แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันนี้พระใหม่ พระนวกะ ต้องไปประชุม ฉะนั้น ก็ต้องเตรียมตัวในการเข้าประชุม อยากจะเตือนว่า ไปที่ไหน ให้พาสวนโมกข์ติดตัวไปด้วย อย่าลืมสวนโมกข์ สวนโมกข์เกิดขึ้นได้ก็เพราะมีท่านอาจารย์พุทธทาส ถ้าไม่มีท่านอาจารย์พุทธทาส สวนโมกข์ก็มีไม่ได้ ท่านอาจารย์ได้ทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติ ต่อพระศาสนาตลอดชีวิตของท่าน ทำให้คนศรัทธาเลื่อมใสติ่ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านอาจารย์มาสร้างวัดธารน้ำไหลสวนโมกข์เอาไว้ ให้คนได้มาอยู่อาศัยได้มาประพฤติปฏิบัติเหมือนอย่างมาสร้างโรงพยาบาลสำหรับรักษาโรคทางด้านจิตใจทางด้านวิญญาณของประชาชน พวกเราได้มาอยู่ที่นี่แม้เป็นพระนวกะมาอยู่ชั่วคราว ไปที่ไหนก็ต้องพาชื่อเสียงของสวนโมกข์ไปด้วย ชื่อเสียงกับชื่อเสีย มันอยู่ใกล้กัน ชื่อเสียงเนี่ยสร้างขึ้นได้ยากมาก ชื่อเสียงคือคนต้องศรัทธาเลื่อมใส ชื่อเสียมันง่าย ทำให้คนไม่ศรัทธามันง่ายมาก ฉะนั้นไปที่ไหนก็ให้พาสวนโมกข์ไปด้วยก็จะมีประโยชน์ แม้ออกพรรษาแล้วถ้าจะลาสิกขาออกไปเป็นฆราวาสก็ให้พาสวนโมกข์ไปด้วย เพราะว่าโมกขธรรมคำพิชิตใจของเรานี่คือจิตใจที่อิสระเสรี สงบเย็น นั่นน่ะคือคำว่าโมกข์ โมกข์ก็คือเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาก็คือนิพพานนั่นเอง นิพพานคือดับกิเลส หมดความทุกข์ เรียกว่านิพพาน มีคำแทนเช่น คำว่าวิโมกข์ วิมุตติ โมกขะ ก็ความหมายอย่างเดียวกัน ที่เป็นเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
นี่สำหรับคณะญาติโยมที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ ขอให้ได้รับประโยชน์ โยมจะได้รับประโยชน์โยมต้องทำความรู้สึกในใจของญาติโยมว่า ญาติโยมนี้ยังเป็นผู้ป่วยอยู่ ป่วยทางด้านจิตใจ ป่วยทางด้านความทุกข์ ทำไมเราถึงไปโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลนี่เป็นที่รักษาโรค มีหมอ มีพยาบาล มียา มีเจ้าหน้าที่ดูแลโรงพยาบาล คนป่วยก็เข้าไปรักษา ถ้าคนป่วยไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ป่วย ก็คงไม่ไปหาหมอไปโรงพยาบาล การป่วยทางด้านจิตใจนั้นมันมีกันทุกคน ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้นผู้ที่ไม่มีโรคของกิเลส
โรคมันมีหลายโรค โรคทางร่างกายเจ็บไข้ได้ป่วย เขาก็รักษา กินยาหาหมอกันทุกวันโรคทางร่างกาย โรคจิต มีคนต่างคนเป็นโรคจิต ป่วยทางโรคจิต เป็นโรคจิตประสาท นอนไม่หลับ จิตใจผิดปกติ ก็ต้องไปรักษาในโรงพยาบาล โรคจิตต้องอาศัยจิตแพทย์ ต้องรักษา ให้ยา จ่ายยา นี่คนก็เป็นกันมากขึ้นๆ เป็นโรคจิต แต่ว่าโรคอีกชนิดหนึ่งที่คนไม่ค่อยรู้จัก ท่านอาจารย์พุทธทาสเอามาพูดคือโรคกิเลส พระอรหันต์เท่านั้นที่ไม่มีโรคกิเลส
