แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูป ทุกองค์ไม่ว่าบวชเก่าหรือบวชใหม่ รวมทั้งแม่ชี อุบาสก-อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ณ.บริเวณนี้ ตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรม ในเวลาที่ดีที่สุดของวัน คือ เวลาหัวรุ่ง
พวกเราที่มาอยู่กันที่สวนโมกข์ เป้าหมายคือมาปฏิบัติธรรม เพื่อให้จิตใจโมกข์ เกลี้ยงเกลา สงบเย็น โมกขะ นี่มันมีความหมาย คือการดับทุกข์นั่นเอง โมกขะ วิโมกข์ วิสุทธิ วิราคะ นิพพาน เป็นคำที่ใช้แทนกันได้ ก็คือพระนิพพานนั่นเอง นิพพานเป็นเป้าหมายของพุทธบริษัท ความหมายของพระนิพพานคือสิ้นกิเลส จิตใจนะไม่มีกิเลสมารบกวน ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ เรียกว่า นิพพาน เรียกว่า โมกข์ นี่บางองค์ก็มาอยู่กันนานๆ มาอยู่เป็นสิบๆ ปีแต่ว่าจิตใจที่จะเกลี้ยงเกลา ไม่มีกิเลสจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ พวกนั้นจะต้องรู้เอง ว่ากิเลสมันยังมีอยู่หรือว่ามันเบาบาง ถ้าเรามาอยู่และไม่ได้สังเกต จิตใจก็เหมือนกับอยู่ที่บ้านที่เรือนไม่ได้แตกต่างกันอย่างไร โดยเฉพาะ การเข้ามาบวชนี่ เป็นโอกาสที่สำคัญมาก คือมาประพฤติพรหมจรรย์
พรหมจรรย์ คือชีวิตประเสริฐ พระพุทธเจ้าตรัสว่าการอยู่เป็นฆราวาสครองเรือน และประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ มันทำได้ยากเหมือนอย่างหอยสังข์ที่มาขัดให้ขาว มันทำได้ยาก เพราะมันมีภาระมาก เรื่องนั้น เรื่องนี้ เรื่องงาน เรื่องการ เรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องญาติ เรื่องเพื่อน เรื่องฝูง แต่ว่าเป็นฆราวาสมันก็ยาก ที่จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไม่เหมือนกับออกบวชอย่างพระใหม่ พวกคุณลองสังเกตดูว่า เรามาบวชนี่เรามีเวลามาก ที่จะประพฤติชีวิตอันประเสริฐคือตัวพรหมจรรย์ ตัวพรหมจรรย์ จริงๆก็คือ อริยมรรคมีองค์ 8 นั่นเอง
อริยมรรคมีองค์ 8 คือ อริยสัจ4 ข้อที่ 4 ซึ่งผมพยายามจะแนะนำให้พวกเราสนใจว่า หัวใจสำคัญของพุทธศาสนาคืออริยสัจ4
1) ทุกข์ 2) เหตุให้เกิดทุกข์ 3) ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ 4) ทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ นี่คืออริยสัจ4 พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็คือตรัสรู้เรื่องนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็พ้นจากทุกข์ พ้นจากกิเลส พ้นจากความเกิดแก่เจ็บตาย และ พระองค์ก็สั่งสอน ธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้ให้คนเข้าใจ ธรรมะที่พระองค์ทรงสั่งสอน เหมือนหงายของที่คว่ำ เหมือนเปิดของที่ปิด เหมือนตามประทีปเมื่อในที่มืด เหมือนบอกทางแก่คนหลงทาง พระพุทธเจ้าบอกไว้เสร็จแล้ว