แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
และต่อไปนี้ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ เจ้านาคทุกคน แม่ชี อุบาสก-อุบาสิกา พร้อมทั้งนักศึกษาที่เข้ามาพักแรม อยู่ที่สวนโมกข์แห่งนี้ จงตั้งใจเตรียมตัวที่จะปฎิบัติธรรม ในเวลาที่ดีที่สุด คือเวลาหัวรุ่ง สวนโมกข์เกิดขึ้นมาก็เพราะท่านอาจารย์พุทธทาส ถ้าไม่มีท่านอาจารย์พุทธทาส สวนโมกข์มีไม่ได้ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านพูดว่า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ท่านก็มีไม่ได้ งั้นพวกเราเป็นชาวพุทธ เป็นพุทธบริษัท มาจากพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่เกิดขึ้นในโลก ชาวพุทธก็ไม่มี
ชาวพุทธมีอยู่ 4 ประเภท คือ เป็นนักบวชเป็นภิกษุ นักบวชผู้ชาย เป็นภิกษุณีนักบวชผู้หญิง เป็นอุบาสก - อุบาสิกา หรือว่าเป็นพุทธบริษัท เรียกโดยย่อว่าชาวพุทธ ก็มาจากพระพุทธเจ้านั่นเอง นอกจากนั้น วัดวาอารามต่างๆ ในพระพุทธศาสนามากมาย ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า วัดวาอารามก็จะไม่มี ที่สำคัญที่สุด คือคำสอนธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์พระไตรปิฎก ถ้าไม่มี พระพุทธเจ้า คำสอนเหล่านี้จะไม่มี เพราะฉะนั้นบุคคลเอกและอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ สองพันกว่าปีมาแล้ว แต่ว่าสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ คือพระธรรมคำสอน ยังมีอยู่ ยังเป็นที่พึ่งของมวลมนุษยชาติจำนวนมากมาย โลกปัจจุบันนี้เป็นโลกที่เจริญก้าวหน้า ตามวัตถุ เนื่องจากมนุษย์ได้ศึกษาเรียนรู้มีการค้นคว้า จากระบบวิทยาศาสตร์ เอามาทดสอบเอามาพิสูจน์ และก็ผลิตทีมต่างๆขึ้นมาเรียกว่า วิทยาศาตร์ เทคโนโลยี ประดิษฐ์คิดค้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ทำให้มนุษย์นี่มันสะดวก ถ้าเปรียบเทียบกับคนโบราณ ประมาณร้อยกว่าปี สองร้อยกว่าปีมานี้ แตกต่างกันลิบลับ คนโบราณอะไรก็ต้องใช้เรี่ยวใช้แรงใช้กำลังของตัวเอง จะเป็นชาวนาเป็นชาวสวนก็เหมือนๆกัน เดี๋ยวนี้การทำงานต่างๆใช้เครื่องจักร คนเหนื่อยน้อยมาก เครื่องจักรมันทำงานแทน การเดินทางเมื่อก่อนคนใช้เท้าของตัวเองเดินไป อย่างดีก็อาศัยสัตว์เป็นพาหนะ มีม้า มีช้าง เดี๋ยวนี้นั่งรถ ไม่ว่าฝนตกฟ้าร้อง ไม่มีปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น เดี๋ยวนี้มนุษย์เดินทางโดยเครื่องบิน เดินทางไปประเทศนั้น ประเทศนี้ นั่งเครื่องบินไป จะว่าทุกคนก็ว่าได้ มีเครื่องมือสื่อสารเช่นโทรศัพท์มือถืออยู่ที่เนื้อที่ตัว ต้องการจะรู้อะไร เดี๋ยวนี้แม้แต่การซื้อการขาย ต้องการจะซื้อสิ่งของก็สั่งทางโทรศัพท์มือถือทางออนไลน์ เรียกกว่าสะดวกสบายมาก