เรามาสังเกตดูว่า เราหายจากโรคกิเลสเหล่านี้สิ้นเชิงแล้วหรือยัง ดูที่ไหนล่ะ โรคกิเลสมันเกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ได้เกิดขึ้นที่ร่างกาย ก็สังเกตเมื่อกระทบกับอารมณ์ เพราะอารมณ์เนี่ยมันเกี่ยวข้องกับชีวิตจิตใจของเราตลอดเวลา ก็คือรูป คือเสียง คือกลิ่น คือรสโผฏฐัพพะที่มากระทบผิวหนัง ก็อารมณ์ที่เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่ใช่ใจได้รู้ได้สัมผัสต่ออารมณ์นี้ จิตใจเป็นอย่างไร ยังดีอยู่หรือเปล่า กำหนัดรักอยู่หรือเปล่า ไม่พอใจรึเปล่า อภิชชาโทมนัส พอใจไม่พอใจ ยังมีอยู่หรือเปล่า ถ้ายังมีหมายความว่าโรคชนิดนี้มันยังมีอยู่ มันยังไม่หาย เพราะฉะนั้นแม้มาอยู่สวนโมกข์กี่ปีกี่เดือน ถ้าไม่สนใจที่จะรักษาโรคกิเลสมันก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้นญาติโยมที่เข้ามาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์ก็ต้องสนใจว่าเรามีโรคชนิดนี้อยู่ คำว่าโรคคือสิ่งเสียดแทง ทิ่มแทงที่ทำให้จิตใจมันไม่สบาย มันคือโรค โรคกิเลส โรคทางร่างกาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า บางคนยืนยันว่าไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรเลย อายุ 70 ปี 80 ปีก็ไม่เคยเจ็บเคยป่วยอะไรเลย พอมีอยู่ ส่วนโรคกิเลสเนี่ย ยกเว้นพระอรหันต์ ไม่มีใครเลยที่จะไม่มีโรคชนิดนี้ ส่วนโรคจิตประสาท บางคนก็เป็น ก็ไปหาหมอกัน กินยาระงับประสาท ในบางคนไปหาหมอ ก็ไม่เชื่อหมอ ก็ไม่กินยา ก็ไม่หาย ก็ต้องตรวจดูตัวเอง โรคกิเลสเนี่ยคนอื่นรู้จักจิตใจของเราไม่ได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้จักจิตใจของคนอื่น คนทั่วไปรู้จักจิตใจคนอื่นไม่ได้ พระพุทธเจ้าท่านได้ทรงสั่งสอนไว้อย่าไปสนใจเรื่องคนอื่นจิตใจคนอื่น ให้ดูจิตใจของตัวเองว่ามันเป็นอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะวิธีสังเกตกระทบกับอารมณ์ พอตาเห็นรูป หูฟังเสียงเป็นต้น จิตมันเปลี่ยนแปลงหรือเปล่า โดยเฉพาะที่สังเกตได้ง่าย คือระหว่างเพศ ธรรมชาตินั้นสร้างมนุษย์เราให้มี 2 เพศ เพศผู้หญิง เพศผู้ชาย จะสังเกตกันได้ง่าย พอตาของผู้ชายเห็นรูปของผู้หญิง ตาของผู้หญิงเห็นรูปของผู้ชาย จิตใจเป็นอย่างไร จิตใจมีความกำหนัดรัก แปลว่าโรคราคะมันยังมีอยู่ โรคกิเลสนี่มันมีมาก ถ้ารวมกันแล้ว คือ ราคะ ความกำหนัดรัก เรื่องเพศ เรื่องกามารมณ์ สองโทสะ ความโกรธ ความไม่พอใจ สามโมหะ ความหลง ความไม่รู้ ไอ้หลงนี่มันอยู่ลึก โมหะคือ ความเข้าใจผิด ความสำคัญผิด
อาตมาก็ได้พูดบ่อยๆว่า มันเอาเรื่องจริงมาพูดว่า สิ่งที่ไม่เที่ยงเราคิดว่ามันเที่ยง สิ่งที่ไม่งามก็คิดว่ามันงาม งั้นคนทั่วไปก็แต่งเนื้อแต่งตัวให้รูปร่างสวยงาม แต่งเฉพาะข้างนอกแต่ข้างในเรามองไม่เห็น ในร่างกายของเรามันมีอะไร มันสวยงามหรือไม่สวยงาม ในร่างกายของคนก็มีโครงกระดูกเป็นแกนกลาง มีเส้นเอ็นรึงรัด มีเนื้อหุ้ม มีหนังหุ้ม ของที่อยู่ข้างในที่ไหลออกมาล้วนแต่ปฏิกูล ล้วนแต่น่าเกลียด เป็นอุจจาระปัสสาวะ น้ำมูก น้ำลาย มันเต็มไปด้วยของไม่สะอาด ถ้ามองให้ดีก็เหมือนอย่างหีบศพ ศพมันนอนอยู่ข้างใน ข้างนอกก็ประดับประดาหีบศพให้สวยงาม ข้างในก็คือซากศพ แต่ว่าคนทั่วไปไม่ได้คิดอย่างนี้ คนทั่วไป ปุถุชนทั่วไปคิดว่าร่างกายนี้มันสวยมันงาม มันน่ารักน่าพอใจ เรียกว่าวัยรุ่น วัยหนุ่ม วัยสาว มันจะเป็นอย่างนี้ บางคนก็อกหัก ผูกคอตาย ฆ่าตัวตายเพราะว่าผิดหวัง เช่น ไปรักผู้ชาย ผู้ชายรักผู้หญิง พ่อแม่ขัดขวางไม่ให้เกี่ยวข้องกัน ก็เสียใจฆ่าตัวตาย ชวนกันฆ่าตัวตายก็มี แต่มันไม่ใช่เล่นไอ้โรคกิเลสนี่ โรคราคะ มันมีในจิตใจของปุถุชน มันอยู่ลึกมาก ไม่ใช่ธรรมดา สิ่งที่ไม่งามก็เห็นว่างาม สิ่งที่เป็นทุกข์ก็เห็นว่าเป็นสุข ความทุกข์ทางด้านจิตใจที่จะยึดถือ ยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา ความหนักอกหนักใจก็จะเกิดขึ้นทันทีเลย แต่คนทั่วไปชอบยึดถือ นี่เป็นที่ดินของเรา เป็นบ้านเป็นเรือนของเรา ทรัพย์สินของเรา อะไรๆก็ของเรา ชอบทิฏฐิ ก็คิดว่าเป็นสุข การมีทรัพย์สมบัติมากๆ ถือว่าเป็นความสุข ที่ดินน่ะมันเป็นของธรรมชาติ ที่ดินที่คนยึดถือว่าเป็นของเราๆเคยมีคนยึดถือกันมาก่อนแล้ว เจ้าของนั่นก็ตายกันไปแล้วไม่รู้กี่ชั่วคนที่มนุษย์เกิดตายเกิดตาย ความมีในที่ดินที่คิดว่าเป็นของเราๆ มีกระดูกในที่ดินแปลงนั้นก็ได้เพราะมีคนเคยยึดถือเป็นเจ้าของแล้วก็ตายกันไป จริงๆไม่ใช่ของเราแต่เป็นของธรรมชาติ แต่เขาไม่มองเห็น ยึดเอาสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนก็คิดว่าเป็นตัวตน นี่คือโรค โรคกิเลส ไม่ได้รักษาหายง่ายๆ แม้ว่าพวกเรามาอยู่ที่สวนโมกข์ ถ้าไม่สนใจที่จะรักษา มันก็ไม่หาย โรคนี้มันหายไม่ได้ ทำหน้าที่ของพวกเราที่อยู่ที่สวนโมกข์ก็ต้องสนใจรักษาโรค สวนโมกข์เหมือนอย่างโรงพยาบาล ท่านอาจารย์พุทธทาสสร้างเอาไว้ มีหยูกมียา มีโรงพยาบาลพร้อมคือคำสอน แต่ว่าเราเอาคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสมาปฏิบัติได้มากน้อยเท่าไร แต่มันขึ้นอยู่แต่ละบุคคลและกับเวลาแต่ละวันๆ ก็ตรวจดูว่าเรานั้นเป็นอย่างไร จิตใจยังสงบดีอยู่หรือเปล่า หรือมีโรคภัยไข้เจ็บมันเข้ามาอยู่มาอาศัย แล้วก็หน้าที่คือการปฏิบัติธรรม เป้าหมายของปฏิบัติธรรมคือ ตัวเองได้รับประโยชน์ผู้อื่นก็ได้รับประโยชน์ งั้นผมจึงเตือนพวกคุณว่า ไปที่ไหนพาสวนโมกข์ไปด้วย และจิตใจอย่าถูกกิเลสเข้ามาห่อหุ้ม ก็ต้องระวังสังวรณ์ ถ้ากิเลสเข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ว่าที่ไหนล่ะจะเข้ามาทางนี้ ก็ต้องสำรวมอินทรีย์ไปกันเป็นหมู่เป็นคณะก็อยู่ไป ให้ท่านนุ้ยรองเจ้าอาวาสนำไป ผมเองผมไม่ได้ไปเข้าประชุม เดี๋ยวนี้การประชุมแต่ละที่ก็นิมนต์ท่านนุ้ยรองเจ้าอาวาสให้ไป ไปประชุม เพราะผมอายุก็มากขึ้นๆ เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยมี ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุตามปัจจัย ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติเหมือนกับการรักษาโรค อบรมจิตให้ได้สมาธิ พอได้สมาธิมากพอมาพิจารณาดูว่าชีวิตที่เราคิดว่าเป็นของเรา ที่คิดว่ามันสวยว่างาม จริงๆมันเป็นอะไร นี่ก็สักว่าธาตุตามธรรมชาติ คือสักว่า สังขารธรรม สังขารธาตุ ถ้าเป็นสังขาร มันก็ต้องไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันไม่มีตัวตน ตัวตนจริงๆมันไม่มี ถ้าใครถอนความเป็นตัวตนเสียได้ความทุกข์มันก็จะน้อยลงๆ ถ้าใครไม่มีความรู้ตัวตนเลยผู้นั้นแหละคือผู้ไม่มีโรค พอได้รับประโยชน์จากการเกิดมาเป็นมนุษย์และพบพระพุทธศาสนาและก็ปฏิบัติกันตามเวลาที่มี
