แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละครับ ต่อไปนี้ ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ เจ้านาค แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้ตั้งใจเตรียมตัว ที่จะปฏิบัติธรรม ในเวลาที่ดีที่สุดของวัน วันนี้เป็นวันที่ 8 กรกฎาคม พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านมรณภาพ ในวันที่ 8 กรกฎาคม เมื่อ 20 ปีกว่ามาแล้ว ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านไม่สบาย ล้มป่วยตอนหัวรุ่งแบบนี้ ท่านเตรียมตัวที่จะบรรยาย เรื่องที่ท่านทำของเยาวชนคือสันติภาพของโลก ท่านเตรียมหัวข้อเอาไว้ ท่านเกิดไม่สบาย ขณะนั้น ท่านสิงห์ทองเป็นผู้ที่ใกล้ชิด คอยอยู่กับท่านอาจารย์ตลอด พอมาทำวัตรเช้าแบบนี้ ท่านอาจารย์ให้ท่านสิงห์ทองมาตามผมไปหา พอเข้าไปท่านบอกว่าโรคเดิมมันกลับมาอีก ก็ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเป็นโรคหัวใจเหมือนกัน ท่านบอกว่าโรคเดิมมันกลับมาอีกหลังจากนั้นท่านก็ไม่พูดอะไร ท่านภาวนา เอานิพพานเป็นอารมณ์ นิพพานไม่มีอารมณ์ แล้วท่านก็แน่นิ่งไป ก็โทรไปหาหมอประยูร เป็นนายแพทย์ที่มาบวชที่นี้เหมือนกัน ให้หมอประยูรมา ก็มา ก็คิดว่าต้องพาไปโรงพยาบาล ก็พาไปโรงพยาบาลสุราษฏ์ ท่านอาจารย์ไม่รู้สึกตัวอะไร ก็ตามไป ลูกศิษย์ทุกคนตัดสินใจกลับ แต่ว่ามีสายออกซิเจนอยู่ในจมูกท่านอาจารย์พุทธทาส พอดีมีหมอทางกรุงเทพ เป็นหมอหวังดีมาก บอกว่าให้พาขึ้นกรุงเทพ ก็ปรึกษากันว่า ว่าจะพาไปดี หรือไม่พาไปดี หลายๆคนก็หวังดีต่อท่านอาจารย์ว่าพาไป วันนั้นถ้าใครสามารถถอดสายถอดแยกออก ท่านอาจารย์ก็มรณภาพ ในวันที่ 27 เป็นวันเกิดของท่านนั้นเอง แต่ว่าไม่มีใครกล้าถอด ก็ไปรักษาที่กรุงเทพ สองสามเดือน แล้วก็พากลับ คล้ายๆกับวันนี้ท่านมาอยู่ในวัดประมาณ 30 นาที ท่านก็มรณภาพ
นี่วัดสวนโมกข์เกิดขึ้นมาก็เพราะท่านอาจารย์พุทธทาส ตอนนี้ท่านมรณภาพมาแล้ว 20 กว่าปี แต่ว่าสวนโมกข์ก็ยังอยู่มาตามลำดับ ก็เพราะพระสงฆ์ที่อยู่ในวัดพยายามจะช่วยดูแลรักษา วัดของท่านอาจารย์พุทธทาสและก็มีคนเข้ามาบวชในวัดนี้ก็เพราะจัดขึ้นมา แต่วัดนี้ถ้าไม่มีจัด ไม่มีการบวชขึ้นมา พระก็น่าจะมีไม่กี่รูป แต่นี้วัดต่างๆนะพระสงฆ์ไม่ค่อยจะมี บางวัดมีรูปสองรูป ในสวนโมกข์ก็ยังมีอยู่หลายรูป เพราะจัดบวชขึ้นมาที่คุณสุเทพบวช แล้วก็มาอยู่ในวัด ผมก็บอกคุณสุเทพว่าที่วัดนี้มันไม่ได้บวชพระกันขึ้นมา พระก็น้อยลงๆ สุเทพก็ทดลองดู ก็ชักชวนคนที่รู้จักมาบวชกัน เข้าโครงการบวชร่วมมือกันระหว่างวัด องค์การบริหารส่วนจังหวัด แล้วก็กลุ่มของคุณสุเทพก็จัดบวช ในรุ่นนี้ก็เป็นรุ่นที่เท่าไรแล้ว ผมจำไม่ค่อยได้ ก็มีหลายๆองค์ที่ยังเป็นพระอยู่ นี่ 4 พรรษาแล้ว ถ้าพรรษานี้ผ่านไปก็ 5 พรรษา ถ้าได้ 5 พรรษาต่อไปเป็นเจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งก็ได้ แล้วก็น่ายินดี แล้วมีพระที่บวชในโครงการ ยังเหลืออยู่เป็นจำนวนไม่น้อย เป็น สิบ ๆรูป ไปอยู่ที่นั้นที่นี้ เหมือนอย่างเดี๋ยวนี้ พวกเราที่เป็นเจ้านาคที่เตรียมตัวจะมาบวชในเดือนนี้ อาตมาในฐานะเจ้าอาวาส ก็ขอขอบพระคุณ ขออนุโมทนาแสดงความยินดี