และทางนี้เป็นทางที่จะปฏิบัติแล้วทำให้ทุกข์มันน้อยลงๆ เพราะฉะนั้นเราเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา มาเป็นบุตรของพระพุทธเจ้า สมณะศากยะปุตติยะ ผู้ที่เข้ามาบวชในพุทธศาสนา ไม่ว่ามาจากวรรณะไหน ในประเทศอินเดียเขาถือวรรณะ ถือกันมาเป็นพันๆ ปี ก่อนพุทธกาล ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในประเทศอินเดีย ศาสนาพราหมณ์มีมาก่อน มาจากเป็น พันปี หรือว่าหลายร้อยปีก่อนพระพุทธเจ้า ศาสนาพราหมณ์เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ชื่อวรรณะ วรรณะพราหมณ์ วรรณะกษัตริย์ วรรณะแพศย์ วรรณะศูทร และก็ยังมีพวกหนึ่งที่ต่ำสุด คือวรรณะจัณฑาล ยังถือวรรณะกันอยู่ คนทุกวรรณะที่ออกบวชในพระพุทธศาสนา ก็มาเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าเรียกว่า สมณะศากยะปุตติยะ เหมือนกันทุกคน นี่คือพุทธศาสนา
ประเทศอินเดียเคยเจริญรุ่งเรือง โดยพุทธศาสนาแล้วก็เสื่อมไป ด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง คือ หนึ่ง พระสงฆ์ในประเทศอินเดียได้รับการเอาใจใส่บำรุง จนกระทั่งลืม ลืมปฏิบัติ พวกลาภสักการะมากขึ้นๆ ลาภสักการะนี่ตัวร้าย ปฏิบัติธรรมก็อ่อนแอ ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านเคยวิจารณ์ว่า พระศาสนาที่หมดไปจากประเทศอินเดียก็มีเหตุปัจจัยหลายอย่าง หนึ่ง พระสงฆ์ในตอนหลังๆนี่ ได้รับความสะดวกสบาย ติดอยู่ในลาภสักการะ ก็ไม่ค่อยสนใจปฏิบัติธรรม ก็อ่อนแอ พอดีศาสนาพราหมณ์ที่เขาเจริญมาก่อน พอพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาอีก ประเทศอินเดีย ศาสนาพราหมณ์ก็เสื่อมลง พระพุทธเจ้าตรัสว่า เหมือนอย่างหิ่งห้อย แสงหิ่งห้อยน่ะ แสงมันไม่มาก พอพระอาทิตย์ขึ้น แสงหิ่งห้อยมันก็เสื่อมไป เช่นเดียวกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก ในประเทศอินเดีย ศาสนาพราหมณ์ที่เขาเคยเจริญมาก่อน ก็เสื่อม เสื่อมลง คนวรรณะพราหมณ์เข้ามาบวชในพุทธศาสนาหลายคนที่สำคัญ เช่น พระมหากัสสปะ พระสารีบุตร พระโมคลานะ หรืออื่นๆ ที่เกิดในวรรณะพราหมณ์ ก็มาเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า และฝ่ายศาสนาพราหมณ์เขาก็พยายาม ที่หาทางต่อรูปมาเรื่อยๆ พยายามปรับปรุง คำสอนของเขา เลียนแบบพุทธศาสนา โดยเฉพาะพระพราหมณ์ที่สำคัญคือ ศังกราจารย์ สมัยที่มหาวิทยาลัยนาลันทาเจริญรุ่งเรืองเรื่องการศึกษา ศังกราจารย์ก็มาเรียน ศึกษาที่มหาลัยนาลันทา แล้วก็ไปปรับปรุงรูปแบบให้ศาสนาพราหมณ์ใช้ได้กับพระ แล้วก็เปลี่ยนคำสอนว่า ไม่ต้องสนใจพุทธศาสนาหรอก พระพุทธเจ้านี่ เป็นพระนารายณ์อวตาร มาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะกลืนพุทธศาสนา ประกอบกับพวกมุสลิมบุกเข้ามาในอินเดีย