แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราไม่ว่าเป็นพระภิกษุสงฆ์ แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่อยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้ตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรม ในเวลาที่ดีที่สุด คือเวลาหัวรุ่ง และวันนี้ผมก็ยังตั้งใจที่จะพูดกับพระใหม่ เพราะว่าอีกไม่กี่วันพวกเราก็ต้องข้ามไปอยู่ที่ค่ายลูกเสือ ไปปฏิบัติต่อมันเป็นตารางเวลาของผู้ที่บวชเข้ามาเป็นเวลา 1 เดือน เวลา 1 เดือนนั้นมันน้อยมากนิดเดียว งั้นก็ขอให้พวกคุณตั้งใจจะศึกษาเรียนรู้อย่างน้อยที่สุด ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ บรรพบุรุษนับถือพุทธศาสนา พวกเราเป็นลูกเป็นหลานของชาวพุทธก็ต้องช่วยกันรักษา สิ่งที่ดีที่สุดที่บรรพบุรุษของเรารักษาเอาไว้ ก็คือพุทธศาสนานั่นเอง
พระพุทธศาสนามาจากพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะโคตมพุทธะเป็นบุคคลพิเศษ เป็นบุคคลที่เลิศที่สุดบรรดามนุษย์ที่เกิดมาบนโลกนี้ พระธรรมคำสอนของพระองค์เป็นที่พึ่งของคนจำนวนมากมายมหาศาล ศาสนาในโลกนี้มีหลายศาสนา ศาสนาของคนป่าสมัยโบราณก่อนพุทธกาล ศาสนาที่นับถือผี นับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ สิ่งต่างๆ เขาถือเป็นที่พึ่ง อย่างประเทศไทยเราถ้าไปบ้านนอก บางทีถึงไม่ใช่บ้านนอกแม้ในเมืองหลวง ก็มีศาลพระภูมิ ตึกใหญ่ๆ ห้างใหญ่ๆ ก็ยังมีศาลพระภูมิตั้งอยู่เพราะความเชื่อที่ติดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ เชื่อเทวดา เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อย่างนั้นอย่างนี้ ศาสนาที่มีพระเจ้าก็มีหลายศาสนา เช่น ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์นี่ก่อนพุทธศาสนา แม้พระราชบิดา พระเจ้าสุทโธทนะ พวกศากยะทั้งหลาย ก็นับถือพราหมณ์ ศาสนาพราหมณ์มาก่อน ถ้าได้อ่านพุทธประวัติจะรู้เรื่องราว ตอนที่พระราชกุมารพระโพธิสัตว์ประสูติใหม่ๆ ก็เชื่อเรื่องพราหมณ์มาทำพิธีขนานนาม พระโพธิสัตว์เจ้าชายสิทธัตถะอย่างนี้เป็นต้น ศาสนาพราหมณ์เดี๋ยวนี้ในประเทศอินเดีย คนนับถือศาสนาพราหมณ์นี้มากกว่าศาสนาพุทธเสียอีก เดี๋ยวนี้ศาสนาพราหมณ์เขาก็ปรับตัว โดยเฉพาะไม่ว่าฮินดูเขาก็ปรับปรุงคำสอน เอาคำสอนของพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้หลายเรื่องหลายราว ศาสนาพราหมณ์เมื่อก่อนมีการบูชายัญ ฆ่าแพะ, ฆ่าแกะ บูชายัญ ในประเทศอินเดียคนส่วนใหญ่ถือมังสะวิรัต เขาไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ก็เอาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาประยุกต์ใช้ ศาสนาอิสลามก็ดี ศาสนาคริสต์ก็ดี ก็เชื่อพระเจ้าว่าสร้างสรรพสิ่ง สร้างโลก สร้างมนุษย์ ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากพระเจ้า ปัจจุบันนี้มีพวกหนึ่ง เขาปฎิญญาว่าไม่นับถือศาสนาอะไร ก็มีอยู่พวกหนึ่งเหมือนกัน แต่ความจริงเขาก็ยังมีศาสนาเป็นที่พึ่งของเขา ปัจจุบันนี้ ศาสนาที่คนนับถือมากที่สุด คือ ศาสนาคิดสตางค์ แต่ว่าไม่ใช่คริสต์ตัง ศาสนาคิดสตางค์เอาวัตถุเป็นหลัก เอาวัตถุเป็นใหญ่ว่าสิ่งที่ถูกต้องเงิน เนี่ยถือว่าเป็นเรื่องใหญ่