การที่เรามาบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนานี่ ก็เพื่อจะปฏิบัติธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ให้บริสุทธิ์โดยสมบูรณ์มากขึ้น เรียกว่ามาประพฤติพรหมจรรย์ พรหมจรรย์เป็นชีวิตอันประเสริฐต่อพรหมจรรย์จริงๆ และตัวอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นตัวพรหมจรรย์ สัมมาทิฐิ-เห็นชอบ สัมมาสังกับโป-ดำริชอบ สัมมาวาจา-พูดจาชอบ สัมมากัมมันโต-การงานชอบ สัมมาอาชีวโว-เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโม-พากเพียรชอบ สัมมาสติ-ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ-ตั้งใจมั่นชอบ เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ 8 เป็นตัวพรหมจรรย์
การประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ในชีวิตของฆราวาสมันทำได้ยาก เพราะมันต้องมีภารกิจ หาเงินหาทองเลี้ยงครอบครัว ต้องบริหารจัดการคนในครอบครัว มันก็เหนื่อยหนัก เป็นภาระ แต่ละวันๆ และการที่จะประพฤติพรหมจรรย์ให้สมบูรณ์นี่มันทำได้ยาก เหมือนอย่างหอยสังข์ที่มาขัดให้มันขาวมันทำได้ยาก ไม่เหมือนกับออกบวช การออกบวชนี่เป็นชีวิตที่อิสระ เหมือนอย่างนกมีปีก ต้องการจะไปไหนก็บินไป เมื่อที่เขาปรารภออกบวชในครั้งพุทธกาล มันเป็นอย่างนี้ แต่ว่าการบวชในปัจจุบัน มันก็บวชส่วนใหญ่ตามประเพณี บางทีบนบวชเอาไว้ ก็บวชแก้บนก็มี มันจึงมีคำพูดติดปากของคนไทย ว่าการบวชนี้มีหลายชนิด บวชลี้ บวชลอง บวชครองประเพณี บวชหนีทหาร บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน ถ้าบวชแบบนี้ก็ไม่ค่อยได้อะไร เพราะฉะนั้นพวกเราที่มาบวชที่สวนโมกข์ ขอให้มุ่งมั่นตั้งใจว่ามาประพฤติพรหมจรรย์ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วคืออริยมรรคมีองค์แปด สรุปลงในไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
สัมมาวาจา-พูดจาชอบ สัมมากัมมันตะ-การงานชอบ สัมมาอาชีวะ-เลี้ยงชีวิตชอบ นี้เป็นส่วนของศีล สัมมาวายามะ-เพียรชอบ สัมมาสติ-ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ-ตั้งใจมั่นชอบ นี้เป็นส่วนของสมาธิ สัมมาทิฐิ-เห็นชอบ สัมมาสังกับโป-ดำริชอบ เป็นส่วนของปัญญา และการเข้ามาบวชนี้ ก็เป็นโอกาส อบรมให้ศีลมันสมบูรณ์มากขึ้น สมาธิสมบูรณ์มากขึ้น ปัญญาสมบูรณ์มากขึ้น ถ้าใครทำให้ศีลสมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ถึงที่สุด ผู้นั้นก็ได้เลื่อนชีวิตจากคนธรรมสามัญเป็นปุถุชน เลื่อนมาสู่กัลยาณชนคือคนดี เลื่อนสูงขึ้นมาเป็นอริยบุคคล อริยบุคคลมีถึง 4 ระดับ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์เขาเรียกว่าพระอริยะเจ้า พระอริยบุคคลขั้นต้นนี่ ความทุกข์ในชีวิตก็เหลือน้อยมาก ถ้าเป็นพระอรหันต์นั้นหมดความทุกข์ อยู่เหนือความทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย นั้นการที่เราเข้ามาบวชก็ต้องการใช้ชีวิตอบรม พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ให้สูงขึ้นๆ ตัวพรหมจรรย์ คือ อริยมรรคมีองค์ 8 หัวใจสำคัญก็คือ สมาธิและวิปัสสนา