เราลองคิดดูว่า วัตถุเหล่านี้มันเกิดจากใคร ใครเป็นผู้ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นมา ไม่ใช่ว่าเราทำขึ้นมาได้ แต่ว่าคนไทยก็มีความสามารถประดิษฐ์คิดค้นสิ่งนั้นสิ่งนี้ก็มีเหมือนกัน แต่ว่าถ้าเปรียบเทียบ คนไทยเรากับพวกชาติตะวันตกคือพวกฝรั่ง เค้าก้าวหน้ากว่าเราเยอะมาก ทางด้านวัตถุแต่ว่าพอมาดูทางด้านจิตใจ คนไทยเรามีโชคดีที่เราได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทางด้านจิตใจคนไทยก็ก้าวหน้า มีพระสงฆ์หลายๆ รูปในประเทศไทยที่เป็นผู้ที่มีคุณธรรม และอย่างท่านอาจารย์พุทธทาส ก็รูปหนึ่ง ท่านเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ทั้งคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส เดี๋ยวนี้ก็พิมพ์เป็นภาษาต่างๆ หลายภาษา ภาษาอังกฤษ ภาษาเยอรมัน ภาษาฝรั่งเศส ภาษาจีน แปลเป็นภาษาต่างประเทศ ผมก็ได้ศึกษาเรียนรู้คำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านอาจารย์พุทธทาส เอาคำสอนของ พระพุทธเจ้า มาเผยแพร่ เพราะฉะนั้นเราเป็นคนไทย เกิดบนผืนแผ่นดินไทย เรียกว่าโชคดีมากๆ ผืนแผ่นดินไทยเป็นผืนแผ่นดินที่ดี จะปลูกข้าว ปลูกพืช ปลูกผัก ผลไม้ ก็เจริญงอกงาม สมบูรณ์ ไม่อดไม่อยาก และคนไทยเราก็มีพุทธศาสนามีวัดวาอาราม ไม่ว่าทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล วัดวาอาราม แต่เดี๋ยวนี้ก็น่าเป็นห่วงมากๆ เรียกว่าคนรุ่นใหม่ไม่สนใจสิ่งที่ดีที่งาม ที่บรรพบุรุษของคนไทยรักษากันมาเป็นร้อยๆปี คือพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ดำเนินชีวิตตามคำสอนของ พระพุทธเจ้า ปัญหาในชีวิตไม่ค่อยจะมี โลกปัจจุบันนี้เป็นโลกวัตถุนิยม เทคโนโลยี เจริญก้าวหน้าทางด้านวัตถุ แต่ว่าพอมาถึงคุณธรรม การประพฤติ การดำเนินชีวิต มันผิดจากหนทางมันเดินผิดหนทาง ก่อให้เกิดปัญหา ก่อให้เกิดความทุกข์ ในวัดนี่เมื่อก่อนมีพระมีเณรแต่ละวัดอยู่ เดี่ยวนี้มันก็มีน้อยลง น้อยลง อย่างสวนโมกข์นี่ถ้าไม่มีการบวช ถ้าไม่มีกิจกรรม ปฏิบัติธรรมอย่างนี้ สวนโมกข์ ก็เหมือนอย่างวัดทั่วๆ ไป มันก็เสื่อม แล้วมันก็กลายเป็นวัดร้าง เพราะขาดการปฏิบัติธรรมนั่นเอง ก็ต้องขอขอบใจที่ทุกคนรวมทั้งนักศึกษาที่สนใจมาปฏิบัติธรรมที่สวนโมกข์
ความจริงการปฏิบัติธรรมนี่ เราตั้งธรรมที่ชีวิตของเรานั่นเอง ธรรมที่กาย ธรรมที่วาจา ธรรมที่จิตใจ การปฏิบัติธรรมไม่ได้มาก ที่ที่เราต้องทำคือทำที่กาย ทำที่วาจา ทำที่จิตใจ เราอยู่ที่บ้านก็ปฏิบัติที่บ้าน ไปอยู่ที่โรงเรียนก็ปฏิบัติที่โรงเรียน ไปมหาวิทยาลัยก็ปฏิบัติที่มหาวิทยาลัย ไปทำงานที่ออฟฟิศสถานที่ราชการที่ไหน ปฏิบัติได้ทั้งนั้น
การปฏิบัติธรรมก็ทำเพียง 3 อย่าง ทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ อย่างไรก็ดี เราเป็นชาวพุทธเราต้องศึกษาให้เข้าใจ ว่า พระพุทธเจ้านี่ พระองค์รู้เรื่องอะไรจึงทำให้พระองค์ได้เป็น พระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าเดิมทีพระองค์เป็นแต่เพียง เจ้าชายสิทธัตถะ เป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์เกิดมาในตระกูลกษัตริย์ โคตมโคตรศากยสกุล พระองค์เป็นลูกกษัตริย์สมบูรณ์ทุกอย่าง ปราสาทราชวัง พระชายา อยู่ในปราสาทราชวัง ตอนนั้นไม่ได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ เพราะพระโพธิสัตว์คือผู้แสวงหาโพธิ โพธิ คือการตรัสรู้ เหตุที่ทำให้พระองค์ออกบวช ก็เพราะพระองค์เห็นว่ามนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาก็ต้องพบกับความทุกข์ พบกับปัญหาต่างๆ เช่น เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ไม่มีใครเลยที่จะพ้นจากความทุกข์เหล่านี้ พระองค์จึงตัดสินใจทิ้งปราสาทราชวัง ทิ้งพระชายา ทิ้งบุตรน้อย คือพระราหุล ออกไปค้นหาใช้เวลาถึง 6 ปี ไปทำอย่างนั้น ไปทำอย่างนี้ ไปศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในสมัยนั้น แต่พระองค์ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้ ในที่สุดก็ไปทรมานร่างกายแบบลัทธิเดียรถีย์ ในสมัยนั้น แทบจะเอาชีวิตไม่รอด ก็ไม่สำเร็จ ไม่ได้เป็น พระพุทธเจ้า แล้วพระองค์ก็ปรับวิธีใหม่ หันมาใช้ลมหายใจของพระองค์ พระองค์หวนระลึกนึกถึงครั้งพระองค์ยังทรงพระเยาว์ ตอนที่พระราชบิดา พระเจ้าสุทโธทนะ พาพระองค์ไปแรกนาขวัญ พระองค์มีโอกาสนั่งเงียบๆ แต่ตาจ้องไม้ แล้วก็ใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือ คนอื่นเค้าสนุกสนานในงานแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยงก็สนใจ แต่ว่าพระองค์ไม่สนใจง่วงนอน พระพี่เลี้ยงเห็นว่า เจ้าชายสิทธัตถะง่วงนอน ก็แต่งที่ให้ได้พักผ่อนและไปดูงานแรกนาขวัญ เจ้าชายสิทธัตถะเห็นพระพี่เลี้ยงไม่มีลุกขึ้นนั่งสมาธิใช้ลมหายใจเข้า หายใจออกเป็นเครื่องมือ ทำให้ได้สมาธิถึงระดับฌาน แล้วพระองค์ก็นั่งอยู่อย่างนั้น พระพี่เลี้ยงกลับมาเห็นพระกุมารนั่งสมาธิอยู่ก็ไปแจ้งให้พระเจ้าสุทโธทนะ ซึ่งไปแรกนาขวัญอยู่ทำพิธีแรกนาขวัญรีบกลับมา มาเห็นพระกุมารนั่งสมาธิเรียบร้อย พระเจ้าสุทโธทนะ ถึงกับก้มลงกราบ นี่ตามเรื่องราวของพุทธประวัติ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์สิทธัตถะ ตอนที่พระองค์ออกบวชแล้วไปทำปฏิบัติทรมานร่างกาย และก็เห็นว่าไม่มีทางจะสำเร็จ พระองค์ก็หวนระลึกถึงครั้งที่พระองค์เป็นพระราชกุมารอายุเพียง 7 ปี และใช้ลมหายใจเข้าออก เป็นเครื่องมือ พระองค์ก็ได้ตรัสรู้เพราะใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือคืออบรมจิตให้ได้สมาธิ พอจิตมีสมาธิ พระองค์ก็พิจารณาว่าความทุกข์นี่มันมาจากไหน ความทุกข์ในชีวิตของมนุษย์เรามันมาจากไหน พระองค์ก็รู้ว่าเพราะมาจากชาติ การเกิดนี่เอง ก็มาจากชาติ ชาติมาจากไหน ก็ร่ายมาเรื่อยร่ายมาเรื่อย ในที่สุดก็มาพบว่า มาจากความไม่รู้ คือ อวิชชา เพราะความไม่รู้นี่เองทำให้เกิดความทุกข์ขึ้นมา ทีนี้ถ้าทำให้เหตุที่ทำให้ทุกข์เกิดมันดับไป ความทุกข์ก็ไม่มี เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ก็เรียกว่าอริยสัจ