แล้วก็มาทำลาย พุทธศาสนาก็เรียกว่า พระสงฆ์ถูกฆ่าตาย จำนวนมากมายอพยพหลบหนี ไปอยู่ที่อื่นก็มี เช่น บังคลาเทศ ก็มีพระสงฆ์ที่มาอยู่ในบังคลาเทศ เคยมาที่นี่ มีน้อยมาก ท่านบอกว่า ท่านเป็นพระสงฆ์ที่สืบเนื่องมา เป็นร้อยปี พันปี มาอยู่ที่บังคลาเทศ แล้วพระสงฆ์ในบังคลาเทศก็ถูกเบียดเบียน เคยมีหนังสือมาที่นี่ มาขอความเห็นใจ เราก็ช่วยไม่ได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ค่อยๆดีขึ้น พระพุทธศาสนาที่เสื่อมไปจากอินเดียเพราะหลายเหตุ หลายปัจจัย ที่สำคัญที่สุดคือ พระสงฆ์นี่อ่อนแอก่อน เพราะลาภสักการะนั่นเอง งั้นพวกเรามาอยู่ที่สวนโมกข์ต้องระวังเรื่องนี้ แม้มาอยู่กันนานๆ แต่ถ้าไปสนใจเรื่องลาภ เรื่องสักการะ เรื่อง ชื่อเสียง มันลวงโลก มันก็ก้าวหน้าไม่ได้
เดี๋ยวนี้ในประเทศอินเดียก็เกิดชาวพุทธใหม่ อย่างท่านอินเดียที่มาอยู่ที่นี่ ปัญจศีล ท่านก็ไปบรรยาย เพราะว่าท่านไปบรรยายกับฝรั่ง 2 ครั้ง ท่านก็ปรารภเรื่องนี้ว่าพุทธศาสนาในอินเดียเป็นมาอย่างไร เดี๋ยวนี้ชาวอินเดียเป็นวรรณะต่ำเข้ามาบวชในพุทธศาสนา ที่มีแล้วประมาณราว สิบล้านคน มีพระสงฆ์ก็ไม่น้อยกว่าพันรูปเกิดขึ้นในอินเดีย ก็ฟื้นขึ้นใหม่ ท่านเองนี่ เขาต้องการให้เป็นประธานสงฆ์ ท่านก็ยังไม่เต็มใจ ว่าจะทำหน้าที่อย่างนั้น นี่คือพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย พุทธศาสนาที่มาอยู่ประเทศไทยเราไปศรีลังกา โดยเฉพาะประเทศศรีลังกานี่ มันเคยมีประเทศมหาอำนาจมาปกครองประเทศศรีลังกา เรียกว่าเป็นร้อยปีก็ว่าได้ ประเทศไทยเราเรียกว่าโชคดี ที่ไม่มีชาวต่างชาติมาปกครอง ประเทศไทยเป็นอิสระเรื่อยมา 7-800 ปีนี่ก็น่าสนใจมากว่าทำไมประเทศไทย รอดจากการล่าเมืองขึ้นในสมัยก่อน ก็นับว่าเป็นโชคดี ก็มีเหตุมีปัจจัยหลายอย่างเหมือนกัน โดยเฉพาะ ในรัชกาลที่ 5 ที่ประเทศมหาอำนาจ ฝรั่งเศส อังกฤษ ที่มาล่าอาณานิคม ในหลวงรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 ก็มองเห็นภัยก็พยายามที่จะแก้ไข ประเทศไทยกำลังมันน้อยจะไปต่อสู้ประเทศมหาอำนาจก็สู้ไม่ได้ อย่างพม่าก็อยากต่อสู้ก็สู้ไม่ได้ อังกฤษก็เคยปกครองพม่า ในหลวงรัชกาลที่ 5 ก็พยายามที่จะไปหาเพื่อน หาพันธมิตร เข้าช่วยป้องกันประเทศไทย เอาไว้ได้ดังนั้นประเทศไทยเราพระมหากษัตริย์ ถือว่าสำคัญมาก พระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์เป็นพุทธมามกะ ใช้นโยบายของพระพุทธเจ้ามาแก้ไขปัญหา ถ้าใช้กำลังก็สู้ไม่ได้ ก็ใช้ความดี แก้ไขปัญหาก็อยู่รอดปลอดภัยมา เดี๋ยวนี้ประเทศไทยเราอย่าคิดว่า คนอื่นไม่ต้องการผลประโยชน์ นี่ถ้าเราไม่ระวังก็จะตกเป็นทาสอีกชนิดหนึ่ง เดี๋ยวนี้เป็นทาสทางวัตถุ คนไทยเรานะเป็นทาสทางวัตถุ เพราะประเทศที่เขามีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ที่เขาก้าวหน้า