อริยมรรคมีองค์แปดนี้เป็นทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ทางสายกลางโดยย่อ คือ สมถะและวิปัสสนา ดังนั้นพวกเราที่บวชเข้ามาถ้าสนใจก็มีโอกาส อบรมฝึกฝนจิตใจให้มีสมาธิได้มากขึ้น เพราะได้สมาธิมาอบรมปัญญาให้เห็นสิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง คือเห็นสังขาร ตามที่เป็นจริง จริงๆ ชีวิตของเรามันเป็นสังขาร แต่เรา มองไม่เห็นเพราะใจมันไม่มีสมาธิ มองไม่เห็นสังขารตามที่เป็นจริง ก็ไปยึดมั่นถือมั่นสำคัญว่าเป็นเราของเรา ก็เกิดความทุกข์ เกิดปัญหา ให้เราได้ปฏิบัติอบรมจิตให้มีสมาธิ พอมีสมาธิอบรมปัญญาวิปัสสนา เห็นสังขารตามที่เป็นจริงและก็ไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ในจิตใจก็น้อยลงๆ และชีวิตก็เลื่อนสูงขึ้นๆ ความหมายอยู่ที่ นิพพาน นิพพานนั้นเป็นเป้าหมายสูงสุด การบวชที่ถูกต้องนี้เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง นิพพานะ สัจฉิกิริยายะ การบวชเข้ามานี้เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
ความหมายของพระนิพพาน คือจิตมัน ไม่มีกิเลส ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เรียกว่านิพพาน นี่พวกที่บวชเข้ามาลองสังเกตดูว่า แต่ละวันๆนี่เราจิตใจ เป็นอย่างไร จิตใจว่างจากกิเลส หรือยัง มีกิเลสรบกวนจิตใจอยู่ นี่ก็ต้องอบรมจิตใจก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นเอง นี่เป็นเครื่องมือที่สำคัญ ฐานของสติมันอยู่ในชีวิตของเรากันทุกคน คือรูป คือกาย เวทนา จิต แล้วก็ธรรมะ เป็นฐานของสติ และถ้าเราไม่มีการฝึกสติปัฏฐานมันไม่มี เพราะไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญะ ก็ไม่สามารถเอารูปมาเป็นอารมณ์ ไม่สามารถเอากายมาเป็นอารมณ์ได้
กายนั้นมันมีสองชนิด คือกายเนื้อหนังเรียกว่าร่างกาย แต่กายที่สำคัญก็คือลมหายใจเข้าออก เรียกว่ากายลม การเจริญอานาปานสติที่ปฏิบัติอยู่ในสวนโมกข์นี่ อานาปานสติ 16 ขั้น ก็คือเจริญสติปัฏฐาน 4 นั้นเอง ตามเห็นกายในกาย ได้อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ จิตก็ได้สมาธิ พอได้สมาธิมาก็เจริญวิปัสสนา ก็มาตามเห็นว่าลมหายใจเข้าออก นี้มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นทุกข์ สิ่งใดทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่เรา มาตามดูเวทนา ไม่ว่าสุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา มันเกิด มันดับ มันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มาตามดูจิต จิตมันมีหลายชนิด จิตกุศล จิตอกุศล แต่ว่าจิตทุกชนิดมันก็เป็นสังขาร ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา นี้คือวิธีปฏิบัติ ถ้าเราบวชเข้ามามาอยู่ในสวนโมกข์ กุฏิในสวนโมกข์ทุกหลังนี่ เป็นการกุฏิฝึกวิปัสสนา เป็นกุฏิกัมมัฏฐาน นั่นอยู่ที่คุณก็พยายามที่ใช้เวลา ฝึกฝนอบรมจิตใจ ให้จิตใจได้อยู่กับอารมณ์ที่เป็นกุศล อย่าปล่อยให้จิตใจอยู่กับอารมณ์ของกิเลส
