แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะครับ ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ เณรบวชเก่าหรือบวชใหม่รวมทั้งญาติโยมอุบาสกอุบาสิกาที่นั่งอยู่ในบริเวณนี้ จงตั้งใจเตรียมตัวที่จะปฏิบัติธรรม ตอนหัวรุ่งนี่เป็นเวลาที่ดีที่สุด สมัยที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสยังมีชีวิตอยู่ ตอนที่ท่านอายุมากๆบั้นปลายแห่งชีวิต ท่านก็ตื่นขึ้นมาบรรยายธรรมให้คนฟังเวลาหัวรุ่งนี่เอง ท่านบอกว่าเป็นเวลาที่ดีที่สุด ล่วงเวลา 5.00น. เพราะฉะนั้น พวกเราอยู่กันที่สวนโมกข์ก็ควรระลึกนึกถึงพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสอยู่บ่อยๆ สถานที่วัดวาอารามที่พวกเรามาอยู่นี่ ถ้าไม่มีท่านอาจารย์พุทธทาสมันไม่มี แล้วคำตักเตือนคำสอนก็เอามาใคร่ครวญเอามาพิจารณา แล้วก็มุ่งมั่นตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมในสวนโมกข์ที่พระอาจารย์สร้างขึ้นไว้ก็เพื่อให้คนมาปฏิบัติธรรมไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น
การปฏิบัติธรรมนั้นคือทำที่พึ่งให้เกิดขึ้นแก่ตัวเองนั่นเอง และเราเกิดมามันก็มีสองส่วน ส่วนหนึ่งคือร่างกาย อีกส่วนหนึ่งคือจิตใจ ทั้งทางร่างกายและทั้งทางจิตใจต้องมีที่พึ่ง นี่มนุษย์เราเกิดมาอยู่คนเดียวไม่ได้ มันต้องอยู่กับเพื่อนกับฝูง เป็นสังคมเป็นครอบครัว ต้องปฏิบัติถูกต้อง เช่น อยู่กันอย่างไม่มีปัญหา การขัดแย้งกันในสังคมมันทำให้เกิดปัญหามาก พระพุทธเจ้าก็สอนธรรมะทุกเรื่องสำหรับแก้ปัญหาให้แก่มวลมนุษย์ตั้งแต่ระดับต่ำรวมกันไปจนกระทั่งเรื่องทางด้านจิตใจ ผมเคยพิจารณาดูว่าคำสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์สอนไว้มีเรื่องอะไรบ้าง ผมสรุปได้ว่า เรื่องกาย เรื่องจิต เรื่องสิ่งเสพติด เรื่องสังคม เรื่องอารมณ์ เรื่องสิ่งแวดล้อม มีครบหมดเลย เรื่องสิ่งแวดล้อมเรื่องธรรมชาติพระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ เช่นว่า ถ้าต้องการให้ได้บุญทั้งกลางวันและกลางคืนให้ปลูกต้นไม้ ให้รักษาป่า จะเป็นเรื่องสิ่งแวดล้อม วินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ ภิกษุห้ามถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ ลงบนของเขียว ห้ามถ่ายอุจจาระปัสสาวะลงในน้ำ นี่เพื่อรักษาธรรมชาตินั่นเอง ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีครบทุกเรื่อง ถ้าชาวพุทธปฏิบัติปัญหาจะไม่มีเลย และการที่ชาวพุทธมีปัญหาเพราะว่าขาดการปฏิบัติ พวกเราอยู่ที่สวนโมกข์ต้องสนใจทุกเรื่อง ทุกระดับ ปริยัติ ปฏิบัติ ได้ผลคือปฏิเวธ ธรรมะของพระพุทธเจ้าอยู่ในลักษณะที่ต้องสามัคคี ไม่ใช่แยกเป็นส่วนเป็นองค์ ต้องทุกองค์ ทุกส่วน ทุกข้อ ต้องมารวมตัวกัน เป้าหมายคือทำให้ทุกข์มันน้อยลงๆ ก็ทำให้อยู่เหนือความทุกข์ เพราะฉะนั้น บางครั้งพระองค์สรุปว่า พระองค์สอนแต่เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้น ให้เรารู้จักต่อทุกข์ว่ามันคืออะไร ดับทุกข์นี่ทำอย่างไร ผมจึงนำธรรมะของพระพุทธเจ้าเอามาพูดมาพิจารณากัน โดยเฉพาะธรรมหมวดที่ 10 นาถกรณธรรม ธรรมะสำหรับทำที่พึ่ง คนไม่มีที่พึ่งเค้าเรียกคนอนาถา เหมือนเด็กอนาถาเด็กพ่อแม่ตาย ไม่มีคนเลี้ยงดูก็เด็กอนาถา คนบางคนเป็นคนอนาถาเป็นคนไม่มีที่พึ่ง มันก็แปลกว่าทำไมไปพึ่งใครก็ไม่ได้ ไม่มีใครต้องการ เพราะเค้าขาดคุณธรรมนั่นเอง ปกติมนุษย์เราถ้ามีคุณธรรมอยู่บ้างก็ไม่มีใครปฏิเสธ แม้แต่สัตว์เลี้ยง เป็นสุนัข เป็นแมว เป็นเป็ด เป็นไก่ เป็นนก เป็นวัวเป็นควาย ยังมีคนสนใจมาเลี้ยงดู อย่างสุนัขนี่มันเป็นสัตว์กตัญญู บรรดาสัตว์ทั้งหลายไม่มีสัตว์ใดที่รักเจ้าของเหมือนกับสุนัข เป็นสัตว์กตัญญู ที่วัดเวียงเมื่อก่อน อดีตท่านเจ้าคณะอำเภอท่านอยู่ที่วัดเวียง ผมไปประชุมทุกปีไปประชุมที่วัดเวียง ไปอ่านข้อความที่เค้าเขียนไว้ เค้าเตือนใจว่า “สุนัขขาอาศัยในคูหายังรู้ค่าคุณเขาที่เขาขุน เกิดเป็นคนไม่รู้ค่าราคาคุณ จะเสียคนเสียทีที่เกิดมา” เขียนไว้ที่กุฏิของท่านเจ้าคณะอำเภอ สุนัขขาอาศัยในคูหา ในเคหา สุนัขขาอาศัยในเคหา ยังรู้ค่าคุณเขาที่เขาขุน เขาเลี้ยงเขาดู รู้จักกตัญญู เกิดเป็นคนไม่รู้ค่าราคาคุณ จะเสียทุนเสียทีที่เกิดมา งั้นแม้แต่สุนัขคนยังเลี้ยงดูเพราะมันมีความกตัญญู คนบางคนไปอยู่ที่ไหนไม่มีใครต้องการ เค้าปฏิเสธก็เพราะว่าการประพฤติกระทำคำพูดมันไม่มีคุณธรรม เห็นแก่ตัว ความเห็นแก่ตัวน่ะตัวร้ายที่สุด คนเห็นแก่ตัวจะหาที่พึ่งไม่ได้เลย
ธรรมะในพุทธศาสนานี่ตั้งต้นจากการไม่เห็นแก่ตัว นี่ปฏิบัติสูงสุดจนกระทั่งไม่มีตัวตน อนัตตา การให้ทานก็คือการไม่เห็นแก่ตัว เสียสละวัตถุสิ่งของ ช่วยเหลือผู้อื่น วัตถุทาน อภัยทาน ธรรมทาน เรื่องไม่เห็นแก่ตัวทั้งนั้น เป็นคนเห็นแก่ตัวอยู่ที่ไหนมันไม่มีใครให้เขาพึ่งหา เป็นคนที่น่าสงสารเพราะเขาไม่ช่วยตัวเอง พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า อัตตาหิอัตโนนาโถ ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งของตน ถ้าเราไม่ทำตนให้ดี