แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะครับ ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ ไม่ว่าบวชเก่า บวชใหม่ รวมทั้งแม่ชี อุบาสก อุบาสิกาให้นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ จงเตรียมตัวตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุด เพื่อเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้สูงสุดคือพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานเป็นสิ่งสูงสุดที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ความหมายของนิพพานคือดับกิเลสหมดความทุกข์นั่นเอง การบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาแบบมหานิกายโบราณใช้คำว่า นิพพานะสัจฉิกิริยายะ บอกเข้ามานี่ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง การบวชในครั้งพระพุทธกาล กุลบุตรเมื่อได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้า เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้วก็ขอบวช พระพุทธเจ้าบวชแบบเอหิภิกขุอุปสัมปทา โดยตรัสคำสั้นๆ ว่า มา มา มาเป็นภิกษุเพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ ..อันโตทุกขัสสะ
ท่านเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ถ้าต้องการจะก้าวหน้าก็มีเป้าหมายสองอย่างนี้ คือ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง เพื่อทำให้ทุกข์มันเบาบางลงไปเรื่อยๆ สวนโมกข์ พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสสร้างขึ้นมาให้พวกเราได้มาปฏิบัติธรรมและสำหรับพระใหม่ เวลาก็ผ่านไปๆ ตอนนี้ก็คิดว่าจะถึงหนึ่งเดือนแล้ว สามเดือนเป็นเวลาที่ไม่นาน เวลามีแต่น้อยลงๆ ถ้าพวกคุณต้องการก้าวหน้า ก็ต้องสร้างความรู้สึกให้เกิดขึ้นในจิตใจว่ามาอยู่สวนโมกข์เหมือนอย่างมาเข้ามหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยในโลกน่ะมันเยอะมาก นักศึกษาเข้าไปเรียนวิชาต่างๆ มากมาย ความรู้แขนงนั้นแขนงนี้ใดก็ดี ถ้าไม่เรียนรู้พุทธศาสนา ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้ ศาสตร์ต่างๆ นี้มันมีเยอะมาก ถ้าเราไม่เรียนพุทธศาสตร์ดับทุกข์ไม่ได้ อย่างวิทยาศาสตร์เรียกว่าก้าวหน้ามาก มาจากวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์อย่างที่รู้กันอยู่ว่าต้องเข้าห้องทดลอง เข้าห้องแลป ต้องพิสูจน์กันให้เห็นจริงจึงมีความเชื่อ พุทธศาสตร์ก็ทำนองเดียวกัน ลักษณะเหมือนวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ใช่เป็นวิทยาศาสตร์ทางวัตถุ เป็นวิทยาศาสตร์ทางด้านจิตใจ ผู้ปฏิบัติธรรมรู้ได้เอง เห็นได้เอง ไม่ต้องเชื่อคนอื่น ฉะนั้นเราก็ต้องสังเกตว่าในชีวิตประจำวันของเราเนี่ย ความทุกข์มันมีมากน้อยแค่ไหน ความทุกข์มันมาจากกิเลส ถ้าไม่มีกิเลสความทุกข์ในจิตใจมันไม่มี ดังนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้โดยสมบูรณ์จริงๆ คือเรื่องอริยสัจ ผมจึงพูดกับพวกเราว่าถ้าผมมีโอกาสจะเอาเรื่องราวต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เอามาพูด
พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พระพุทธทาสท่านพูดถึงเรื่องการศึกษาธรรมะถูกวิธี การศึกษาธรรมะให้ถูกวิธีต้องศึกษาแนวอริยสัจ ท่านตั้งเป็นหัวข้อว่าคืออะไร จากอะไร เพื่ออะไร โดยวิธีใด สอนให้รู้ว่าทุกข์มันคืออะไร ทุกข์นี่มันมาจากอะไร การที่เราปฏิบัติธรรมมันเพื่ออะไร และโดยวิธีไหน เพราะฉะนั้นต้องรู้จักตัวทุกข์ ความหมายของทุกข์มันมีหลายอย่าง ทุกข์แปลว่าทนได้ยาก ที่ๆมันเป็นทุกข์มันทนได้ยาก มันเจ็บปวด มันทรมาน ทุกข์แปลว่าดูแล้วมันน่าเอือมระอา ก็หมายถึงสังขารทั้งหลายทั้งปวง ถ้าเป็นสังขารก็ต้องเป็นทุกข์ สงฺขาราปรมาทุกฺขา สังขารเนี่ยมันเป็นทุกข์อย่างยิ่ง นิพพานไม่มีทุกข์ นิพพานไม่ใช่สังขาร นิพพานไม่มีทุกข์ ก็เป็นความสุข แต่ไม่ใช่เป็นความสุขอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ นิพพานปรมังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้นความสุขความทุกข์คนเข้าใจไม่เหมือนกัน คนทั่วไปปุถุชนทั่วไปเข้าใจความสุขส่วนใหญ่อยู่ที่สุขเวทนาที่เกิดจากกามคุณ กามคุณก็สิ่งที่มีในชีวิตของเรา คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เรียกกามคุณ โดยเฉพาะระหว่างเพศ ระหว่างเพศหญิง ระหว่างเพศชาย พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีรูปใดๆ ไม่มีเสียงใดๆ กลิ่นใดๆ ของผู้หญิงที่ทรงอิทธิพลมากจนครอบงำจิตใจของผู้ชาย ไม่มีรูป ไม่มีเสียง ไม่มีกลิ่น ไม่มีรส ไม่มีโผฏฐัพพะใดที่ครอบงำจิตใจของผู้หญิงเหมือนกับเพศของผู้ชาย ปัญหาในสังคมมนุษย์ มนุษย์เกิดมาก็มีสองเพศ เพศผู้หญิง เพศผู้ชาย ในชีวิตของผู้หญิงผู้ชายก็มีสิ่งเหล่านี้ ก็มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสัมผัสหรือโผฏฐัพพะ ทีนี้คนก็เกี่ยวข้องกัน พอเกี่ยวข้องกันก็เกิดรู้สึกที่เรียกว่าสุขเวทนา ความสุขระดับนี้ เป็นความสุขระดับธรรมดาสามัญ สัตว์เดรัจฉานก็มี มนุษย์ก็มี ความสุขระดับนี้ที่มีปัญหามาก ปัญหาที่มีในชีวิตประจำวันของคน ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาโลกก็มาจากกามคุณนี่เอง พระพุทธเจ้าตรัสว่าบิดามารดาทะเลาะกับบุตร บุตรทะเลาะกับบิดามารดาก็เพราะกามคุณ เพราะรูป เพราะเสียง เพราะกลิ่น เพราะรส เพราะโผฏฐัพพะ เพราะธรรมารมณ์ ญาติพี่น้องทะเลาะกันก็เพราะกามคุณ ก็คือแย่งทรัพย์สินเงินทองนั่นเอง