เขาก็หากินกับวัตถุเหล่านี้ ถ้าเราตกเป็นทาสทางวัตถุก็ต้องเป็นทาสอื่นๆด้วย โดยเฉพาะทางด้านจิตใจ แต่ว่าที่น่าสังเกต ว่าทำไม พวกฝรั่งทั่วโลกมาสนใจพุทธศาสนา ผมออกไปสวนโมกข์นานาชาติทุกวัน แล้วก็มีฝรั่งถามปัญหามาจากหลายๆชาติ เมื่อวานก็น่าสนใจมีชาวอังกฤษ คนหนึ่งมาที่นี่ พาเพื่อนมาศึกษาเขามาอยู่เมืองไทยหลายปี ทำงานรู้สึกว่ากรมศิลปากร เป็นคนอังกฤษเขาว่าสนใจพุทธศาสนาเหมือนกัน ประเทศอังกฤษเคยเป็นประเทศมหาอำนาจ เคยปกครองอินเดีย ปกครองฮ่องกง ปกครองพม่า แต่ว่า เดี๋ยวนี้ประเทศอังกฤษนี่ เหลือแต่เกาะอังกฤษ อาณานิคมก็หลุดไปหลุดไป นี่คือสังขาร มันไม่แน่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัพเพสังขาราอนิจจา สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง
อังกฤษเคยมาปกครองอินเดีย และมาขุดค้นโบราณวัตถุก็ได้เห็นร่องรอยของพุทธศาสนา หลายๆแห่ง เช่น ที่ สาญจีก็ได้พบร่องรอย พุทธศาสนา เพราะฉะนั้นประเทศอังกฤษ เขาตั้งสมาคมศึกษาภาษาบาลีแล้วก็แปล พระไตรปิฎก จากภาษาบาลีมาเป็นภาษาอังกฤษ นี่คือคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นคำสอนที่ประเสริฐมีอยู่ในโลก เพื่อแก้ปัญหาให้มนุษยชาติ ฝรั่งที่มาอบรมที่สวนโมกข์นานาชาติมาจากทั่วโลก ประเทศอาร์เจนตินา ประเทศฝรั่งเศส ประเทศเยอรมัน ประเทศอเมริกา ก็น่าสนใจ เดี๋ยวนี้คนอินโดนีเซียก็มา ที่มาเข้าคอร์ส แต่ละเดือนๆ แล้วที่น่าสังเกตว่า หนังสือ National Geographic เป็นหนังสือที่มีชื่อเสียง พิมพ์มาหลายสิบปี มาลงข่าว เอาข่าวเรื่องการฝึกสมาธิ กับประโยชน์ของการฝึกสมาธิมีประโยชน์อย่างไร ก็บอกว่า ถ้าฝึกสมาธิได้ วันหนึ่ง 5 นาทีจะลดความเครียดจะลดปัญหาต่างๆได้มากมาย เพราะฉะนั้น ประเทศใหญ่ๆที่นิยมประชาธิปไตย อย่างประเทศอเมริกา ฟังข่าวว่า อยู่ๆก็ใช้ปืนไปกราดยิง เพื่อนตายเป็นสิบๆ ที่หนังสือพิมพ์ลงข่าวเมื่อวาน ว่าไปกราดยิงสองแห่ง ตายไปแล้ว สามสิบกว่าคน เพราะฉะนั้นผมเคยพูดว่า การปกครองแบบไหนก็ตามถ้าไม่ประกอบด้วยธรรมะ มันก็ไปไม่รอด ไม่ว่าเผด็จการ ไม่ว่าสังคมนิยม ไม่ว่าประชาธิปไตย ไม่ว่าคอมมิวนิสต์ ถ้าไม่ประกอบด้วยธรรม มันก็ไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลที่ประเสริฐที่สุดก็คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข ของคนจำนวนมาก
