจะไปดูก็ได้คราวหลัง อาตมาก็ยังตั้งใจไว้ว่าวันที่ 28 จะขึ้นไปที่ตโป ไปปฏิบัติธรรมที่ตโปทาวัน วันที่ 9 ก็จะไปที่คุระบุรี จ. พังงา วันที่ 12 ก็ไปเกาะสมุย กลับมาวันที่ 17 แล้วก็ไปอีกวันที่ 20 ไปเกาะสมุยอีกกลับมาวันที่ 27 เวลานอกนั้นก็อยู่ที่สวนโมกข์นี้เอง
อาตมาก็ดีใจที่ญาติโยมทั้งหลายยังสนใจร่วมมือกับวัด ที่อาตมาบอกญาติโยมว่า วันนี้ถ้าญาติโยมว่างก็มาปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิภาวนากันบ้าง ถ้ามิฉะนั้นก็น่าละอายชาวต่างประเทศที่เค้ามาที่สวนโมกข์มหาชาติทุกเดือน เดือนนี้ก็ประมาณ 70 คน จะจบในวันพรุ่งนี้ แล้วเดือนต่อไปเขาก็มาอีก ฝรั่งก่อนที่เขาจะเข้าอบรมที่สวนโมกข์มหาชาติ เขาจะมาที่สวนโมกข์ วัดธารน้ำไหลก่อน ตอนที่เขากลับวันสุดท้าย วันที่ 11 ก็มาที่นี่ก่อนที่จะจากกันไป แต่พอเขาเข้ามาที่วัดธารน้ำไหล ไม่เห็นพระสงฆ์ ไม่เห็นอุบาสก อุบาสิกา สนใจเจริญสมาธิภาวนา ความศรัทธาของเขาก็จะต้องเสื่อมลง เพราะนั้นพวกเราพร้อมเพรียงสามัคคี ช่วยกันรักษาวัดของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสให้มันเข้มแข็ง ก็จะได้ทำประโยชน์มันกว้างไกลออกไป เราไม่ได้ไปเผยแพร่พุทธศาสนาด้วยตนเอง แต่ว่าฝรั่งที่เขาเข้ามา เขาเข้ามาศึกษาเรียนรู้ แล้วก็พาความรู้ที่มีในเมืองไทย เอาไปใช้ในประเทศของเขา ถ้าพวกเราได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ต่างประเทศ ขอให้พวกเรามองเห็นความสำคัญของการปฏิบัติธรรม การรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ยังมีอยู่ในโลก คนในโลกมีปัญหาเยอะ ปัญหาเรื่องภัยธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศที่มันวิปริต อย่างที่กล่าวมาแล้ว ฝนตกน้ำท่วม ฝนไม่ตก มีปัญหา ภัยธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสว่าภัยธรรมชาติก็ดี ภัยอย่างอื่นก็ดี บางคนก็เจอ บางคนก็ไม่เจอ แต่ว่าภัยอย่างหนึ่งที่ทุกคนต้องเจอ คือ ภัยที่พ่อแม่ก็ช่วยลูกไม่ได้ ส่วนลูกก็ช่วยพ่อแม่ไม่ได้ มาตาปิตกภัย มาตาปุตติกภัย ภัยที่บิดามารดาช่วยลูกก็ไม่ได้ ลูกจะช่วยบิดามารดาก็ไม่ได้ ภัยนี้ทุกคนจะต้องเจอ ก็คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตายนั่นเอง เราอยู่ที่ไหน ไปที่ไหนก็ต้องเจอกับภัยเหล่านี้กันทุกคน แต่ก็มีพระพุทธเจ้าตรัสว่า ถ้าอาศัยพระองค์เป็นกัลยาณมิตรแล้ว ก็จะพ้นจากภัยต่างๆ แม้มาตาปุตติกภัยก็เอาชนะได้ บางคนเขาก็ไป ทุกคนก็ได้ เมื่อภัยมันเกิดขึ้น ก็แสวงหาที่พึ่ง ภูเขาบ้าง ต้นไม้บ้าง สิ่งศักดิ์สิทธิ์บ้าง เอามาเป็นที่พึ่ง