จะไม่มีใครให้เราพึ่ง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเพราะคนจำนวนหนึ่งเป็นคนอนาถา ไม่มีที่พึ่ง เข้าไปอยู่ในวัดในวาก็ขี้เกียจ ไม่ทำอะไร พอถึงเวลา พอตีกลองฉันก็ไปแล้ว ไปก่อนเพื่อนเค้าด้วย มันมีอยู่คนประเภทนี้ กินเสร็จแล้วล้างถ้วยล้างจานก็ไม่มีไม่ช่วยทำความสะอาดโรงฉัน บริเวณต่างๆไม่ใส่ใจ เค้าก็ไม่มีที่พึ่งทั้งทางร่างกายทั้งทางจิตใจ คนต้องการมีความสุขเนี่ยพยายามทำประโยชน์ให้เกิดขึ้น ความสุขเป็นสิ่งที่หาไม่ยากเลย ความสุขเกิดจากความพอใจ เราพอใจที่จะทำงาน ความสุขก็เกิด แต่ว่าทำงานเข้าไปจริงๆ ทำโน้น ทำนี้ อย่างปู่ย่าตายายของเราก็สอนไว้ อยู่บ้านท่านอย่าดูดาย ปั้นวัวปั้นควาย ให้ลูกท่านเล่น คนก็มีที่พึ่ง ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นข้อเป็นข้อ ลองพิจารณาดูที่ผมนำมาพูด ศีลและคนมีศีลอยู่ที่ไหนก็มีคนต้องการ ถ้าไม่มีศีลก็ไม่มีคนคบ สตรีไม่มีศีลก็สิ้นสวย บุรุษด้วยไม่มีศีลก็สิ้นศรี พระหรือเณรไม่มีศีลก็สิ้นดี ข้าราชการศีลไม่มีก็เลวทราม คอรัปชั่น ศีลนี่เป็นเรื่องสำคัญ ศีลนี้เป็นอาภรณ์ เป็นเครื่องประดับ กลิ่นใดๆที่จะหอมเท่ากลิ่นศีลไม่มี
ในเรื่องราวในชาดก พระอินทร์ลงมาหาดาบส ดาบสนี่เป็นผู้มีศีล พระอินทร์มาหาดาบสเพื่อฟังโอวาท ฟังคำสอน ดาบสบอกว่า ท่านอย่ามานั่งใต้ลมอาตมานี่ กลิ่นมันไม่ดีไม่ได้อาบน้ำ อยู่ในป่า พระอินทร์บอกว่า ท่านเป็นผู้มีกลิ่นดี มานั่งใต้ลม เคารพดาบสเพราะท่านมีศีล พวกเราสังเกตพระแก่ๆ น้ำก็ไม่ได้อาบ มีกลิ่นเหม็นสาบ แต่ว่าพอถึงคราวเค้ารดน้ำพระแก่ๆ เอาขันมารองน้ำ เอามาลูบหน้า เอามาดื่มมากินได้ เค้าไม่รังเกียจ เรื่องไม่ได้อาบน้ำ เนื้อตัวไม่สะอาด แต่ว่าเพราะศีลท่านดี พระรูปนี้ท่านมีคุณธรรม มีเมตตา บางคนเค้าก็ไม่รังเกียจ ศีลนี่มันเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างพวกเราเป็นพระนี่ต้องรักษาศีลให้ดี อย่าประมาท เรื่องศีลไม่ได้เป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ อย่าไปทำให้เขาดูถูก เหมือนเรื่องราวในพระคัมภีร์ มีพระรูปหนึ่งไปเอาน้ำที่สระบัว เห็นดอกบัวสวยๆ ก็ไปดมกลิ่นดอกบัว ทีนี้มีเทวดาที่เป็นเพื่อนกับพระรูปนี้มาเตือน เอ๊ะ ทำไมท่านจึงเป็นคนขโมย ตรงนี้ถามว่าขโมยอะไร ก็ขโมยไปดมกลิ่นดอกบัว เขาไม่อนุญาต ไปหักดอกบัวมาดม เป็นคนขโมย เทวดาที่เป็นเพื่อนของพระรูปนี้ต้องการจะให้ท่านมีสติ ท่านบอกว่าคนทั่วไปมาหักมาถอนดอกบัวทำไมท่านไม่เกี่ยง ก็บอกว่า มันคนละสถานะ ท่านมาอยู่ในฐานะเป็นนักบวช