เมื่อหลายปีมาแล้วมีพระฝรั่งบ้าง พระอินเดียบ้าง พระอินโดนีเซียบ้าง มาอยู่กันที่นี่ หลายๆรูป วันหนึ่งเขาก็ประชุมกัน คุยกัน สนทนากันแล้วก็ตั้งปัญหาขึ้นว่า ศาสนาอะไรที่คนนับถือมากที่สุด ผมยังจำได้ มีพระป่าสาธิโก เป็นพระเยอรมัน พอดีพระองค์นี้เป็นศาสตราจารย์ แต่เขาเปลี่ยนไปนับถือศาสนาพุทธแบบทิเบต ได้มาอยู่ที่นี่หลายสิบปีมาแล้วตอนนี้อายุคงจะน่าจะ 80 ปีได้แล้ว พระนาคเสนเป็นพระอินเดีย เขาเคยมาอยู่ที่นี่ พระนาคเสน เคยแปลหนังสือของพระอาจารย์พุทธทาส แปลอานาปานสติเป็นภาษาอังกฤษ พระนาคเสน ผมมาอยู่ใหม่ ๆเนี่ย 50ปีมาแล้ว ตอนนี้พระนาคเสน ก็ตายไปแล้ว พระนาคเสนเคยไปอยู่ที่อังกฤษต่อมามาสร้างวัดที่อินเดียก็ตายไปแล้ว พระอินโดนีเชีย ผมก็จำชื่อท่านไม่ได้
วันหนึ่งก็สนทนากันว่าศาสนาอะไรที่คนนับถือมากที่สุด บางองค์ก็บอกว่าศาสนาคริสต์ บางองค์ก็บอกว่าศาสนาอิสลาม บางองค์ก็บอกว่าศาสนาพุทธมีคนนับถือมากที่สุด ท่านปาสาธิโก ท่านบอกว่าศาสนาคิดสตางค์ คนนับถือมากที่สุด และก็เป็นจริงอย่างว่า ประเทศไทยเราเรียกว่าเป็นเมืองพุทธศาสนา แต่ว่าหัวใจของคนส่วนใหญ่มุ่งแต่ที่จะหาเงิน-หาทรัพย์ แต่ว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเพราะนั้นปัญหามันจึงเกิดขึ้นมากมาจากวัตถุนิยม
พวกเรามาอยู่กันที่นี่ ถ้าสังเกตเห็นปณิธานของท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านมุ่งมั่นตั้งใจไปในทาง 3 ประการนี้ที่สำคัญมา
1. ท่านต้องการให้คนเข้าใจหัวใจศาสนาของตน ของตน
2. ทำความเข้าใจ ระหว่างคนที่นับถือศาสนาต่างกัน ว่าคนในสังคมในประเทศไทยเราก็มีการนับถือศาสนากันคนละอย่าง ไม่เหมือนกัน ทำอย่างไรจึงจะอยู่กันได้ ไม่แตกแยกไม่แตกสามัคคี ก็ต้องทำความเข้าใจกัน เอาหัวใจของแต่ละศาสนามาปรับให้เข้าใจกัน
หัวใจของทุกศาสนาต้องการให้คนดับทุกข์ได้เอง ไม่ใช่เรื่องอื่น ทำให้ความทุกข์ในชีวิตของคนมันน้อยลงแล้วก็ดับไปโดยสิ้นเชิง ศาสนาทุกศาสนาสอนให้คนมาสู่เป้าหมายอันนี้ เนี่ยหัวใจของพุทธศาสนา สูงสุดก็คือพระนิพพาน พระนิพพานนี่คือสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ไม่มีอันไหนที่สูงกว่าพระนิพพาน
ถ้าได้ยินได้ฟัง พรหมจรรย์ 10 ว่าการประพฤติพรหมจรรย์ให้ชีวิตประเสริฐเนี่ย ฉนฺทมูลกา : ก็มีฉันทะเป็นมูล เราปฏิบัติธรรมถ้าไม่มีความพอใจก็ขี้เกียจ เบื่อหน่ายทำไม่ได้ - ฉนฺทมูลกา
มนสิการสมฺภวา : มนสิการะ ต้องใคร่ครวญพิจารณาอย่างรอบคอบ มนสิการสมฺภวา มนสิการสมฺภวา นี่เป็นที่เกิด ตามเหตุได้ก็ต้องใคร่ครวญพิจารณา
ผสฺสสมุทยา : การปฏิบัติธรรมอยู่ที่ผัสสะ ผัสสะก็คือเรื่องชีวิตของเรา ตาเห็นรูป วิญญาณเกิดเป็นจักขุสัมผัส โอปังทีระวิยัง (11.00 ไม่ยืนยันตัวสะกด) เกิดเป็นโสตะสัมผัสเป็นต้น ดังนั้นการปฏิบัติธรรมสำคัญที่สุดก็อยู่ที่ผัสสะนั่นแหละ
ผสฺสสมุทยา เวทนาสโมรณา แล้วมันก็มาประชุมลงที่เวทนา เวทนานี้เป็นเรื่องใหญ่ ถ้าเราไม่เอาชนะเวทนาได้ ก็จะสู้กิเลสไม่ได้เพราะเวทนามันทำให้เกิดตัณหา ความอยาก เพราะเวทนา เวทนามันมีถึง 3 เวทนา