เดี๋ยวนี้คนทั่วโลก ฝรั่งทั่วโลก ก็สนใจพุทธศาสนา เดี๋ยวนี้ที่น่าสนใจเหมือนกัน เขาใช้วัตถุสมัยใหม่ๆนี่เป็นเครื่องมือ เผยแพร่พระพุทธศาสนา เช่นลูกศิษย์ของท่าน ดาไลลามะ ก็ใช้คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือสอนธรรมะ ผ่านสิ่งนี้ นี่อย่างมีริชาร์ด ริชาร์ดเป็นคนอเมริกันเคยบวช เคยมาอยู่ที่นี่ด้วยแล้วมาบวชหลายปีแล้วสึกออกมา ตอนนี้มาอยู่เกาะพงัน ริชาร์ดก็ใช้เครื่องมือเหล่านี้ สอนสมาธิผ่านทางคอมพิวเตอร์ ทางโทรศัพท์มือถือ ก็มีคนสนใจ มากขึ้นๆ ฉะนั้นอุปกรณ์เครื่องมือเหล่านี้ ถ้าใช้เป็น จะเป็นวิทยุ จะเป็นโทรทัศน์ จะเป็นคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ถ้าใช้เป็น มันก็มีประโยชน์ สิ่งเหล่านี้ มันเป็นของกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว อย่างรถนี่ ที่คนผลิตขึ้นมาได้ก็มาจากมนุษย์ เหมือนๆเรานั่นเอง แต่ไม่ใช่เราทำเอง ก็พยายามคิดค้นกันมานานจะทำอะไร ให้มีรถใช้ อย่างเครื่องบินอย่างนี้ก็คิดค้นกันมานาน แล้วก็มีเครื่องบินเพื่อว่านั่งไปที่นั่นที่นี่ ก็มาจากมนุษย์ที่เกิดบนโลกนี้ที่เหมือนกับพวกเรา ถ้าเขาก็พยายามคิดค้นแล้วต่อยอด จนกระทั่งเกิดวัตถุเหล่านี้ วัตถุเหล่านี้มันเป็นของกลางๆ ไม่ดีไม่ชั่ว แต่ว่าถ้าคนจิตใจ ถูกกิเลสครอบงำก็ใช้วัตถุเหล่านี้ เป็นเครื่องมือสร้างปัญหา นั่งรถไปเพื่อจะไปฆ่าเขา จะไปวางระเบิดก็นั่งรถกันไป นั่งเครื่องบินกันไป เพราะจิตใจนี่ มันมีกิเลสเข้ามาอยู่
พุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนที่สำคัญคือเรื่องจิตใจ มโนปุพพัง มโน คมา ธัมมา มโน เสฏฐา มโน มยา ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นประธานทุกอย่างอยู่ที่ใจ วัตถุนี่ก็มาจากจิตใจของมนุษย์นั่นเอง วัตถุที่เกิดขึ้น ก็เพราะมนุษย์ คิดขึ้นในจิตใจคงจะเห็นนกบินได้ ก็เลยคิดว่าทำไง ให้นั่งบินคล้ายๆนก เห็นปลาอยู่ในน้ำ ไปได้ก็คิดเรือดำน้ำ อย่างนี้มนุษย์มันคิดกันมาเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ เค้าออกไปสำรวจนอกโลก ก้าวหน้ามาก ถึงสำเร็จขนาดนี้ มันยังดับทุกข์ไม่ได้ ทุกข์มันใหญ่ ดับไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นี่ ก็คือเรื่อง ทุกข์ เรื่องเหตุให้ทุกข์เกิด เรื่องความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ เรื่องทางถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อยู่ในชีวิตของมนุษย์เรานะ ตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นบนโลกนี้โบราณนานไกล แล้วก็ปัจจุบันนี้ และต่อไปข้างหน้าเหมือนกันหมด ที่เรามีความทุกข์ ก็เพราะกิเลสมันเข้ามาเบียดเบียน จิตใจ งั้นพวกเราอยู่ในสวนโมกข์ ก็ดู ก็อยู่กันมามาหลายๆปี บางคนเป็นพระใหม่ นี่เข้ามานี่เป็นเวลาเกือบเดือนหนึ่งแล้ว จิตใจมันเปลี่ยนแปลง ก้าวหน้าไปได้อย่างไร แต่ว่าพวกคุณมีเวลา กำหนดไว้ว่าเป็นเวลา 3 เดือนเวลาสิกขา แล้วก็พยายามถ้าทำให้ดีที่สุด ก็ได้รับประโยชน์กลับไป เอาไปใช้ในชีวิต ฆราวาส สำหรับพระที่บวชไม่มีกำหนด อันนี้ต้องไม่ประมาท ว่าวันคืนผ่านไปๆ มันแก่ลงทุกวัน ถ้าเราไม่ก้าวหน้าในทาง พรหมจรรย์ มันก็เสียเวลามากๆ งั้นขอให้ทุกองค์ทุกท่าน อย่าได้ประมาทเลย ให้สนใจปฏิบัติธรรม ถ้าปฏิบัติธรรมที่ได้ผล ต้องสนใจเรื่องอริยสัจนี่อีก ว่าทุกข์มันเป็นอย่างไร เหตุแห่งเกิดทุกข์มันเป็นอย่างไร ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างไร ทางถึงความดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าบอกว่า พระองค์ตรัสว่า อย่าไปคุยเรื่องอื่นให้คุยเรื่อง อริยสัจ เรื่องอื่นไม่จำเป็น
พระสงฆ์มีหลักอยู่สองอย่าง ถ้าพูดก็ต้องพูดธรรมะ กถาวัตถุ ถ้อยคำที่ควรพูด พูดเรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญา เรื่องมักน้อยสันโดษ อย่าไปคุยกันเรื่องอื่น ถ้ามิฉะนั้น ก็นิ่ง การนิ่งมากๆนะจะมีประโยชน์ การพูดมากย่อมผิดมาก คนไหนพูดมากก็ต้องพูดผิดมาก ก็ต้องพูดให้น้อย เมื่อมาอยู่กับท่านอาจารย์ ท่านอาจารย์ไม่ค่อยพูด ท่านนั่งเฉยๆ ที่ม้าหิน ใครมาท่านถามมาธุระอะไร ก็บอกมาเที่ยว ท่านบอกว่าไปดู ถ้าเขามาถามปัญหา ท่านก็ตอบปัญหา แล้วเวลาท่านพูดธรรมะ พูดเป็นชั่วโมง ๆ ก็ได้ บรรยายครั้งหนึ่ง สามชั่วโมงก็ได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านรู้จักกาลเทศะว่าบุคคล ประเภทไหนควรพูดอย่างไร ว่าบุคคลประเภทไหนที่ไม่ควรพูด ท่านปฏิบัติให้ดู อยู่เป็นตัวอย่าง พวกคุณนี่ไม่ได้มีโอกาส มาเห็นท่านอาจารย์พุทธทาส
ผมนี่เรียกว่าโชคดีมากๆ ได้มาอยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาส ทั้งๆที่ไม่มีความรู้อะไร ไม่มีความสามารถอะไร แต่เพราะมาอยู่ในสวนโมกข์ ท่านอาจารย์ฝึกฝนอบรมผมก็มีโอกาสดี มาอยู่ที่สวนโมกข์นี่ คนที่มีความรู้มาอยู่ ผมก็ไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ พยายามศึกษาเรียนรู้ทุกวันๆ จึงพอทำอะไรได้ เพราะความพยายาม ผมจึงมาเตือนพวกคุณว่า มาอยู่สวนโมกข์ ให้ทุกองค์ได้รับประโยชน์ เรียนรู้เรื่องปริยัติ ปริยัตินะต้องเรียน เรียนรู้ให้ถูกต้อง โดยเฉพาะหนังสือ อริยสัจจากพระโอษฐ์เป็นหนังสือที่มีค่ามาก พระที่มาบวชนานๆ ควรสนใจอ่าน อ่านให้หลายเที่ยว ผมอ่านอยู่เป็นประจำ อริยสัจจากพระโอษฐ์ ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ ขุมทรัพย์จากพระโอษฐ์ พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ เป็นประเภทพระไตรปิฎก อ่านทุกวัน เราอ่านแล้วบางทีมันก็ลืม ก็อ่านใหม่ นี่มาอยู่ที่สวนโมกข์ ให้วันคืนผ่านไป ผ่านไป ทำให้จิตใจมันก้าวหน้า ทำประโยชน์ตัวเอง ทำประโยชน์ผู้อื่น
