แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละครับ ต่อไปนี้ ก็ขอให้พวกเราที่เป็น พระภิกษุสงฆ์ ทุกรูปทุกองค์ ไม่ว่าบวชเก่าหรือบวชใหม่ พร้อมทั้งแม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้ตั้งใจเตรียมตัวที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุด คือเวลาหัวรุ่ง เพื่อจะเห็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว การที่จะเห็นธรรม ต้องมีตาปัญญา ตาธรรมดานี่มองไม่เห็น “ตา”นี้ภาษาบาลี เรียกว่า จักษุ จักษุคือดวงตา นั้นมีหลายชนิด หนึ่ง มังสจักษุ หรือ ตาเนื้อ เพราะเราเกิดมา ตาปกติก็มีตาสองข้าง ตาซ้าย ตาขวา เรียกว่าตาเนื้อ มีแต่ตาเนื้อแต่ไม่มีตาปัญญา หรือไม่มีตาธรรมะ หรือไม่มีปัญญาจักษุ ไม่มีธรรมจักษุ ก็ยังต้องเสียน้ำตา อย่างคนทั่วไป เสียน้ำตาร้องห่มร้องไห้เพราะความพลัดพรากจากบุคคลที่รัก จากของที่รัก เรียกว่าเสียน้ำตา น้ำตานองหน้า เพราะไม่มีปัญญาจักษุ เพราะไม่มีธรรมะจักษุ พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเอาไว้ เหมือนอย่าง หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทางตามประทีปไว้ในที่มืด
พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ในโลกมนุษย์เรานี้ ถ้าไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์ ก็จะไม่มีกลางวันและกลางคืน มันมีแต่ความมืด มืดอย่างเดียว กลางวันก็ไม่มี กลางคืนก็ไม่มี แต่พอพระอาทิตย์ขึ้นก็เป็นกลางวัน พอพระอาทิตย์ตกไปก็เป็นกลางคืน แต่ถ้ามีพระจันทร์ กลางคืน คนก็พอมีจะ มีแสงสว่าง ไปไหนมาไหน โดยเฉพาะเช่นพระจันทร์เต็มดวง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ เกี่ยวกับพระจันทร์หลาย ๆ โอกาส พระองค์ตรัสรู้ในวันเพ็ญ เดือนวิสาขะ พระจันทร์เต็มดวง พระจันทร์มีความสำคัญต่อพระพุทธเจ้า พระองค์แสดงธรรมแก่พระปัญจวัคคีย์ วันอาสาฬหบูชาก็วันพระจันทร์เต็มดวงเหมือนกัน วันที่พระองค์แสดงโอวาทปาฏิโมกข์ที่พระอรหันต์ 1,250 รูปมาเฝ้าพระองค์ โดยมิได้นัดหมาย ก็วัน 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวง กลางเดือน 3 นั่นเอง
เพราะฉะนั้นเราเกิดมาบนโลกนี้ มันมีกลางวัน และกลางคืน ก็เท่ากับว่าตราบใดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ สัตว์โลกก็เต็มไปด้วยความมืด จิตใจมืด มองไม่เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เหมือนอย่างมีแต่ความมืด ไม่เป็นกลางวันและกลางคืน แต่พอพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ พวกหนึ่งเข้าใจธรรมะได้ ก็เหมือนกับกลางวัน แต่มีคนจำนวนมากไม่สามารถที่จะเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เหมือนกับอยู่ในกลางคลื่นลม เหมือนกับอยู่ในถ้ำมืด พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนที่มีโอกาสได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นมีน้อย คนที่ได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าใจธรรมะมันมีน้อย เข้าใจธรรมะแล้วปฏิบัติธรรมมันมีน้อย ปฏิบัติธรรมแล้วจะให้สมควรแก่ธรรมที่จะบรรลุธรรมมันมีน้อย ฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เป็นของที่ง่าย ต้องสนใจ ต้องมีศรัทธาเลื่อมใส ต้องมีความพอใจที่จะปฏิบัติ อบรมจิตใจนี่เอง ให้มันเกิดตาปัญญาขึ้นมา
ปัญญาจะเกิดก็ต้องอาศัยจิตที่มีสมาธิ เรียกว่าตาทิพย์ ทิพยจักษุ ความหมายของทิพยจักษุ มันก็มีสองอย่าง หมายถึงสามารถที่จะรู้ที่จะเห็นอะไรต่างๆ เรียกว่าทิพยจักษุ แต่ความหมายของตาทิพย์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า เวลาใดพระองค์อยู่ด้วยสมาธิ เข้าอยู่ด้วยสมาธิ ที่นั้นที่นั่งตรงนั้นก็เป็นอาสนทิพย์ ขณะที่พระองค์เดินจงกรมอยู่ ถ้าจิตมีสมาธิ ก็จงกรมทิพย์ ในขณะที่พระองค์ยืนอยู่ ถ้าจิตมีสมาธิ ก็ที่ยืนทิพย์ ดังนั้นคำว่าทิพย์ ในที่นี้หมายถึง จิตมีสมาธิ อาศัยตาทิพย์แต่ไม่ใช่ตาเนื้อนะ นี่เป็นเรื่องจิตใจที่มีสมาธิ พอมีสมาธิก็อบรมปัญญา เรียกว่าเจริญวิปัสสนา ก็จะเกิดตาปัญญา ตาปัญญา คือเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง เห็นสังขารนั่นเอง ไม่ใช่เห็นอะไร เห็นสังขารต่อทุกสิ่งทุกอย่าง มันเป็นสังขารทั้งหมด ยกเว้นพระนิพพาน เพราะนิพพานไม่ใช่สังขาร ถ้าสังขารมันต้องไม่เที่ยง ใครจะรู้หรือไม่รู้ ถ้าเป็นสังขารมันต้องเป็นอย่างนี้ คือมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และก็ดับไป อยู่ตลอดเวลา คือไม่เที่ยง ถ้ามีปัญญาก็ได้พิจารณาสังขาร “สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา” ที่เราสวดกันเช้าๆนี่ เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ กรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา เมื่อนั้นจะเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ตนทุกข์ ในสิ่งที่ตนหลง นั่นคือทางพระนิพพาน ก็จะได้เห็น เข้าถึงธรรมจักษุ
ธรรมจักษุ พระพุทธเจ้าแสดงธรรมครั้งแรก พระปัจวัคคีย์รูปหนึ่ง พระโกณฑัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม “ยังกิญจิ สมุทยธัมมัง สัพพันตัง นิโรธธัมมัง”เช่นใดมีเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เช่นนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าก็รู้ว่าโกณฑัญญะเข้าใจแล้ว พระองค์จึงได้ “อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ อัญญาสิ วะตะโภ โกณฑัญโญ” โกณฑัญญะรู้แล้ว เข้าใจแล้ว ก็ได้ธรรมจักษุ เพราะฉะนั้น ทุกคนที่เกิดมา บุรุษนี้ต้องการจะมีความสุข แต่ถ้าไม่มีตาปัญญาจะเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร นี่ก็ผมก็ได้พูดมาแล้วตามลำดับ สิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ คือรู้ความจริงของชีวิต เป็นความจริงอันประเสริฐ เป็นความจริงที่ใกล้จะคาดคิด เป็นความจริงของพระอริยเจ้า ไม่ใช่เป็นความจริงของปุถุชน ก็คือรู้ว่าทุกข์เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ เหตุที่เกิดทุกข์เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ ทางถึงความดับไม่เหลือทุกข์ เป็นอย่างนี้ อย่างนี้ รวมเรียกว่า อริยสัจจ์ จะสลับข้อกันไม่ได้ ข้อที่หนึ่งก็เรื่องทุกข์ ข้อที่สอง เหตุให้ทุกข์เกิด ข้อที่สาม ความดับไม่เหลือทุกข์ ข้อที่สี่ ทางไปถึงความดับไม่เหลือทุกข์ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ในชีวิตของมนุษย์เราโดยเฉพาะเรื่องทุกข์ กับเหตุให้ทุกข์เกิด มันมีในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง ความดับทุกข์ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ทุกข์จะดับไม่ได้ เพราะว่าทุกข์มันคอยเกิดตลอดเวลา ฉะนั้น ผมจึงมองเห็นว่า พวกเรามาอยู่กันที่สวนโมกข์ โดยเฉพาะพระใหม่ พระนวกะ มีเวลาอันจำกัด ควรศึกษาธรรมะให้ถูกวิธีที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสได้พูดเอาไว้ พิมพ์เป็นหนังสือขึ้นมาว่า ศึกษาธรรมะถูกวิธี
ศึกษาธรรมะถูกวิธี คือศึกษาเรื่องอริยสัจจ์ ธรรมะทั้งหมดนี่ ทั้งพระไตรปิฎกมารวมอยู่ในอริยสัจ และต้องเข้าใจว่าธรรมะประเภทไหน เป็นประเภททุกข์ ธรรมะประเภทไหน เป็นประเภทเหตุให้ทุกข์เกิด ธรรมะประเภทไหน เป็นประเภทความดับไม่เหลือทุกข์ ธรรมะประเภทไหน เป็นธรรมะที่เป็นหนทางเพื่อทำให้ทุกข์ดับ นี่ก็ต้องเข้าใจ ผมจึงต้องการนำมาพูดตามลำดับตรงนี้ อย่างที่เราก็สวดมนต์กันอยู่ว่า ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่เป็นทุกข์ ความเจ็บความตาย โศกร่ำไรรำพัน ทุกข์กายทุกข์ใจ เป็นทุกข์
พระพุทธเจ้า สรุปความทุกข์อยู่ที่ สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา เพราะยึดมั่นในเบญจขันธ์น่ะ นั่นตัวทุกข์ เบญจขันธ์ คือชีวิตของเรา ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ พระอรหันต์มีเบญจขันธ์ แต่ไม่มีอุปาทาน ฉะนั้น พระอรหันต์ไม่มีความทุกข์ จอมพระอรหันต์คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แสวงหาการตรัสรู้ ใช้เวลาถึง 6 ปีกว่าจะพบ เมื่อพระองค์พบแล้ว พระองค์ก็พ้นจากทุกข์ เป็นพระอรหันต์ เป็นจอมพระอรหันต์ ต่อมาพระองค์แสดงธรรมให้คนเข้าใจ ก็ได้สาวกที่เป็นพระอรหันต์มากมาย พระพุทธเจ้าก็ดี พระอรหันต์ทั้งหลายก็ดี มีเบญจขันธ์ เหมือนกันกับพวกเรานี่ แต่พระอรหันต์เหล่านั้น ท่านไม่มีอุปาทาน เมื่อไม่อุปาทาน ความทุกข์ก็ไม่มี ไม่เหมือนเบญจขันธ์ของพวกเราที่มีอุปาทานอยู่ เพราะฉะนั้นพวกเรายังมีทุกข์ เพราะเราจำกัดอุปาทานออกไปไม่ได้ ชีวิตของพระอรหันต์ก็เหมือนชีวิตของพวกเรา ตั้งต้นชีวิตจากปุถุชนกันก่อนทั้งนั้น ต่างก็เป็นปุถุชนมาก่อน พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ แต่ก็ยังเรียกว่ายังเป็นปุถุชนอยู่ พระองค์แสวงหาการตรัสรู้ และพระองค์ก็พบ พบหนทางที่ทำให้พระองค์ได้ตรัสรู้ขึ้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทีนี้ ปุถุชนทั้งหลาย