ทรัพย์สินเงินทอง เช่น เป็นข้าวเป็นของ เป็นที่ดิน ก็อยู่ในพวกกามคุณนั่นเอง ก็ทะเลาะวิวาท รบราฆ่าฟันกัน แย่ง แย่งกามคุณ โดยเข้าใจว่านี่เป็นความสุขสูงสุด แต่ที่จริงไม่ใช่เป็นความสุข โน่นมันเป็นความสุขธรรมดาสามัญนั่นเอง สัตว์เดรัจฉานก็มี มนุษย์ก็มี นี่เราเกิดมาเป็นมนุษย์ที่สำคัญที่สุดได้พบพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้รู้จักแสวงหาความสุขของพระอริยะเจ้า ไม่ใช่เป็นความสุขของปุถุชนที่เรียกว่าอริยะสุข โลกุตระสุข พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ได้พบหนทาง ที่ทำให้คนได้พบความสุขที่สูงขึ้นไปจนกระทั่งสุขสูงสุดเรียกว่าวิมุติสุข เป็นนิพพานสุข เป็นความสุขสูงสุด วิมุติสุขความสุขชนิดนี้คนทั่วไปไม่ค่อยสนใจที่จะแสวงหา พวกเราบวชเข้ามาเป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจความสุขของพระอริยะเจ้าสูงขึ้นไปๆ การที่จะเข้าใจความสุขชนิดนี้ต้องเข้าใจความทุกข์ให้ได้เสียก่อน เพื่อจะได้เปรียบเทียบกัน ถ้าไม่เข้าใจความทุกข์ให้ชัดเจน มันก็ยากที่จะพอใจความสุขของพระอริยเจ้าที่เรียกว่าอริยสุข หรือโลกุตระสุข เพราะนั้นต้องเข้าใจความทุกข์
ทุกข์นะหนึ่ง ทุกข์เจ็บปวด อันนี้มันง่ายที่เราเข้าใจ เช่น ความหิวมันเป็นความทุกข์ เจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นทุกข์ ทุกข์แบบนี้มันทุกข์หยาบๆ ทุกคนก็ไม่แตกต่าง ที่ให้ทุกข์ คนขี้เกียจก็กลัวทุกข์นั่นเอง จะไปทำงานทำการเหน็ดเหนื่อยก็เป็นทุกข์ (12.56) การเป็นทุกข์คือการไม่ทำงาน พอไม่ทำงาน ขี้เกียจ มันก็ไม่มีโภคทรัพย์ ไม่มีรายได้ ต่อไปมันก็เป็นทุกข์หนักขึ้นมาอีก ทุกข์เพราะความยากจน มันทุกข์ตามร่างกาย ทุกขเวทนาเนี่ย มันเป็นทุกข์ตามธรรมชาติของร่างกาย เราก็เรียนรู้ความทุกข์ชนิดนี้ก็สามารถปรับปรุงได้
สอง สิ่งใดที่มันไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เรียกว่าเป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ยังอนิจจัง ตังทุกขัง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเรียกว่าทุกข์ ชีวิตของเรามันมีความไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ลองพิจารณาดูว่าเราเกิดตั้งต้นชีวิตจากเด็กอ่อนนอนเบาะ ยังจำอะไรไม่ได้ ลุกขึ้นนั่งไม่ได้ เดินก็ไม่ได้ ชีวิตก็เปลี่ยน เปลี่ยนภาวะ จากนั้นมาเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันก็คือไม่เที่ยงนั่นเอง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ มันทนอยู่ไม่ได้ ชีวิตเด็กอ่อนนอนเบาะ มันทนอยู่ไม่ได้ก็เปลี่ยนมาเป็นหนุ่มเป็นสาว ชีวิตหนุ่มสาวนี่เป็นชีวิตที่เรียกว่ามันงามสมบูรณ์ที่สุดในชีวิตของคนหนุ่มสาว อวัยวะต่างๆ มันงาม แต่ว่ามันไม่ใช่ว่าจะยั่งยืนได้ พออายุผ่านไป ความงามก็ค่อยๆ หมด ความงามของร่างกายมันหมด จะเป็นผม จะเป็นเนื้อหนัง ร่างกายมันเปลี่ยน มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ นั้นความแก่ พระพุทธเจ้าถึงเรียกว่าความทุกข์ ทุกข์เพราะแก่ ร่างกายของมนุษย์เรานี่ บางทีมันก็เสื่อม โรคภัยไข้เจ็บมันก็เข้ามา ชีวิตนี้พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นที่อยู่ของโรค..โรคะนิทัง เป็นรังของ โรคะนิทัง คือรังของโรค เป็นที่อยู่ของโรคแต่ละชนิด โรคนั้นโรคนี้มันอยู่ในชีวิตของมนุษย์เรา มีตั้งแต่เราเกิดมา ตั้งแต่เป็นเด็กอ่อนนอนเบาะ เป็นหนุ่มเป็นสาว ยิ่งอายุมากแก่ชราโรคต่างๆ มันก็รุมเล้าเข้ามาโรคนั้นโรคนี้ ผมเองก็เช่นเดียวกัน เดี๋ยวโรคตรงนั้น เดี๋ยวโรคตรงนี้มันเป็นอยู่ตลอดเวลาก็ต้องอดทน ดังนั้นความไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ ชีวิตของเรามันเป็นทุกข์ ทุกข์อย่างนี้เขาเรียกว่า กายิกทุกข์ ทุกข์ทางร่างกาย สำคัญที่สุดก็ เจติ เจตสิกทุกข์ ทุกข์ทางด้านจิตใจ ทำให้เข้าใจธรรม ทุกข์กายด้วย ทุกข์ทางด้านจิตใจด้วย มันทุกข์หนัก ถ้าเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ร่างกายเป็นทุกข์แต่จิตใจไม่เป็นทุกข์ เนี่ยเป็นเรื่องที่สำคัญ บอกคนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาก็มีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เรียกว่า มาประพฤติพรหมจรรย์ ชีวิตประเสริฐ ตัวพรหมจรรย์จริงๆ ก็คือ ตัวอริยมรรคมีองค์ 8 นี่สำคัญมาก
พระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ตรัสรู้ก็เรื่องนี้ อริยมรรคมีองค์ 8 เรียกว่าทางสายกลาง พระองค์ดำเนินไปทางสายกลาง ก็ทำให้พระองค์ได้เข้าใจว่าทุกข์จริงๆ มันคืออะไร แล้วพระองค์ก็รู้ว่าทุกข์นี้มันมาจากอะไร พระองค์จึงทำให้ความทุกข์ดับไปได้ แต่ไม่ใช่ทุกข์ทางร่างกาย แต่ความทุกข์ทางด้านจิตใจ พระวรกายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ก็มีความทุกข์ ยกตัวอย่างเช่น พระองค์ไปฉันอาหารของนายจุน อาหารนั้นเป็นอาหารที่มาจากนายจุนปรุงเป็นพิเศษ สูกรมัททวะ ก็ไปเข้าใจว่านายจุนไปฆ่าหมู ฆ่าหมูมาปรุงเป็นอาหารถวายพระพุทธเจ้า แต่มีคนจำนวนมาก เขาบอกว่านายจุนไม่ทำอย่างนั้น มันจะเป็น ๆ จะเป็นเห็ดชนิดหนึ่ง เป็นหัวพืชชนิดหนึ่ง ถ้าฉันเข้าไปมันจะย่อยไม่ได้ เพราะฉะนั้นพอพระพุทธเจ้าฉันอาหารของนายจุน ก็ทำให้ทุกขเวทนา เจ็บปวดลงพระโลหิต พระวรกายของพระพุทธเจ้าก็ต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา ต้องทรมานเป็นธรรมดา แต่จิตใจของพระพุทธเจ้า พระหฤทัยของพระพุทธเจ้าไม่เป็นทุกข์ ทุกข์เฉพาะร่างกายเท่านั้น