ญาติโยมก็เช่นเดียวกัน ลมหายใจเข้าออกญาติโยมก็มีกันทุกคน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใช้ลมหายใจเข้าของพระองค์เป็นเครื่องมือฝึกให้ได้สมาธิ อานะหายใจเข้า อาปานะหายใจออก แล้วก็ซักซ้อมลมหายใจเข้า เข้าใจว่าคงได้ยิน วิธีปฏิบัติท่านทวีคงเปิดเทปให้ฟังแล้ว หายใจเข้าจิตกำหนดก็ตามลมไปข้างใน จากปลายจมูกมาอยู่ที่ท้อง ที่สะดือ หายใจออกจากสะดือตามที่ปลายจมูก จิตจะตามลมตลอดเวลา ถ้าตามลมได้จับลมได้ก็ต้องมีสติระลึกอยู่กับธรรมะตลอดเวลา ลมหายใจเข้านั้นเป็นธรรมะอย่างหนึ่ง สัมมาสติระลึกอยู่กับธรรมะกุศลธรรมอยู่ตลอดเวลา สัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อมตลอดเวลา สติสัมปชัญญะเป็นยาวิเศษ รักษาจิต ป้องกันจิตเหมือนอย่างฉีดวัคซีนอาไว้ สร้างภูมิคุ้มกัน โรคก็เข้ามาเบียดเบียนไม่ได้เพราะมีภูมิคุ้มกัน คือ มีสติสัมปชัญญะ ฝึกไปๆก็ได้สมาธิ มีเครื่องมือที่จะมองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง ก็มองเข้ามาในชีวิตที่เรามีลมหายใจเข้า มันก็เป็นสังขาร มันเกิดมันดับ หายใจเข้าหายใจออก ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เวทนาคือความรู้สึกต่างๆ เป็นสุข เป็นทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์ มันคอยเกิดคอยดับ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นำมาที่สุดจิตใจที่คิดนึกเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะว่าจิตเนี่ยก็เป็นธรรมชาติ เป็นสังขาร มีเหตุมีปัจจัย เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าจิตมันว่างจากความรู้สึกตัวเราของเราอย่างน้อยโรคมันจะระงับไปชั่วคราว ถ้าใครทำให้ตัวตนมันไม่เกิด ความทุกข์มันก็ไม่มี เพราะฉะนั้น นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าที่สำคัญที่สุดที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสนำมาสอนที่สวนโมกข์ ได้ยินได้ฟังอยู่บ่อยๆ แต่ว่าการได้ยินได้ฟังเป็นแต่เพียงปริยัติ ถ้าไม่มีการปฏิบัติมันก็ยังไม่ได้ผล พวกเราอยู่ที่สวนโมกข์ต้องระวัง ได้ยินได้ฟังมากเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องธรรมะลึกๆ แต่ถ้าไม่มีการปฏิบัติมันก็เป็นแต่ความรู้ เป็นปรัชญาไป ไม่ใช่ปัญญา ปรัชญา มันเป็นทฤษฎี อยากรู้อยากเรียน แต่มันไม่เป็นปัญญา ไม่เป็นวิปัสสนาปัญญา เพราะฉะนั้น อย่าประมาท ว่าพูดได้บรรยายได้ จะเข้าใจธรรมะ มันยังไม่ใช่ ก็ต้องดูจิตใจของตัวเองว่าจิตใจมันเป็นยังไง ตัวตนมันยังมีมากน้อยแค่ไหน ตัวตนจริงๆมันไม่มี มีตัวตนเมื่อไร ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อนั้น เพราะฉะนั้น ความทุกข์มันมาจากอันนี้ ทำให้ ความทุกข์ คือ ตัวตนเบาบาง ความทุกข์ก็จะเบาบาง เนี่ยหัวใจของการปฏิบัติธรรมก็มีอยู่เพียงแค่นี้ ให้รู้จักความทุกข์ ทำให้ความทุกข์ลดลงๆ เพราะโรคกิเลสเหล่านี้มันยังมีกันทุกคน ตามมากตามน้อย และก็ปฏิบัติกันต่อไปนี้