มันเหมือนดั่งก้อนเมฆลอยอยู่ในอากาศ คนก็มองเห็น ดังนั้นพระสงฆ์เรานี่ ไม่ว่าที่ลับไม่ว่าที่แจ้งอย่าไปทำให้มันผิดศีล ต้องมีหิริโอตัปปะ คอยคุ้มครองป้องกันใจอยู่เสมอ ไม่ว่าอยู่ที่แจ้งทำอย่างหนึ่ง อยู่ที่ลับทำอย่างหนึ่ง ก็สอนให้พิจารณาว่าไม่มีที่ลับ ไม่มีที่แจ้ง คนที่มีหูทิพย์ตาทิพย์สามารถรู้ได้ว่าเราทำอย่างใด พูดอย่างใด คิดอย่างใด ดังนั้นการรักษาศีลได้ก็ต้องมีหิริละอายบาป โอตัปปะกลัวบาป ต้องทำให้ผิดศีลดูความเสื่อมจะมีทันทีเลย ไม่ว่าพระจะเป็นระดับไหน จะเป็นเจ้าคุณ จะมีความรู้ระดับไหนก็ตาม เมื่อไม่มีศีลก็เสื่อมทันทีเลย
ดังนั้นศีลน่ะมันเป็นที่พึ่ง พาหุสัจจะ การได้ยินได้ฟังธรรมะมากๆ มีความรู้มากๆ นี่ก็เป็นอาภรณ์เหมือนกัน ไปที่ไหนมีความกล้าหาญ มีความรู้ เรียกว่ามีความรู้ทางธรรมะ ไปที่ไหนมีความกล้าหาญ ถ้าไม่มีความรู้ก็ขี้ขลาด สังเกตบางทีข้าราชการมากันมากๆในวัด ก็ทำพิธี ศาสนพิธี ทำไม่ได้ พยายามที่อยู่ห่างๆ กลัวเขาเรียกมาอาราธนาศีล มากล่าวคำถวายทาน ว่าไม่ได้ ก็ขี้ขลาดไม่อาจหาญ พอคนขึ้นมาบวชในสวนโมกข์ คนที่ลาสิกขา คนจะเยอะ คำอาราธนาศีล อาราธนาธรรม อาราธนาพระปริตร ทำเรื่องเหล่านี้ได้จะเป็นคนกล้าหาญ ไปที่ไหนมีศักดิ์ศรี คนอื่นเค้าทำไม่ได้เราทำได้ เป็นคนเด่นคนดังเพราะมีความรู้ทางธรรมะ ถ้าเค้าเชิญให้พูดก็พูดธรรมะเป็น นี่มันทำให้มีที่พึ่ง ว่ามีสัจจะ คบแต่คนดีมีกัลยาณมิตตตา คนชั่วอย่าไปคบ เราคบนักเลงก็เป็นนักเลง บางทีถึงเราไม่ทำอย่างเขาแต่ไปเกี่ยวข้องกับเขามันก็ติดร่างแห ต้องเป็นคนชนิดเดียวกันจึงไปคบกับเขา เราเลือกคบคน คบคนให้ดูหน้าซื้อผ้าให้ดูเนื้อ...เค้าเตือนไว้ ให้คบคนง่ายๆ กัลยาณมิตตตา โสวจัสสตาเป็นคนว่าง่ายสอนง่าย ก็ก้าวหน้า กิงกรณีเยสุ ทักขตา ขยันไม่คิดการน้อยใหญ่ของส่วนรวม ก็ได้แก่พวกจิตอาสานั่นเอง คนที่มีจิตอาสารู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวมให้มีที่พึ่ง เมื่อวานผมยังพูดกับนายพัน ก็นั่งรถไปสวนโมกข์นานาชาติ หน้าวัดนี่สกปรก ขายหน้า ไม่มีคนเอาใจใส่ ไม่กวาดไม่ช่วยเหลือกัน มาขายของกันเยอะทางหน้าวัด แทนที่ช่วยกันกวาดให้หน้าวัดมันเปลี่ยน มันรก เมื่อก่อนมีคนมากวาดตรงหญ้า ทางวัดเคยช่วยเหลือเพราะเป็นหน้าเป็นตาของวัดสวนโมกข์ด้วย เดี๋ยวนี้ไม่มี รก สกปรก ก็พูดบอกว่าทำไมหมู่บ้านนี้จึงไม่มีจิตอาสา ทำไมมิตรผู้ใหญ่บ้านไม่ชักชวนลูกบ้านมาทำความสะอาดบ้าง เปรียบเทียบกับในวัด พอพ้นประตูเข้ามาในวัดก็สะอาดเพราะเราเสียสละ แต่ข้างนอกมันสกปรก