เมื่อได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็เลื่อนชีวิตสูงขึ้นมา สูงขึ้นมา จนกระทั่งเป็นพระอริยเจ้า สูงสุดคือพระอรหันต์ ผู้ไกลจากกิเลส ผู้ไม่มีความทุกข์ ว่าแล้วต้องเข้าใจ ไม่ใช่ความทุกข์ทางร่างกาย ร่างกายของพระอรหันต์ก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตายเหมือนกับคนทั่วๆไป แต่จิตใจของพระอรหันต์ ไม่มีการยึดมั่นถือมั่น ในชีวิตของท่าน ชีวิตจะแก่ จะเจ็บ จะตาย ท่านก็ไม่ได้รู้สึกว่าท่านเป็นผู้แก่ เป็นผู้เจ็บ เป็นผู้ตาย เมื่อจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ก็ไม่มี เมื่อความทุกข์ไม่มี อันนี้คือความสุขสูงสุด นิพพานัง ปรมัง สุขขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เป็นความสุขที่ไม่มีความทุกข์ใดๆ มารบกวนแล้ว แต่เป็นความสุขทางด้านจิตใจ อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้แสดงธรรมเอาไว้แล้วว่า ความทุกข์ของอุปาทานนี่มันมาจากอะไร มันมาจากตัณหา ตัณหามาจากอวิชชา อวิชชานี่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด เป็นสมุทัย ถ้าไม่มีอวิชชา ความทุกข์มันก็ไม่มี อวิชชานี่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด เมื่อนั้นเหตุให้ทุกข์เกิดนี่มันมีหลายชื่อ นำมารวมเรียกเป็นชื่อเดียว คือ กิเลส
กิเลส นี่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด อวิชชา ตัณหา อุปาทาน และอื่นๆ ที่เป็นเหตุให้ทุกข์เกิด รวมเรียกว่า กิเลส
กิเลส คือ สิ่งที่มาทำจิตใจให้มันสกปรก ให้มันเร่าร้อน ให้มันมืดมัว ให้มันวุ่นวาย เรียกว่า กิเลส
พระพุทธเจ้าก็ได้สอนเอาไว้ว่า จิตเดิมของทุกคนเป็นจิตผ่องใส เป็นจิตประภัสสร แต่ว่าจิตมีปัญหา เพราะกิเลสมันเข้ามาทำลาย ทีนี้ต้องรู้ต่อไปว่ากิเลสเข้ามาเมื่อไหร่ เข้ามาทางไหน กิเลสเข้ามาเมื่อผัสสะ ก็ต้องเรียนต่อไป กิเลสเข้ามาเมื่อผัสสะ ก็ต้องรู้ต่อไปว่า ผัสสะคืออะไร
ผัสสะ คือ การทำงานร่วมกัน หรือการถึงกัน หรือการกระทบกันของสิ่ง 3 สิ่ง สิ่งแรก ก็คือ อายตนะภายใน คือที่เรามี คือชีวิตของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายและก็ใจ สิ่งที่สอง คือ สิ่งที่อยู่ข้างนอก คือ อายตนะภายนอก ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และก็ธรรมารมณ์ และอีกสิ่งหนึ่งก็คืออารมณ์ อารมณ์ 6 อายตนะภายนอก 6
อายตนะภายใน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อินทรีย์ 6 อยู่ในชีวิตของเรา และพอตาเจอกับรูป วิญญาณมันก็เกิด
วิญญาณ ก็คือจิตนั่นเอง จิตนี่มีหลายชื่อ มโนก็เรียก วิญญาณก็เรียก เรียกว่าจิตก็เรียก คือธรรมชาติที่รู้อะไรได้ จิตนี่ก็เกิดดับ เกิดดับ เกิดดับตลอดเวลา ของเดิมมันผ่องใส แต่ว่ามันมาเศร้ามอง เพราะกิเลสมันเข้ามาทำลาย นี่พอตามันเห็นกับรู้ วิญญาณก็มาทำหน้าที่ที่ประสาทตา ก็ทำให้เกิดจักษุวิญญาณ สามอย่างมันร่วมมือกัน ก็เรียก ผัสสะ ดังนั้น ผัสสะจึงมี 6 ผัสสะ ผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ
ทางหูก็เหมือนกัน หูถึงกับเสียง วิญญาณเกิด สามอย่างร่วมกันเป็นโสตสัมผัส ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เรียกว่า ผัสสะ จึงมี 6 ทีนี้ โดยธรรมชาติ พอผัสสะแล้วเวทนาจะเกิด เวทนานี่ตัวร้ายที่สุด ไม่มีอะไรที่ร้ายที่สุดเท่ากับเวทนา เวทนา สะโมสะระณา พรหมจรรย์ 10 มารวมอยู่ที่เวทนา คนไปเที่ยว ไปทัวร์ แต่งเนื้อแต่งตัว อาหารการกิน มาจากเวทนาทั้งหมด คนติดอยู่ที่เวทนา โดยเฉพาะสุขเวทนา แต่เวทนามันถึงมี 3 อย่าง ไม่ใช่มีเฉพาะสุขเวทนา มันมีทุกขเวทนาด้วย มีอทุกขมสุขเวทนาด้วย นั่นมันเกิดมันดับ เวทนาจะเกิดและก็ดับ เดี๋ยวเป็นสุขเวทนาก็เปลี่ยนเป็นทุกขเวทนา ยกตัวอย่างว่า เรามานั่งสมาธิ พอเข้ามานั่งรู้สึกว่ามันสบาย สุขเวทนาเกิด แต่พอนั่งไป นั่งไป ถ้าใจไม่มีสมาธิ เดี๋ยวร่างกายก็ปวด ปวดแข้งปวดขา ทุกขเวทนามันเกิด มันก็เปลี่ยนแบบนี้ คนเค้าทนไม่ไหว ลุกขึ้นยืน ลุกขึ้นเดิน ทุกขเวทนาก็เปลี่ยนไป สุขเวทนามันเกิด บางคราวมันรู้สึกเฉยๆ อทุกขมสุขเวทนามันเกิด ที่นี้ตรงเวทนานี้เอง ถ้าเราไม่มีการปฏิบัติธรรม คือ ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ อวิชชาจะเข้ามาที่ตรงนี้
คือเมื่อเกิดสุขเวทนา ราคะก็จะเกิด ราคะเป็นกิเลสที่เผาจิตใจให้เร่าร้อน ละยาก พระอนาคามีจึงหมดน่ะ แต่ว่าที่จะหมดจริงๆ คือพระอรหันต์
ราคะมันมีหลายชนิด กามราคะ รูปราคะ อรูปราคะ มันลึกมาก พระอรหันต์น่ะ ท่านจะหมดราคะสิ้นเชิง พระอนาคามีน่ะ หมดกามราคะ คนทั่วไป กามราคะรบกวนจิตใจ ไม่ว่าคนหนุ่ม คนแก่ ทั้งผู้หญิง ผู้ชาย กามราคะนี่คือความกำหนัดในกาม พอใจในกาม รบกวนจิตใจอยู่ มันเกิดเมื่อสุขเวทนาเกิด พอเกิดทุกขเวทนา โทสะก็เกิด ไม่ชอบใจ มันเกิดเพราะทุกขเวทนา ถ้าทุกข์เข้ามา สุขเวทนาเกิด เราก็ไม่รู้ โมหะก็จะเกิด
ราคะ โทสะ โมหะ มันเป็นไฟ พอเกิดขึ้นมาแล้วก็เผาจิตใจให้เร่าร้อน ทีนี้ ถ้าไม่มีการปฏิบัติ ก็ปล่อยให้ดับไปเอง สิ่งเหล่านี้ ก็เป็นสังขาร มันเกิดขึ้น และมันแสดงอาการไปพักหนึ่ง แล้วมันก็ดับไป พอมันดับไป ต่อไปมันทิ้งความเคยชินเอาไว้ ทิ้งเชื้อที่จะให้เกิดใหม่เร็วขึ้น เร็วขึ้น อันนี้เค้าเรียกว่า อนุสัย ความเคยชินของกิเลสเป็นอนุสัย ทีนี้เมื่อเริ่มเข้ามาเยอะมาก ก็ไหลออกมาเป็นอาสวะ กิเลสประเภทนี้ เป็นกิเลสประเภทที่มันละเอียด ที่มันอยู่ลึกมาก เป็นกิเลสอย่างละเอียด และมันทำงานร่วมกันกับกิเลสอย่างกลาง คือพวกนิวรณ์ นิวรณ์ 5 นี่เป็นกิเลสอย่างกลาง เกิดขึ้นรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา
กามฉันทะ ความกำหนัดในเรื่องกาม, พยาบาท ไม่พอใจ, ถีนมิทธะ ความน่าเบื่อ อุทธัจจะกุกกุจจะ ??? วิจิกิจฉา ลังเลใจ เค้าเรียกว่ากิเลสที่เกิดขึ้นรบกวนจิตใจ ประ-ยุ-ถา-นะ มันรบกวนจิตใจทีนี้ ถ้าขจัดมันไม่ได้ ออกมาเป็นการกระทำข้างนอก กระทำผิดข้างนอกทางกาย เช่น ฆ่าเขา ลักของของเขา ล่วงเกินเขา มาจากกิเลส ทั้งสิ้น พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ก็มาจากกิเลสในจิตใจของเรานั่นเอง ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ ไม่ว่าส่วนตัว ก็มาจากกิเลสเหล่านี้ ทีนี้ เมื่อหลายๆ คนมีแต่กิเลส การอยู่ในสังคมก็เกิดปัญหาสังคม เกิดเบียดเบียนกัน รบราฆ่าฟันกัน ปัญหาต่างๆ ที่มันเกิดอยู่แต่ละวัน แต่ละวันนี้ มาจากกิเลส ทั้งหมดทั้งสิ้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ทั้งที่เราต้องการมีความสุข มันจะหาความสุขไม่ได้
เพราะฉะนั้น การที่เรามาอยู่ในสวนโมกข์ ก็ต้องสนใจเรียนรู้ ศึกษาธรรมะให้ถูกวิธี ศึกษาให้เข้าใจเรื่องอริยสัจจ์ รู้แล้วไม่ใช่พอ ต้องมีการปฏิบัติ ต้องใช้เวลา ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ต้องใช้ความเพียร ฉะนั้นเวลาต่อไปนี้ ขอให้พวกเราตั้งใจปฏิบัติธรรม เพื่อจะทำให้ตาทิพย์มันเกิด ก็คือได้สมาธิ จากตาเนื้อเนี่ยทำให้เกิดตาทิพย์ เช่นยกตัวอย่างว่า เรามีการไปพิจารณาซากศพ เช่นโครงกระดูกนี่ เรามีตา ก็ไปเพ่งดูที่โครงกระดูก คุณไปเพ่งดู เพ่งดูโครงกระดูก แล้วก็หลับตา จำไว้ จำโครงกระดูก ต่อไป คุณจะใช้โครงกระดูกนี่เป็นอารมณ์ของสมาธิ สร้างอุคคนิมิต พอคุณเห็นคน เห็นใคร หลับตาก็เห็นแต่โครงกระดูก เห็นโครงกระดูกของตัวเอง และก็อาศัยตาเนื้อทำให้เกิดตาทิพย์ ก็ได้สมาธิ พอได้สมาธิมา ก็อบรมให้เกิดปัญญา ให้มาพิจารณาให้เห็นว่า ทุกอย่างมันเป็นสังขารไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็ได้ดวงตาเห็นธรรม
วันนี้ ก็ได้รับประโยชน์จากการเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า
ฉะนั้นพอเราอยู่กันที่สวนโมกข์ ขอให้ทุกองค์ ทุกรูปได้รับประโยชน์ทำให้เกิดตาธรรมะมากขึ้นๆ ทีนี้จะพบอะไร เห็นอะไร จิตใจก็วางเฉยได้ พระพุทธเจ้าท่านวางเฉย ??? คือวางเฉย ตาเห็นรูปก็เฉยได้ หูฟังเสียงก็เฉยได้ จมูกได้ดมกลิ่นก็เฉยได้ อะไรต่างๆ ก็เฉยได้ ไม่ยินดียินร้าย คือจิตใจของพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่ว่า ไม่ยินดีอย่างคนซื่อบื้อ คนที่ไม่รู้อะไร ไม่รับรู้อะไร ไม่ใช่อย่างนั้น จิตใจของพระอรหันต์ท่านรู้ทุกอย่าง และท่านก็วางเฉย ไม่ไปสนใจกับมัน ไม่เหมือนคนทั่วไปเดี๋ยวเรื่องนั้นเรื่องนี้น่าสนใจ พระอรหันต์ท่านไม่มี ไม่มีอะไรที่น่าสนใจ แผ่นดินจะถล่ม ฟ้าจะทลาย ท่านทั้งหลายก็ไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร เพราะจิตใจของพระอรหันต์ สูงขนาดไหน เราก็เดินตามรอยพระอรหันต์ พระพุทธเจ้าก็ได้ แสดงหนทางไว้แล้ว อบรมสมาธิภาวนา พระพุทธเจ้าตรัสว่าจงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว ก็จะเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ตามที่เป็นจริง เพราะฉะนั้น เราอยู่ที่สวนโมกข์ ก็มีโอกาสได้ฝึกอาณาปานสติ
อาณะ หายใจเข้า อาปาณะ หายใจออก ลมหายใจเข้าออก เป็นอารมณ์ของสมาธิ ฝึกกัน พอจิตมีสมาธิ ก็ได้ตาทิพย์ ตาทิพย์ก็เกิดขึ้น ต่อไปก็จะได้เห็นธรรม เกิดตาปัญญา เกิดตาธรรมะ ลำดับต่อไปก็ปฏิบัติเล็ก ๆ น้อย ๆ