จิตใจไม่เป็นทุกข์ ถ้าเราเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็จะเอาชนะความทุกข์โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ ทางวิตกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ ความทุกข์ทางด้านร่างกายกับความทุกข์ทางด้านจิตใจ ถ้าคนไม่เข้าใจธรรมะ ความทุกข์ทางด้านจิตใจมันมีมาก ตั้งแต่วิตกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นห่วงเรื่องนั้นเรื่องนี้มันมีไม่ว่าทุกวัน ความรู้ที่เรียนจบมาจากมหาวิทยาลัยมันยังไม่สามารถเอาความทุกข์ในจิตใจออกไปได้ เว้นไว้แต่ศึกษาพุทธศาสตร์ พุทธศาสตร์คือคำสอนของพระพุทธเจ้า พุทธศาสนา พุทธศาสตร์ ศาสตรานี่ ศาสตราเป็นเครื่องมือสำหรับตัดกิเลสความทุกข์ออกไป เรียกว่าพุทธศาสตร์ บางคนได้มีโอกาสมาศึกษาพุทธศาสตร์มาอยู่ในสวนโมกข์ ท่านพยายามสนใจถึงขนาดว่ามาเข้ามหาวิทยาลัย ตั้งใจที่จะเรียนรู้ แต่การเรียนรู้พุทธศาสตร์ไม่ใช่เรียนข้างนอก มันเรียนอยู่ในร่างกาย ยาว วา หนา คืบนี่เอง พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เรื่องชีวิตของมนุษย์เรา ท่านก็ทรงสอนร่างกายยาว วา หนา คืบ ยังมีสัญญาด้วยใจ ก็ยังจำได้ ยังรู้สึกได้ มีจิตใจอยู่ คือชีวิตเป็นๆ นั่นเอง พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนเอาไว้ว่าความสุขความทุกข์ไม่ได้มาจากพระเจ้าบันดาล บางศาสนาก็สอนไว้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า พระเจ้าสร้างโลก สร้างมนุษย์ พระเจ้าบันดาลให้เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ เราทำอะไรด้วยตัวเองไม่ได้ แล้วแต่พระเจ้าประสงค์ พระเจ้าปฏิเสธก็ดันเชื่ออย่างนี้ ดับทุกข์ไม่ได้ ความสุขความทุกข์ไม่ได้มาจากกรรมเก่าอย่างเดียวก็มีพวกหนึ่งบัญญัติว่าเรามีความทุกข์อย่างนี้เพราะกรรมในอดีตมันตามมาให้ผลอยู่เรื่อยๆ พระพุทธเจ้าสอนเราว่าถ้าเชื่อแบบนี้ดับทุกข์ไม่ได้ เพราะเราไม่มีโอกาสที่ปฏิบัติแก้ไขความทุกข์ได้เลย เพราะกรรมเก่าคอยให้ผล พระพุทธเจ้าจึงสอนเรื่องกรรมใหม่กรรมเก่า กรรมเก่าก็คือตา หู จมูกลิ้น กาย ใจของเรา เรียกว่ากรรมเก่า ชีวิตที่เราเกิดมาเรียกว่ากรรมเก่า กรรมที่สำคัญคือกรรมใหม่ กรรมที่เราทำในชีวิตประจำวัน ก็มีอยู่สามทาง กายกรรม กรรมทางกาย วจีกรรม กรรมทางวาจา มโนกรรม กรรมทางด้านจิตใจ
กรรมที่พระพุทธเจ้าสอนมันมีอยู่ถึงสามระดับ กรรมดำ กรรมขาว กรรมไม่ดำไม่ขาว กรรมดำ คือ ทุจริตนั่นเอง ทุจริตคือทำชั่วทางกาย เช่น ฆ่า ไปฆ่าเขา ไปลักของๆ เขา ไปล่วงเกินของรักของเขา ถ้าใครทำ ความทุกข์จะมีทันที ปัญหาจะเกิดทันที ลองพิจารณาดู สังคมมนุษย์ที่มีปัญหาอยู่ เพราะการทำทุจริต เบียดเบียนทางการกระทำ มีการฆ่ากัน ลักกัน ล่วงเกินของรัก ผิดภรรยาสามีต่อกัน ปัญหาก็เกิด อันนี้กรรมดำทางกาย