อริยสัจ คือ ความจริง ประเสริฐ เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์เรานี่เอง อริยสัจเนี่ย คือความจริงของชีวิตมนุษย์เรา คือความทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับไม่เหลือยังทุกข์ ตามมาถึงความดับมายังทุกข์ ทุกข์มันมีหลายอย่าง สรุปแล้วคือทุกข์ทางร่างกาย ทุกข์ทางด้านจิตใจ ความทุกข์เหล่านี้มาจากเหตุ เหตุแห่งความทุกข์ก็คือความไม่รู้ เรียกว่าอวิชชา อวิชชา ก่อให้เกิดความอยาก ความอยากก่อให้เกิดความยึดมั่น-ถือมั่น ความทุกข์ชั้นลึก มันอยู่ทีเราไปยึดมั่นถือมั่นว่าชีวิตนี้เป็นเราเป็นของเรา มันมีอยู่ลึกมาก ถ้าจิตไม่มีสมาธิจะมองไม่เห็น คนทั่วไปมองเห็นความทุกข์ตื้นๆ หยาบๆ เช่นความทุกข์ทางร่างกาย ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความหิวความกระหาย ความทุกข์เหล่านี้ยังเป็นความทุกข์ที่มองเห็นได้ง่าย และความทุกข์เหล่านี้ พระพุทธเจ้า ก็สอนวิธีที่จะเอาชนะมัน คือความทุกข์เพราะความยากจน ความทุกข์เพราะครอบครัวมีปัญหา ความทุกข์เพราะสังคมมีปัญหา ความทุกข์ระดับนี้พระองค์ก็สอนไว้หมด เช่น เรื่องทิศ 6 พระพุทธเจ้าสอนเรื่องทิศ 6 ว่าถ้าปฏิบัติตามทิศ 6 คือทิศเบื้องหน้า ทิศเบื้องท้าย ทิศเบื้องหลัง ทิศเบื้องขวา ทิศเบื้องต่ำ ทิศเบื้องบน ถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าจะแก้ปัญหาได้
ทิศเบื้องหน้า ระหว่างบิดามารดา กะบุตร ต้องปฏิบัติกันอย่างไร
ทิศเบื้องซ้าย ระหว่างมิตรกับมิตร ต้องปฏิบัติกันอย่างไร
ทิศเบื้องขวา ระหว่างศิษย์กับครูบาอาจารย์ต้องปฏิบัติอย่างไร
ทิศเบื้องหลัง ระหว่างภรรยาสามี ต้องปฏิบัติอย่างไร
ทิศเบื้องต่ำ ระหว่างลูกจ้างกับนายจ้างต้องปฏิบัติอย่างไร
ทิศเบื้องบน ระหว่างคนทั่วไปกับ นักบวช พระสงฆ์ สมณะชีพราหมณ์ ต้องปฏิบัติอย่างไร มีหลักปฏิบัติเป็นเรื่องเป็นเรื่องไป
พระพุทธเจ้า ได้สอนเอาไว้ว่าฆราวาสทั่วไป ต้องแสวงหาทรัพย์ตลอดชีวิตของมนุษย์เรา ถ้าเราไม่มีอาหารกิน ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ไม่มีบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัย ไม่มียารักษาโรคทางร่างกายก็มีความทุกข์มาก มีปัญหามาก ทุกข์ระดับนี้คนก็เข้าใจ แม้แต่รัฐบาล รัฐบาลก็มุ่งมั่นตั้งใจให้คนมีกินมีใช้ มีอาชีพการงาน นี่ระดับธรรมดา พระพุทธเจ้าก็สอนไว้นานแล้ว ถ้าต้องการมีทรัพย์ก็ต้องเว้นอบายมุข ไม่ประกอบอบายมุข ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ก็ต้องเว้นเด็ดขาด แล้วเปิดทางมาหาเหตุแห่งโภคทรัพย์ คือขยันหาทรัพย์ ไม่เห็นแก่หนาวแก่ร้อน แก่เหลือบแก่ยุงหาทรัพย์แสวงหาทรัพย์ ได้ทรัพย์มาต้องรักษาให้ทรัพย์มันคงอยู่ จะทำได้แบบนี้ต้องคบแต่คนดี เป็นอยู่พอดี ถ้าปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ปัญหาเรื่องความทุกข์ เรื่องอดเรื่องอยากมันก็แก้ไขได้ ไอ้ความทุกข์ชั้นลึกชั้นจิตใจนี่มันยังต้องเข้าใจธรรมะที่สูงกว่านี้ สมมติว่าใครไม่ว่ารัฐบาลไหนทำให้ทุกคนร่ำรวยกันหมด ไม่มีใครยากจนเลย เรื่องเงินเรื่องทองเรื่องสิ่งของทำให้สังคมไม่มีการทะเลาะวิวาท แต่ว่าปัญหาส่วนตัวของแต่ละคนก็ยังมีอยู่ ถ้ายังยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเราอยู่ ความทุกข์มันไม่ดับ ความทุกข์ชั้นลึกนี่ต้องปฏิบัติธรรมะอีกระดับหนึ่งก็เรียกว่า ระดับโลกุตระ
ธรรมะที่พระพุทธเจ้า สอนมันมี 2 ระดับ ระดับโลกียะ ระดับศีลธรรมคือไม่ทำความชั่ว ทำความดี 2 ระดับนี้เป็นระดับโลกียะ ส่วนระดับสูงระดับเอาชนะความทุกข์ได้ คือทำจิตให้ขาวรอบ
ที่นี้การปฏิบัติธรรม คือปฏิบัติอย่างนี้ ไม่ทำความชั่วความชั่วนั้นไม่ทำ ความชั่วที่มนุษย์ทำกันทำทางกาย ทำทางวาจา ทำทางด้านจิตใจ ทางกาย คือ ไปฆ่าเขา ไปลักของเขา ไปล่วงเกินของรักของเขา ทางวาจา คือพูดโกหก พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาย พูดเพ้อเจ้อ นี่คือทางวาจา ก็มาจากจิตใจนั่นเอง มาจากจิตใจที่กิเลสมันเข้ามาอยู่ จิตเดิมของทุกคนมันเป็นจิตที่ดี เป็นจิตผ่องใสไม่มีปัญหา ถ้าเรารักษาจิตไว้ไม่ได้ปล่อยให้กิเลสมันเข้ามาอยู่ มันก็เข้ามาทำลายให้จิตใจมีปัญหา จิตมีปัญหาเพราะอะไร เพราะจิตมันมีความโลภ มีความกำหนัดรักเรียกว่า มีโลภะ มีราคะ และก็มีโทสะ และก็มีโมหะ พอกิเลสเข้ามาอยู่ จิตมันก็สั่งงานให้กายกระทำให้มีคำพูด ก็ทำผิดทุจริตปัญหามันก็เกิด ลองสังเกตุดูว่าคนที่ต้องติดคุกติดตาราง ต้องมีปัญหาก็ทำผิดเรื่องนี้ทั้งนั้น ไปฆ่าเขา ไปลัก ลักของเขา ไปล่วงเกินของรัก ผิดลูกผิดเมียของผู้อื่น พูดโกหก พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดไม่มีสาระประโยชน์ ก็มาจากจิตใจที่มีกิเลสเข้ามาอยู่นั่นเอง ทีนี้ก็ความชั่วก็ไม่ทำ
การปฎิบัติธรรมคือไม่ทำความชั่ว แล้วก็ทำดี ทำกุศลคือตรงกันข้ามไม่ฆ่าก็ต้องมีเมตตากรุณา ไม่ลักไม่ขโมยก็ต้องยินดีของของตน สัมมาอาชีวะ ยินดีที่จะแบ่งปันยินดีที่จะให้ ไม่ล่วงเกินของรัก ก็เห็นโทษว่าการไปหมกมุ่นมัวหมอง อยู่ในกามคุณทั้งหลายนั้นมันเป็นโทษ โรคภัยไข้เจ็บนานาประการก็เห็นโทษ แล้วก็ไม่พูดเท็จ ก็พูดแต่วาจาสัตย์ พูดแต่คำจริง ไม่พูดคำหยาบก็พูดจาอ่อนหวาน ไม่พูดยุยงเขาแตก พูดหาทางให้เขาสามัคคีกัน ไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดในสิ่งที่เป็นสาระประโยชน์ ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ปัญหาในสังคมจะไม่มีเลย แล้วปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ว่าที่ไหนมาจากไม่ปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมคือ ธรรมในชีวิตประจำวันไม่ว่าเราอยู่ที่ใหน ถ้าทำได้อย่างนี้เรียกว่าทำกุศล ทำคุณงามความดีชีวิตก็มีความสุข ความทุกข์ก็น้อยลง แต่มันยังมีความทุกข์ที่เกิดจากจิตมันยึดถือ ว่าเป็นเราเป็นของเรา งั้นต้องปฎิบัติธรรมอีกระดับหนึ่งคือ เจริญสมาธิภาวนา นั่นเอง สวนโมกข์เป็นที่ปฏิบัติธรรม เราจึงมีกิจกรรมปฎิบัติธรรมตามเวลาที่เหมาะสม ตอนเช้าอย่างนี้ ตอนบ่ายโมง บ่ายสองโมง ตอนเย็น ถ้าต้องการปฎิบัติให้มากขึ้น ไปปฎิบัติที่สวนโมกข์นานาชาติ มีญาติโยมคนใดไปเข้าคอร์สวันที่ 19 ถึงวันที่ 27 ไปฝึกวันหนึ่งหลายๆชั่วโมง ขณะนี้ชาวต่างประเทศมาอยู่ประมาณ 60 คน ก็ฝึกสมาธิ ตื่นเช้าขึ้นมาก็ฝึกสมาธิภาวนา นั่งสมาธิบ้าง เดินจงกรมบ้าง เรียกว่าฝึกเข้มที่สวนโมกข์แห่งนี้ ฝึกตามมีตามได้ก็คือทำจิตใจให้มันขาวรอบนั่นเอง
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นหลักที่เราจะต้องปฏิบัติต้องรู้ 1) ไม่ทำบาปทั้งปวง 2 ) ทำกุศลให้ถึงพร้อม 3) ทำจิตใจให้ขาวรอบ จิตใจจะขาวรอบคือ ทำให้กิเลสมันออกไปจากจิตใจได้ก็ต้องเข้าใจเรื่องอริยสัจ ความทุกข์มันเป็นอย่างนี้อย่างนี้ เหตุเกิดทุกข์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ความดับไม่ให้ทุกข์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ ทางไปถึงความดับไม่ให้ทุกข์เป็นอย่างนี้อย่างนี้ นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ที่สำคัญที่สุดก็คือหนทาง เรียกว่า มรรค หรือ อริยมรรค เป็นสิ่งสำคัญ ใครก็ตามเมื่อปฎิบัติอยู่ในอริยมรรค มีสัมมาทิฏฐิ-เห็นชอบ สัมมาสังกัปโป-ดำริชอบ สัมมาวาจา-พูดจาชอบ สัมมากัมมันโต-การงานชอบ สัมมาอาชีโว-เลี้ยงชีวิตชอบ สัมมาวายาโม-พากเพียรชอบ สัมมาสติ-ระลึกชอบ สัมมาสมาธิ-ตั้งใจมั่นชอบ ก็จะเข้าใจเรื่องอริยสัจได้ ถ้าไม่ได้ปฏิบัติอยู่ในอริยมรรค ไม่มีทางจะเข้าใจเรื่องอริยสัจได้ อริยมรรคมีองค์ 8 รวบรวมอยู่ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา การปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติให้มีศีลและก็มีสมาธิ และมีปัญญา ปัญญาสูงสุดก็คือเข้าใจว่าทุกข์มันคืออะไร
ทุกข์มีหลายอย่าง ทุกข์นี่สำคัญ เพราะว่าเรามันยึดถือว่าเป็นเราเป็นของเรานั่นเอง ความทุกข์นี่มาจากอวิชชา ถ้าไม่มีความรู้ที่ถูกต้อง เมื่อมีอวิชชาก็ก่อเกิดตัณหา ก่อให้เกิดการยึดมั่นที่ถือมั่นอุปาทาน การดับทุกข์ก็คือการดับอวิชชา ตัณหา อุปาทาน อวิชชา ตัณหา อุปาทานจะดับก็เพราะปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา เรียกว่าปฎิบัติอริยมรรคมีองค์8 โดยย่อก็คือ สมถะ และ วิปัสสนา ก็เรียกว่าทางสายกลาง การดำเนินชีวิตของชาวพุทธ ถ้าดำเนินด้วยทางสายกลาง ปัญหาก็จะมีน้อย ทีนี้ชาวพุทธไม่ได้เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ดำเนินชีวิตผิดก็เกิดปัญหามากมาย พ่อแม่มีลูก โตขึ้นมาที่จะได้ช่วยเหลือทำงานทำการ เข้าไปติดคุกติดตารางเป็น 10 ๆ ปีก็มี เพราะไปค้ายาเสพติด เพราะเค้าไม่จักรู้ว่าดำเนินชีวิตเพื่อจะมีความสุข ทำอย่างไร นี่คือปัญหามันมาก ในสังคมปัจจุบัน