ไม่ช่วยกันกวาด เนี่ยไม่มีจิตอาสา ก็ไม่มีผู้นำนั่นเอง ดังนั้น อยู่ที่ไหนถ้าขาดผู้นำที่มีวิสัยทัศน์มันก็ไม่ค่อยสะอาด ไม่ค่อยเรียบร้อย นี่ก็น่าเสียดายเหมือนกัน มาอยู่ใกล้ๆวัดแต่ว่าไม่ค่อยสนใจเรื่องพัฒนาหมู่บ้านของตัวเอง ดังนั้น การที่มีจิตอาสาเสียสละส่วนรวมนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญ
วันนี้ก็มาถึงธรรมะข้อนึง ธัมมกามตา...พอใจที่ได้ยินได้ฟังธรรมะ พอใจที่จะปฏิบัติธรรม ธรรมะมันมีหลายอย่าง ที่เราเคยได้ยินกันบ่อย ธรรมะคือธรรมชาติ ธรรมะคือกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือหน้าที่ มันถูกต้องตามกฎของธรรมชาติ ธรรมะคือผลของการปฏิบัติธรรม คำว่าพอใจในธรรม พอใจทุกระดับ พอใจที่จะศึกษาเรียนรู้พระธรรมเพิ่มเติมความรู้ พอใจที่จะปฏิบัตินี่สำคัญมาก พอใจในการทำหน้าที่ สิ่งมีชีวิตทั้งหลายถ้าไม่ทำหน้าที่อยู่ไม่ได้ ตาย มันต้องทำหน้าที่ทั้งนั้น พระสงฆ์เราก็ต้องทำหน้าที่ ฆราวาสก็ต้องทำหน้าที่ถึงจะอยู่รอด ถึงจะมีที่พึ่งไม่ว่าทางร่างกายหรือทางจิตใจ ทางจิตใจน่ะพระพุทธเจ้าบอกว่า ให้เจริญสติปัฎฐาน 4 ทำที่พึ่ง ว่าถ้าจิตไม่อยู่กับสติปัฎฐาน 4 กิเลสก็เข้ามาได้ เข้ามาควบคุมจิตใจแล้วก็เกิดปัญหา จิตใจเร่าร้อนเป็นทุกข์ ก่อให้เกิดปัญหามากมายเพราะจิตขาดที่พึ่ง
เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติทำที่พึ่งให้เข้มแข็ง คือให้จิตอยู่กับสติปัฎฐาน 4 ตามเห็นกายในกายบ้าง ตามเห็นเวทนาในเวทนาบ้าง ตามเห็นจิตในจิตบ้าง ตามเห็นธรรมในธรรมบ้าง สูงขึ้นไปสูงขึ้นไป โดยเฉพาะเห็นธรรม เห็นว่าสังขารทั้งหลายมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวตนความทุกข์มันก็ไม่มีแล้วก็จะได้มีที่พึ่ง การเสียสละช่วยเหลือส่วนรวมคือละตัวตน ไปที่ไหนก็มีคนต้อนรับ แต่ว่าถ้าเห็นแก่ตัวล่ะก็ที่พึ่งไม่มี เป็นคนอนาถา ในการทำมาหากินก็ก้าวหน้าไม่ได้ ก็ขี้เกียจ เห็นแก่ตัว ไม่ขยัน ไปไม่รอด ความรู้มันก็ไม่มี คนเกิดมาไม่ได้มีความรู้ติดตัวมา ต้องมาศึกษาเรียนรู้กันทั้งนั้น การศึกษามีหลายอย่าง เรียนในระบบ นอกระบบ เรียนตามอัธยาศัย สนใจเรียนๆได้ทุกวัน มีคนกล่าวว่า ความรู้เรียนทันกันหมดถ้าเราสนใจเรียน ช้าหรือเร็วมันไม่แน่ มีความรู้ต้องเพิ่มเติมทุกวัน ให้เป็นผู้ที่มีความรู้พาหุสัจจะ โดยเฉพาะธรรมะนี่เพิ่มเติมความรู้ไปเรื่อยๆ รู้อย่างเดียวไม่พอต้องมีการปฏิบัติให้ได้ผลด้วย ลำดับต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันเล็กๆ น้อยๆ