กรรมดำทางวาจาคือพูดโกหก พูดเท็จ พูดส่อเสียดยุยงให้แตกกัน พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ดังนั้นการเข้ามาบวชในพระพุทธเจ้า ถ้าต้องการก้าวหน้าต้องระวังคำพูด พูดให้น้อยที่สุด พูดไม่มีสารประโยชน์ ก็เรียกว่าพูดเพ้อเจ้อ ไม่เป็นไปเพื่อจิตมีสมาธิ พยายามพูดให้น้อย อย่างพวกฝรั่งที่มาอบรมสิบวันนี้ เขาไม่พูดกันเลย ก็ก้าวหน้ามาก ที่ผมออกไปทุกวัน เช้าๆ นี่ออกไปนั่งสมาธิทุกวัน ผมก็ไปบรรยายให้ฝรั่งฟัง พอดีเดือนนี้มันขาดคน คุณสุพลที่เคยมาช่วยเหลือ คุณสุพลก็ไปประเทศอเมริกาก็ขาดคนอบรม ผมก็บรรยายเกือบทุกวัน มีพระอินเดีย พระ ญญาธีระ ไปกับผมช่วยบรรยายสองครั้ง นอกนั้นผมก็บรรยายทุกวัน บรรยายตามความรู้สึก แต่มันยาก ยากในการใช้ภาษา เพราะเป็นภาษาฝรั่ง มันยากสำหรับผม เพราะเราไม่ใช่ฝรั่ง แต่เขาก็ตั้งใจฟังแล้วก็ไปพูดเรื่องนี้ พูดเรื่องความจริงของชีวิต เขาไม่พูด เขาก็ได้ผล ดังนั้นพวกเราอยู่ในสวนโมกข์ พยายามควบคุมการพูดให้มันน้อยที่สุด ถ้าพูดไม่ถูกก็เรียกว่าทำทุจริตทางวาจา มาจากจิตใจโลภ จิตใจมีความโลภ ความโกรธ ความหลงมาครอบงำ มันก็เป็นเหตุให้ทำผิดทางกาย ทางวาจา ว่ากรรมดำ สิ่งที่เราปฏิบัติก็คือไม่ทำความชั่ว พยายามทำความดี ทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ทางจิตใจก็ดี คือตรงกันข้ามกับทุจริตเรียกว่าสุจริต ร่างกายไม่ฆ่า ไม่คิดฆ่า มีเมตตา ไม่ลักไม่ขโมยก็ยินดีที่จะแบ่งปันสิ่งของของเราให้แก่ผู้อื่น มีสัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีวิตถูกต้อง เห็นโทษในการหมกมุ่นมั่วเมาในกาม ก็ได้ทำกรรมดีทางกาย ทางวาจาไม่พูดเท็จ พูดแต่วาจาสัตย์ ไม่พูดส่อเสียด พูดให้เขาสมานสามัคคี ไม่พูดคำหยาบ ให้พูดคำอ่อนหวาน ไม่พูดเพ้อเจ้อ ให้พูดคำที่เป็นสาระประโยชน์ พูดออกมานี่เป็นสุภาษิต คำพูดให้คนอื่นฟังเอาไปใช้ประโยชน์ได้ เขาเรียกว่าวาจาสุภาษิต ก็ด้วยการฝึก ด้วยการหัด ด้วยการศึกษาเล่าเรียน หนังสือมันก็มีมากมาย เข้าไปในห้องสมุด หยิบหนังสือมาอ่าน มันมีเรื่องดีๆ เยอะ รู้จักเก็บความรู้จากการศึกษาเล่าเรียน สุจิปุลิ สุจิปุลิ วินิมุตโต กถํปณฺฑิโตภเว เพราะฉะนั้นถ้าปราศจากซึ่งสุจิปุลิจะเป็นบัณฑิตไม่ได้ สุ คือการฟัง พยายามฟังให้ดี สุสฺสูสํ ภวเต ปญฺญํ ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา สุจิ ฟังแล้วต้องคิด สุจิปุลิ ปุ ถ้าสงสัยก็ถาม มีอะไรก็ถาม แล้วก็เขียน หลักการของการเป็นบัณฑิต มาอยู่ในสวนโมกข์เราก็มีห้องสมุด มีหนังสือ มีตำรา แต่ละวันพยายามรวบรวมสิ่งเหล่านี้เอาไว้ เหมือนอย่างมาอยู่ในมหาวิทยาลัยเรียนรู้พระพุทธศาสนา