เอาละครับผมก็มีเรื่องพูดได้ทุกวัน ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน หัวใจสำคัญคือรู้เรื่องทุกข์ ให้มากขึ้น เพราะทุกข์มันมีสองอย่าง ทุกข์ทางร่างกายเนื้อหนัง เราก็มีกันทุกคน ก็พยายามรักษาใช้ยาอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าทุกข์ทางด้านจิตใจนี้ ยาทั่วๆไปใช้รักษาไม่ได้ ต้องธรรมโอสถคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ต้องสังเกตดูว่าทำไมจิตจึงเป็นอย่างนี้ ก็มาจากอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ราคะ โทสะ โมหะ นั่นเอง ก็พยายามป้องกัน ก็คือปฏิบัติที่อริยมรรค สัมมาทิฏฐิ มีความเห็นที่ถูกต้องมากขึ้นๆ สัมมาสังกัปปะนี่ตัวสำคัญ พยายามดำริให้เป็นกุศล ดำริออกจากกาม ดำริในการไม่พยาบาท ดำริในการไม่เบียดเบียน พยายามควบคุมจิต เปลี่ยนจิต ถ้าจิตคอยดำริในเรื่องกาม เรื่องสวย เรื่องงาม เรื่องหญิง เรื่องชาย เรื่อง เพศ กามารมณ์ ที่จะก่อไปไม่ได้ ตกอยู่ในกิเลสกาม โทสะ บางทีมันเกิด ต้องเปลี่ยน รู้จักเปลี่ยน เปลี่ยนจิตใจให้มันออกจากกิเลส อย่าให้มันจมอยู่ ในกิเลส อยู่ที่ปรับปรุงจิตใจ อย่ามองคนในแง่ร้าย มองคนในแง่ว่าเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บตาย มองคนในแง่ดี เพราะในแต่ละคนไม่ใช่มีชั่วทั้งหมดต้องมีดีอยู่บ้าง ก็มองในแง่ดีของเขา แง่ไม่ดีไม่จำเป็นต้องเอามาคิดมานึกนี่วิธีหาความสุขทางด้านจิตใจ ถ้าอยู่กันมากๆคอยจับผิด คอยมองในแง่ร้ายนี่ หาความสุขไม่ได้เลย งั้นต้องระวัง ต้องพยายามที่มีเมตตา ให้มากๆ เมตตานี่เป็นคู่ปรับ ของกิเลสประเภท โทสะ ปฏิฆะ อบรมให้เกิดปัญญา โดยเฉพาะให้จิตมันเห็น ว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลาย ทั้งปวงเป็นอนัตตา เรียกว่าอบรมวิปัสสนา นี่เป็นตัวพรหมจรรย์ โดยเฉพาะตัว อริยมรรค รวบลงในสมถะ และ วิปัสสนา เวลาต่อไปนี้เล็กๆน้อย ก็ปฏิบัติกัน ที่ฝรั่งเขาเขียนว่า ห้านาทีนะ แต่ละวันๆ จิตใจมันคลายเครียด จิตใจไม่มีกิเลสรบกวนซัก 5 นาที มันจะมีค่ามาก คนที่ตัดสินผิด ฆ่าตัวตาย ก็ชั่วขณะจิตนิดเดียว คิดผิดฆ่าตัวตาย คนที่ฆ่าคนอื่นก็ตัดสินใจผิด นิดเดียว ทั้งนั้น อันนิดเดียวชั่วขณะเดียวนี่ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ สำคัญมาก พยายามรักษาจิตไว้ตลอดเวลา พระพุทธเจ้าสอนว่าเหมือนอย่างบุคคลคนหนึ่ง ทูนน้ำมัน ทูนน้ำมันเต็มภาชนะ แล้วเดินผ่านไปในงานที่เขาประกวดนางงามกัน แล้วก็มีคนเดินตามหลังถือดาบตามหลัง คนที่เดินตามหลังบอกว่า ถ้าคุณทำน้ำมันให้หกเพียงนิดเดียว ฉันจะตัดคอ คนนี้ต้องระวังมาก เขาประกวดนางงามกันจะไปสนใจนางงามไม่ได้ ต้องไปสนใจเท้าที่เดิน เพราะว่าศีรษะทูนน้ำมัน พระพุทธเจ้าสอนให้ฝึกสติถึงขนาดนี้ เพราะต้องใช้ทุกเมื่อ สตินี่สำคัญมาก ถ้าเราทำผิดพูดผิด คิดผิด สติมันไม่พอ ป้องกันจิตไว้ไม่ได้ มันกำพืด อานาปานสติ ก็คือ ฝึกสตินั่นเอง ฝึกสติปัฏฐาน 4 ลำดับต่อไปก็ปฏิบัติ ฝึกทุกวัน ฝึกไปเรื่อยๆ หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา นั่นนะครับ ปฏิบัติกันต่อไปนี้