อย่างไรก็ดี ถ้าชาวพุทธได้อาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแก้ปัญหา ก็จะสามารถแก้ปัญหาได้ สวนโมกข์แห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายมาอยู่ในสวนโมกข์ มาศึกษาเรียนรู้แล้วก็เอาการปฏิบัติ และเอาความรู้สึกที่เรามาอยู่ที่นี่ คือคำว่าโมกข์ โมกข์แปลว่าเกลี้ยงเกลา แปลว่าสงบเย็น ติดตัวไปด้วย แล้วเอาไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน แล้วควรจะหาโอกาสฝึกสมาธิประจำวัน อย่างน้อย 5 นาที 10 นาที ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้ากับหายใจออก เพราะลมหายใจเข้ามันมีตลอดเวลา ท่านอาจารย์ชาท่านพูดว่าคนบางคนพูดว่าไม่มีเวลาปฏิบัติธรรม เพราะเขาไม่รู้ว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร ทำไมมีเวลาหายใจเข้าหายใจออก ทำไมมีเวลา แต่เวลาที่มีสติ กำหนดจิตอยู่กับลมหายใจเข้าออก ทำไมไม่มีก็เพราะไม่มีความรู้ว่าการปฏิบัติธรรมนั้นทำอย่างไร มันเป็นสิ่งที่มันไม่ยาก เราไปที่ไหน นั่งรถ นั่งเรือ นั่งเครื่องบิน อยู่ที่บ้าน ที่เรือน ลมหายใจเข้ามันมีตลอดเวลา ก็ให้จิตมีสติ หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา ตามอยู่ที่ปลายจมูกก็ได้ ลมผ่านไปผ่านมา หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา เมื่อจิตกำหนดอยู่อย่างนี้ จิตก็มีสมาธิ คือจิตบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น จิตอ่อนโยน พอได้สมาธิก็มาพิจารณาดูว่าเราจะเดินวิปัสสนา เพื่อมามองดูชีวิตของเรามันเป็นอะไร ชีวิตของเราสรุปก็คือรูป คือนาม เบญจขันธ์ ทั้งหมดนี้มันเป็นสังขาร เป็นสิ่งปรุงแต่งมันไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ก็น้อมจิตสลัดความรู้สึกว่าเราว่าของเรา อย่างลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าและหายใจออกเราบังคับมันไม่ได้ มันต้องเป็นอย่างนี้ แต่ถ้าเราไม่มีลมหายใจเข้าออก ชีวิตเนื้อหนังก็อยู่ไม่ได้ คนที่ตายก็ไม่มีลมหายใจเข้าออกนั่นเอง ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า ก็เพราะพระองค์ใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือดับทุกข์ ระบบอานาปานสติ ที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พระพุทธทาสนำมาเผยแพร่ นำมาปฏิบัติ เวลาเหลือเล็กๆน้อยๆต่อไปนี้ 4-5 นาที ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ 5 นาทีนี่ถ้าจิตมันสงบก็จะพบสิ่งที่ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้ได้ คือความดับทุกข์ ถ้าจิตมีสมาธิ เอาละตั้งใจปฏิบัติกันต่อไปนี้