ปริยัติก็ต้องถูกต้อง หัวใจของการศึกษาพระพุทธศาสนาก็คือเรื่องที่กล่าวมาแล้ว คือ เรื่องอริยสัจ เรื่องให้ทุกข์ เรื่องทุกข์เกิด เรื่องความดับมายังทุกข์ เรื่องทางถึงความดับมายังทุกข์ ทางเห็นความดับมายังทุกข์ ก็คือ อริยมรรค สัมมาทิฐิ เห็นชอบ สัมมาสังกะโป ดำริชอบ สัมมาวาจา พูดจาชอบ สัมมากัมมันโต การงานชอบ สัมมาอาชีโว เลี้ยงชีพชอบ สัมมาวายาโม เพียรชอบ สัมมาสติ ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นชอบ
ตัวอริยมรรคเป็นหนทางอันประเสริฐ เป็นทางสายกลาง เรียนปริยัติอย่างเดียวมันไม่พอ ต้องปฏิบัติ อยากให้เราปฏิบัติ อริยมรรคมีองค์ 8 นี่ย่อลงเป็นทางสายกลาง คือ สมถะและวิปัสสนานั้น การฝึกสมาธิเป็นเรื่องที่สำคัญ อย่างที่ผมเล่าให้ฟัง ปรากฏว่าหนังสือ national geographic ลงหนัง ลงข่าวเรื่องสมาธิทั้งเล่มเลย ดอกเตอร์วิทวัส ท่านคงเห็นมีประโยชน์เลยให้คนเอามาถวายผม อ่านดูก็น่าสนใจว่าพวกฝรั่งมาสนใจเรื่องสมาธิกันมากขึ้นๆ
นี่อาจารย์ชา อาจารย์ชาเป็นพระป่า ท่านไม่ใช่เป็นพระมีความรู้ แต่มีลูกศิษย์เป็นฝรั่งหลายต่อหลายองค์ วันเฉลิมพระชนมพรรษา ในหลวงรัชกาลที่10 ได้แต่งตั้งเป็นพระราชาคณะพระฝรั่งก็หลายรูป อย่างชยสาโร ปสันโน ท่านสุเมโธ ทั้งหมดรู้สึกว่าสี่ห้ารูป ในหลวงท่านโปรด ยกย่องแต่งตั้งให้เป็นพระราชาคณะ ดังนั้นท่านอาจารย์ชามีลูกศิษย์เป็นท่านเจ้าคุณเยอะมาก อาจารย์ชาเนี่ยลูกศิษย์เป็นท่านเจ้าคุณและเป็นฝรั่งเยอะ หาพระรูปใดในเมืองไทยเหมือนท่านอาจารย์ชายาก
ก็ศึกษาประวัติอาจารย์ชาท่านทำอะไร ท่านเน้นการปฏิบัตินั่นเอง นั้นการปฏิบัติธรรมนี่เป็นเรื่องที่สำคัญ พวกเรามาอยู่ในสวนโมกข์เป็นวัดของพระเดชพระคุณของท่านอาจารย์พุทธทาสก็ต้องสนใจในการปฏิบัติ เพื่อจะทำพระนิพพานให้แจ้ง ความหมายของพระนิพพานก็คือสิ้นกิเลส สิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ ไม่ยึดมั่นถือมั่น นี่ความหมายของนิพพาน จะเข้าใจนิพพานได้ก็ต้องปฏิบัติ การปฏิบัติมันเกี่ยวกับเรื่องจิตใจก็ดูที่จิตใจ จิตเดิมมันเป็นจิตผ่องใส เป็นจิตประภัสสร แต่จิตมันเศร้าหมอง ก็เพราะกิเลสที่มันจรเข้ามาเป็นครั้งเป็นคราว ก็ศึกษาการที่เราปฏิบัติอย่างนี้ นี่เป็นการทำกรรมที่สาม กรรมที่สามก็เพื่อจะอยู่เหนือกรรม คือไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นเอง ความสุขสูงสุดอยู่ที่ไม่ยึดถือ ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรานั่นเอง มันเข้าใจยาก ก็พยายามเข้าใจ มีสิ่งนั้นมีสิ่งนี้ก็ดีอกดีใจ แต่เมื่อยึดถือสิ่งใดมันจะหนักกับสิ่งนั้น ต่อไปพวกคุณก็จะออกไปเป็นฆราวาสครองเรือน คุณก็ต้องทำมาหากิน มีสิ่งต่างๆ แต่จิตใจถ้าเข้าใจธรรมะ อย่าคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นของหลอก สิ่งเหล่านี้มันเป็นของธรรมชาติ มันเป็นแต่เพียงสังขาร ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่เพียงสังขารเท่านั้น ถ้าเป็นสังขารมันก็ต้องไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ไม่ควรยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา พอไม่ยึดถือ ความทุกข์มันก็เบาบางลง เบาบางลง คือสังเกตได้ ถ้าไม่ยึดถือว่าเรา ของเราก็ความรู้สึกว่าตัวตนมันก็เบาบางลง ตัวตนนี่มันหนัก รู้สึกว่ามีตัวตนเมื่อไหร่มันจะหนัก หนักอกหนักใจทันที
เอาล่ะครับต่อไปนี้ก็ปฏิบัติปริยัติ เรียนรู้แล้วก็ต้องปฏิบัติจนได้ผล เป็นเรื่องเฉพาะตัว เวลามันจำกัด จะอธิบายมากกว่านี้ เวลาก็ไม่พอ วันหลังค่อยพูดเพิ่มเติมในส่วนที่ยังไม่ได้พูด ต้องการจะพูดแต่มันเวลามันไม่พอ ก็ขอพูดเพียงเท่านี้ ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติ อบรมจิตให้มีสมาธิ พอได้สมาธิมา ก็มาดูสังขาร เห็นตามที่เป็นจริง ทุกสิ่งทุกอย่างเราเห็นได้ รู้ได้ เป็นสังขารทั้งหมด
ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นมา แต่พระอาทิตย์มันก็มีอยู่ อีกไม่นาน อีกไม่กี่นาที พระอาทิตย์ก็ขึ้นมา พระอาทิตย์ขึ้นมาพระอาทิตย์ก็โคจร ความจริงโลกของเรามันหมุน เมื่อก่อนเขาเชื่อกันว่าพระอาทิตย์มีบางอย่าง เทพเจ้ามาลากรถ ชักรถไป เชื่อกันอย่างนั้น เดี๋ยวนี้คนศึกษาทางวิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี รู้เรื่องดาราศาสตร์ เขาบอกว่าไม่ใช่ กลางคืนกลางวันเนื่องจากโลกของเรามันหมุน หมุนรอบตัวเอง หมุนรอบดวงอาทิตย์ มันเกิดกลางวันกลางคืน เทพเจ้าตรัสว่าวันหนึ่งแม้แต่พระอาทิตย์ก็จะดับ ก็จะหมดไป นักดาราศาสตร์เขาก็เชื่อกันแบบนั้น ซุปเปอร์โนวา แม้แต่ดวงดาว ดาวฤกษ์ต่างๆ มันดับหายไป เพราะมันเป็นสังขาร ชีวิตของเรามันเป็นสังขาร มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจว่าไม่มีตัวตน ความทุกข์ในจิตใจก็จะน้อยลงๆ หัดละตัวตน นี่ตัวตนมันละยาก ก็ใช้ขันติ ใช้อดทน บางทีคนอื่นเขาไม่ชอบเรา เราก็อดทน พยายามอบรมเสียให้มีเมตตา มองอะไรมองในแง่ดี ถ้ามองในแง่ดี จิตใจจะมีความสุข ถ้ามองในแง่ร้าย ความทุกข์มันเกิดขึ้นทันที เป็นเรื่องจิตใจทั้งนั้นมัน เพิ่มขึ้นๆ เอาล่ะครับต่อไปก็ปฏิบัติธรรม หายใจเข้าตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา เมื่อจิตมีสมาธิก็เจริญวิปัสสนา พิจารณาให้เห็นว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ เมื่อเป็นทุกข์ก็ไม่ควรยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา เอาล่ะครับ ปฏิบัติกันต่อไปนี้ เวลาเล็กๆ น้อยๆ