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า บุคคลมันมีหลายประเภท ประเภทหนึ่ง กายก็ไม่ออก ใจก็ไม่ออก นี้คือฆราวาสทั่วๆไป ร่างกายก็อยู่กับครอบครัวหน้าที่การงาน ใจก็ไม่ออก ใจก็ผูกพันกับสิ่งที่มี โดยเฉพาะเรื่องกามคุณ ยังหมกมุ่นมัวเมาอยู่ในกามคุณ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เรียกว่ากายก็ไม่ออก ใจก็ไม่ออก ชีวิตของฆราวาสก็ต้องไปแบบนี้ มีทุกข์มากมีปัญหามาก เครียดมาก บุคคลบางคนกายไม่ออกแต่ใจออกแล้ว อุบาสก-อุบาสิกาบางคน เขาเป็นฆราวาสครองเรือน แต่จิตใจดำริอยู่ในกุศลวิตก จิตนี้มันคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คนทั่วๆไปมันดำริในเรื่องกาม เรียกกามวิตก ดำริในเรื่องพยาบาท พยาบาทวิตก ดำริในเรื่องเบียดเบียน วิหิงสาวิตก ฆราวาสปุถุชนทั่วไป จะดำริอยู่ในอกุศลวิตกเหล่านี้
แต่ว่ามีชาวพุทธที่เป็นฆราวาสครองเรือน เขาดำริอยู่ในกุศลวิตก คือ ดำริออกจากาม ดำริในการไม่พยาบาท ดำริในการไม่เบียดเบียน ที่เขาฝึกสมาธินั้นเอง มีอุบาสก อุบาสิกาบางคน ร่างกายเขาอยู่ที่บ้านที่เรือน แต่เขาใช้บ้าน ใช้เรือน เป็นที่ฝึกสมาธิภาวนา โดยเฉพาะฝึกอาปานาสติ ก็ได้อยู่กับกุศลวิตก เรียกว่ากายอยู่แต่ใจออก ทีนี้วิธีที่ดีที่สุด กายก็ออก ใจก็ออก ก็คือ พวกเราที่เข้ามาบวชหรือเป็นแม่ชีที่มาบวช ออกจากบ้านจากเรือนมาอยู่ในวัด ตลอดจนสนใจฝึกหัดปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐาน 4 กายก็ได้ออกมาใจก็ได้ออกมา ประเภทที่ 3 นี้ เป็นประเภทที่เลิศ ประเภทที่ต่ำที่สุด คือกายก็ไม่ออกใจก็ไม่ออก เป็นปุถุชนธรรมดา พวกที่มีปัญหามาก พวกที่ดีกว่าพวกแรกก็คือ กายไม่ออกแต่ใจไม่ออก ยังมีประเภทหนึ่ง กายออกแต่ใจไม่ออก อันนี้ก็ไม่ดีเหมือนกัน เหมือนอย่างพวกเรา ออกมาบวช หรือแม่ชีมาอยู่ในวัด ถ้าจิตใจยังหมกมุ่นครุ่นคิดในเรื่องกามวิตก ครุ่นคิดในเรื่องพยาบาท ครุ่นคิดในเรื่องเบียดเบียน กายออกแต่ใจไม่ออก อันนี้ก็ไม่ดีเหมือน พวกที่ดีเลิศคือกายออก ใจก็ออก เพราะฉะนั้นเราก็ดูตัวเอง ว่าวันๆหนึ่งนี่ จิตใจของเราเป็นอย่างไร สังเกตได้ด้วยการเจริญสมาธิภาวนา และเป็นตัวพรหมจรรย์นั้นเอง นั้นต่อไปนี้ขอให้พวกเราทุกคน สนใจฝึกหัดปฏิบัติทำให้มากขึ้น มากขึ้น อยู่กับระบบอานาปานสติ อานะ - หายใจเข้า อาปานะ - หายใจออก ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจเข้าออก นี่เป็นสังขารธรรมเป็นสิ่งปรุงแต่ง พอหายใจเข้าแล้วก็ หายใจออก จิตก็เหมือนกัน เป็นสังขารธรรม มันเกิดมันดับ อยู่ตลอดเวลา จิตเดิมเป็นจิตที่ดีเป็นจิตประภัสสร แต่ว่าพอกิเลสเข้ามาอยู่จิตใจก็เศร้าหมอง ปัญหามันก็เกิด เราก็พยายามขจัดความเศร้าหมอง คือกิเลสของจิตใจออกไปให้เหลือแต่จิตเดิม เป็นจิตประภัสสร จิตมันเกิดมันดับ บางเวลากิเลส มันเข้ามาอยู่ บางเวลามันว่างจากกิเลส มันเป็นอย่างนี้ตลอดเวลา บางเวลาจิตก็ไม่ทำงาน จิตเรานอนหลับเราก็รู้อะไรไม่ได้เลย แต่พอตื่นขึ้นมานี้ อารมณ์ต่างๆมันเข้ามา พอไม่รู้จักเลือกอารมณ์ก็เอาอารมณ์ที่เป็นอกุศลมาไว้ในใจ แล้วปัญหามันก็เกิด หนักอก หนักใจ มาอยู่ในสวนโมกข์ ถ้าปล่อยจิตเป็นอย่างนี้ ก็ไม่ถึงสวนโมกข์ คือจิตใจมันไม่โมกข์ ไม่เกลี้ยงเกลา ไม่สงบเย็น ขอให้ท่านทั้งหลายที่มาอยู่ในสวนโมกข์ และเจ้านาคทุกคนที่เตรียมตัว ที่จะบวชในวันที่ 13 ไม่กี่วันข้างหน้า พยายามเตรียมตัวตั้งใจ ที่จะมาอยู่ในสวนโมกข์ เพื่อให้จิตใจมันสงบเย็น และต่อไปนี้ เหลือเวลาอยู่เล็กน้อย ก็มาปฏิบัติธรรมกัน หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา การปฏิบัติธรรมต่อไปนี้