แม้แต่จอมปลวก ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มันก็ยัง ฮึๆ (หัวเราะ) ไปเห็นแม้แต่ที่ตโป มันมีศาลาที่คนทำเอาไว้สำหรับให้คนเดินทางพักเอาไว้เวลาฝนตก แล้วมันมีจอมปลวกที่ศาลาหลังนั้นลูกหนึ่ง เห็นคนเอาดอกไม้ไปบูชา เอาน้ำหวานไปบูชาจอมปลวก อาตมาคิดว่า ใจคนรึ แต่ก็ไม่ทำ ระหว่างคนพวกหนึ่ง เอาเป็นว่า เขาไปทำอย่างโน้นอาจจะมีโชคมีลาภ แต่ว่าดูเหมือนเป็นการประจานว่าชาวพุทธเราเนี่ยยังไม่มีที่พึ่งอันประเสริฐ งั้นไป ที่ไหนๆ ในประเทศไทยเกือบทุกแห่ง จะเห็นศาลพระภูมิบ้างตามบ้านตามเรือน
ที่ว่ากลายเป็นสินค้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง คนที่ทำธุรกิจ ทำศาลพระภูมิขาย บนตึกใหญ่ๆ อาตมาไปเห็น ก็มีศาลพระภูมิตั้งอยู่ คนเขาบอกว่าถ้าไม่ตั้ง เกิดอะไรขึ้นมา คนอื่นเค้าก็จะตำหนิหาว่าไม่ตั้งศาลพระภูมิ ต้นไม้ใหญ่ๆ มีคนเอาน้ำหวานไปเปิดให้เทวดา บูชาเทวดา บูชาผี อะไรก็ไม่รู้ ก็มีอยู่ทั่วๆไป นั่นก็เป็นที่พึ่งธรรมดาของคนทั่วๆไปที่ไม่มีที่พึ่งอันประเสริฐ บางทีก็เป็นชาวพุทธนี่เอง แต่เป็นชาวพุทธมีแต่ชื่อ แต่ว่าไม่ได้ปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงไม่มีความแน่ใจ ไม่มีความอบอุ่นใจ จึงเอาสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง นี่มันมีมานานตั้งแต่ก่อนพุทธกาล จากศาสนาพราหมณ์ ก่อนพุทธกาล ที่ว่าเป็นพันปีหรือหลายร้อยปี ศาสนาพราหมณ์เกิดขึ้นก่อนศาสนาผี มนุษย์มีศาสนาผีกันมาก่อน อาตมาคิดว่าพวกฝรั่งเค๊าไม่ค่อยเชื่อว่าผีมี แต่จริงๆ ฝรั่งนี่ก็อาจจะมากกว่าคนไทยก็ได้ มีฝรั่งเอาหนังสือมาทิ้งไว้ที่สวนโมกข์มหาชาติเล่มหนึ่ง อาตมาอ่านดู เขาบรรยายเรื่องผี เรื่องวิญญาณ ไม่แพ้คนไทยเหมือนกัน แสดงว่าพวกฝรั่งก็ยังกลัวผี ยังเชื่อผี นั่นเป็นสัญชาติญานของมนุษย์เรา สัญชาติญานรู้จักกินอาหาร หลับนอน กลัวภัย สืบพันธุ์ มันเป็นสัญชาติญาน ก็มีความกลัวก็หาที่พึ่ง ทำให้พระพุทธองค์ คิดว่า จะพึ่งจะให้เขาพึ่งได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนในโลกนี้ พระองค์ได้ตรัสรู้ ได้พบหนทางที่ช่วยเหลือให้มนุษย์มีที่พึ่ง มีที่ตั้งฐานความทุกข์ ปัญหา พระองค์ก็แสดงธรรมมะเอาไว้ แล้วบอกสาวกของพระองค์ให้ช่วยกันปฏิบัติ ช่วยกันสั่งสอนสืบต่อๆกันมา จนกระทั่งปัจจุบันนี้ ก็พวกเราในปัจจุบันนี้ มันยังไม่เข้าถึงหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมเนี่ย ท่านอาจารย์พุทธทาสวางหลักเกณฑ์เอาไว้ว่า ต้องศึกษาให้รู้ว่าอะไรเป็นหัวใจของพุทธศาสนา แล้วก็ปฏิบัติโดยวิธีอานาปานสติ อานาปานสติเนี่ยเป็นวิธีปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ หัวใจของพระพุทธศาสนาก็คือเรื่องทุกข์ เรื่องดับทุกข์นี่เอง ขยายออกไปให้ละเอียด ก็เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้ทุกข์เกิด แล้วก็เรื่องดับทุกข์ ก็ทางให้ถึงความดับไม่ต้องทุกข์ ทางถึงความดับไม่ต้องทุกข์เนี่ย แต่ว่าสำคัญมาก ความทุกข์มันมีอยู่ พอเกิดมาก็พาความทุกข์ เกิดมาแล้วในชีวิตของเรา ความทุกข์มันหลายอย่าง เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ โศกร่ำไรรำพัน ทุกข์กายทุกข์ใจ ความทุกข์ทางด้านจิตใจเนี่ยสำคัญที่สุด ความทุกข์ทางด้านจิตใจมาจากอวิชชา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยทำให้เกิดตัณหาความอยาก พอมีตัณหา ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่น อุปาทาน อุปาทานนี่ก็ตัวทุกข์ ตัวหนักอกหนักใจ อยู่ที่อุปาทาน ความทุกข์มันเกิด ต้องการทำให้ทุกข์มันดับ ก็ต้องละอุปาทาน อุปาทานจะถูกละได้ ก็ต้องละตัณหา ตัณหาถูกละได้ต้องละอวิชชา อวิชชามันมีอาหารคอยหล่อเลี้ยงมันตลอดเวลา อาหารของอวิชชาก็คือนิวรณ์ นิวรณ์ 5 เนี่ย ที่ชาวพุทธบางคนก็รู้ บางคนก็ยังไม่รู้ แต่ก็ควรจะรู้ กามฉันทะ จิตมีอารมณ์ละจิตเดิม จิตทีแรกมันเป็นจิตผ่องใส เป็นจิตประภัสสร แต่พอถูกนิวรณ์เข้ามาอยู่ จิตก็เศร้าหมอง และตัณหาก็เกิด ก็มาจากกามฉันทะ กามราคะ ซึ่งเป็นสัญชาติญาณของมนุษย์เรานี่เอง ก็ทำให้จิตมันเศร้าหมอง มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริงไม่ได้ แล้วก็พยาบาท ไม่พอใจ ส่วนใหญ่มาจากราคะ กามราคะ กามฉันทะนั่นเอง พอไม่ได้อย่างใจก็ไม่ชอบ เรียกว่า พยาบาท หรือโทสะ แล้วก็ถีนมิทธะ เบื่อ อ่อนเพลีย ง่วงเหงาหาวนอน ก็เป็นกิเลสประเภทโมหะ เรียกว่าฟุ้งซ่าน จิตนึกไปเรื่อยคิดไปเรื่อย หยุดไม่ได้ สงบไม่ลง อุทธัจจะกุกกุจจะ แล้วก็ลังเลสงสัย นิวรณ์ 5 เป็นอาหารของอวิชชา นิวรณ์ 5 เหล่านี้ มันก็มีอาหารของมันคือ ทุจริต 3
ทุจริตคือ ทำชั่ว ทำไม่ดีนั่นเอง ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางความคิดนึกบ้าง ทางกายเช่น การฆ่า การลักล่วงเกินของรัก ทางวาจา พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ก็มาจากมโนทุจริต ก็กิเลสมันเข้ามาอยู่ในจิตใจได้ ก็ทำทุจริตๆ คอยเกิดกังวล เรียกว่านิวรณ์ การที่มี ทำทุจริตเนี่ย ก็เพราะไม่มีการสำรวมอินทรีย์ คือไม่ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การไม่สำรวมอินทรีย์ ก็เพราะไม่มีสติสัมปชัญญะ การไม่มีสติสัมปชัญญะ ก็ไม่มีโยนิโสมนสิการ ต้องจับใคร่ครวญพิจารณาให้รอบคอบ การไม่มีโยนิโสมนสิการ ก็ไม่มีศรัทธา การไม่มีศรัทธา เพราะไม่ได้ฟังธรรม การฟังเทศน์ ฟังธรรม มันทำให้เกิดศรัทธา ศรัทธาเนี่ยสำคัญที่สุด ศรัทธาในพระพุทธศาสนานั้นต้องเป็นศรัทธาที่ประกอบด้วยปัญญา ศรัทธาญาณสัมปยุตต์ ศรัทธาที่ประกอบด้วยญาณ ไม่ใช่แต่สักว่าเชื่อ เชื่องมงายไม่เรียกว่าศรัทธาในพระพุทธศาสนา ศรัทธาในพระพุทธศาสนาคือเชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตัว และเชื่อปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการที่เราจะมีศรัทธาเข้มแข็ง ก็ต้องปฏิบัติธรรม ให้เห็นธรรม เห็นธรรม เห็นที่ไหน ไม่ใช่เห็นธรรมในตำรา เห็นธรรมก็คือเห็นในชีวิตของเรา เห็นในสิ่งที่ชีวิตของเรามันเกี่ยวข้อง
ธรรมทั้งหมดเนี่ยสรุปแล้วก็มีเพียง 2 ชนิด 1 สังขารธรรม สังคตธรรม มากมายทั้งหมด เกือบทั้งหมดเป็นสังคตธรรม หรือสังขารธรรม มีอย่างเดียวเท่านั้นคือ ไม่ใช่สังขาร อสังขตธรรม หรือ วิสังขาร คือพระนิพพาน นอกนั้นเป็นสังขารทั้งหมด ไม่ว่า ตาเอง ตาของเราก็เป็นสังคตธรรม สังขาร รูปที่เห็นก็เป็นสังขาร หูก็เป็นสังขาร เสียงปรุงแต่ง เสียงก็เป็นสังขาร จมูกก็เป็นสังขาร กลิ่นก็เป็นสังขาร ลิ้นก็เป็นสังขาร รสก็เป็นสังขาร ผิวหนังร่างกายก็เป็นสังขาร สิ่งที่มากระทบผิวหนังร่างกายก็เป็นสังขาร จิตก็เป็นสังขาร อารมณ์ก็เป็นสังขาร ก็เป็นสังขารทั้งนั้น ??? คุณสมบัติของสังขารธรรมชาติของมันคือ มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไหลเรื่อยตลอดเวลา แต่คนทั่วไปไม่ได้มอง ไม่เห็น ถ้าเห็น ก็เห็นแต่เพียงตาเนื้อ ถ้าเห็นด้วยเพียงตาเนื้อ บัดเดี๋ยวก็ต้องเสียน้ำตา ร้องห่มร้องไห้ เช่นพลัดพรากจากบุคคลที่รัก ของที่รัก เพราะเห็นแต่ตาเนื้อ ต้องเห็นด้วยตาปัญญา ตาธรรมมะ ตาปัญญาจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยจิตที่มีสมาธิ เพราะฉะนั้นการฝึกสมาธิเป็นสิ่งจำเป็น เพราะความหมายของสมาธิจึงไม่มีนิวรณ์ จิตบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น จิตอ่อนโยน พอจิตมีสมาธิ เอาสังขารนี่มาพิจารณาดู มาใคร่ครวญดู ว่าทุกอย่างมันเป็นสังขาร เช่น ลมหายใจเข้าออก ก็ลองตามดูมัน มันก็เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แล้วเวทนา ความรู้สึกต่างๆ รู้สึกเป็นสุข รู้สึกเป็นทุกข์ ไม่สุข ไม่ทุกข์ มันก็เปลี่ยนตลอดเวลา สัญญา ความจำได้หมายรู้ก็เปลี่ยน บางทีจำได้ บางทีก็จำไม่ได้ สังขารเป็นความคิดนึก คิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ คิดดี คิดว่าดี เปลี่ยนตลอดเวลา แล้วก็วิญญาณ เดี๋ยวไปทำงานที่ตาบ้าง ทำงานที่หูบ้าง จมูกบ้าง ลิ้นบ้าง ใจเองบ้าง แล้วก็ดับหายลงไป แต่ละวันๆ บางเวลา วิญญาณ หรือจิตมันไม่ทำงาน ก็มัวนอนหลับ ก็ไม่รู้อะไร เพราะฉะนั้นมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ มันไม่มีตัวตน ถ้าใครเข้าใจเรื่องไม่มีตัวตน ความทุกข์ปัญหาต่างๆ มันก็ไม่มี แม้แต่ความตายมันก็ไม่มี เนี่ย ต้นไม้มันตาย ถ้าเราเห็นว่าต้นไม้มันตาย ไม่ใช่เราเป็นผู้ตาย แต่พอญาติพี่น้องของเรามันตาย เราคิดว่าญาติพี่น้องของเรามันตาย ก็เป็นทุกข์ เศร้าโศก พอต้นไม้มันตาย ทำไมเราไม่เป็นทุกข์ แต่ว่าถ้าเราไปยึดถือว่าต้นไม้มันเป็นของเรา เช่นไม้ผล เช่น ต้นทุเรียน ต้นมะม่วง ต้นอะไรต่างๆ ถ้ามันตาย เราก็เป็นทุกข์เหมือนกันเพราะไปยึดถือว่าต้นไม้นั้นมันของเรา เพราะฉะนั้นหัวใจสูงสุดของพุทธศาสนา คือ เห็นอนัตตา ไม่ยึดมั่นถือมั่น เอาสิ่งต่างๆว่าเป็นเรา เป็นของเรา ถ้าใครเห็นอันนี้ นั่นคือเห็นพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม สถิตย์อยู่ที่นั่น สถิตย์อยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง พุทธะแปลว่ารู้ตื่น เบิกบาน ขอให้โยมทั้งหลายใช้ชีวิตให้มีปีติ มีความอิ่มใจ มีความเบิกบานไม่ว่าตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกดมกลิ่นหรือกระทบกับรสกายที่ต้องโอฏฐัพพะ จิตรู้อารมณ์ เพราะเห็นว่ามันเป็นแต่เพียงแต่สังขาร ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา แต่มันยาก เพราะว่ากิเลสอนุสสัยที่มันเคยชินอยู่ในชีวิตของเรา มันอดไม่ได้ ที่รู้สึกว่าเป็นเรา เป็นของเรา เพราะฉะนั้นคนก็เปรียบเทียบ ฉันดีกว่าเขา ฉันเลวกว่าเขา ฉันเสมอเขา มันมีตัวตนออกมารับหน้าก่อน เพราะฉะนั้นต้องสนใจปฏิบัติเท่านั้น แล้วเวลาต่อไปนี้เป็นเวลาปฏิบัติธรรม ครึ่งชั่วโมง ขอให้ญาติโยมทั้งหลายตั้งใจ การปฏิบัติธรรมก็เครื่องมือที่สำคัญ ก็คือ สติสัมปชัญญะ และความเพียร สติคือระลึกอยู่กับธรรมมะตลอดเวลา ฝึกอานาปานสติ อย่างลมหายใจเข้าออกเนี่ยเป็นธรรมมะอย่างหนึ่ง หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา ปฏิบัติไปๆ ต่อไปเกิดปีติ เกิดความสุข เอาปีติและความสุขมาเป็นอารมณ์ เนี่ยสติต้องมาอยู่ ก็ปีติ และความสุข ต่อไปก็มาสังเกตที่ใจ เอาจิตมาเป็นอารมณ์ มันเปลี่ยน สูงขึ้นๆ ก็มาพิจารณาอารมณ์ อารมณ์เหล่านี้มันเป็นสังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เอาล่ะ ก็ปฏิบัติกันต่อไปนี้