สุขเวทนา:เวทนาที่มันเป็นสุข- รู้สึกเป็นสุข , ทุกขเวทนา:รู้สึกเป็นทุกข์ , อทุกขมสุขเวทนา: รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์
เวทนานี้มันเป็นเรื่องสำคัญ เวทนาสโมสรณา
สมาธิปมุขา - สมาธินี่เป็นประมุข
สตยาธิปเตยฺยา - สตินี่เป็นใหญ่
ปญฺญฺตฺตรา – ปัญญานี่ว่าเป็นที่ยึด
วิมุตฺติสารา
อมโตคธา
นิพฺพานปริโยสาน นิพพานนี่มาอยู่ที่สุดท้าย นิพฺพานปริโยสานา เป้าหมายของพุทธบริษัทอยู่ที่นิพพาน แม้คนทั่วไปไม่ได้สนใจเรื่องพระนิพพานแต่ว่าชาวพุทธยังมีวัฒนธรรม ยังมีประเพณี แม้แต่คำถวายทาน นิพพานะปัจจะโย โหตุ การให้ทานของข้าพเจ้านี้จงเป็นไปเพื่อถึงนิพพาน การบวชเข้ามานี้ก็เพื่อกระทำพระนิพพานให้แจ้ง นิพพานะสัจฉิกิริยายะ การบวชนี้เป้าหมายอยู่ตรงนี้ เพื่อทำพระนิพพานให้แจ้ง
อันชีวิตฆราวาสมันมีภาระมาก เรื่องนั้นเรื่องนี้และอย่างมีหลายๆคนที่มาบวชที่วัดนี้แล้วสึกออกไป พอสึกออกไปก็ไปเห็นปัญหามันไม่สบายเหมือนอย่างอยู่ที่วัด ก็รู้กันว่าชีวิตฆราวาสมันต้องรับภาระ ครอบครัว ลูกหลาน หน้าที่การงาน เวลาที่จะปฏิบัติมันก็น้อยกว่า แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันฆราวาสบ้างคนก็ก้าวหน้ามาก ฆราวาสบางคนสามารถเป็นอาจารย์สั่งสอนผู้อื่นก็มี เดี๋ยวนี้ลูกศิษย์หลวงพ่อวิริยังค์ ก็อบรมให้เป็นคณาจารย์สอนกรรมฐาน ก็มีหลายๆ คนที่มีความสามารถแม้เป็นนักการเมือง เป็นข้าราชการระดับสูง ก็สนใจระบบของหลวงพ่อวิริยัง ก็เป็นครูเป็นอาจารย์สอนสมาธิสอนกรรมฐานได้ก็มีอยู่ที่ความตั้งใจ แต่ว่าฆราวาสส่วนใหญ่มุ่งที่จะหาเงินหาทรัพย์ก็ไม่ค่อยสนใจสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเราคือ พุทธศาสนา เมื่อพวกคุณบวชเข้ามาจงพยายามสนใจ สิ่งสูงสุดในพุทธศาสนาคือ นิพพาน
คำว่า นิพพาน นะต้องเข้าใจความหมาย ความหมายของนิพพาน คือ สิ้นกิเลส สิ้นทุกข์ คำที่แทนชื่อนิพพานมีตั้งหลายสิบคำ แต่หัวใจสำคัญก็คือสิ้นราคะ สิ้นโทสะ สิ้นโมหะ เรียกว่านิพพาน เนี่ยพวกเราบวชเข้ามาก็สังเกตดูว่า จิตแต่ละวันแต่ละวันมันมีกิเลสเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ราคะ โทสะ แล้วก็โมหะ. ราคะคือความกำหนัดรักโดยเฉพาะเรื่องเพศเรื่องกามอารมณ์ มันเกิดขึ้นรบกวนจิตใจมากน้อยแค่ไหน ราคะในสิ่งของ ทรัพย์สินเงินทองที่ยึดติด ผูกติดมันยังมีมากน้อยแค่ไหน แล้วก็โทสะความโกรธ ความหงุดหงิด ความไม่พอใจมากน้อยแค่ไหน ความหลง ความไม่รู้ ไม่เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง คือไม่เข้าใจเรื่องอนิจจัง สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง ทุกขัง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ อนัตตา ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน เข้าใจมากน้อยแค่ไหน ก็ต้องสังเกตจิตใจนี้เอง ดังนั้นการปฏิบัติธรรมที่สำคัญก็คือ การเจริญสมาธิภาวนา เนี่ยฆราวาสทั่วไปไม่ค่อยมีเวลา แต่เพราะเรามาบวชอยู่ที่สวนโมกข์เวลามันเยอะ ถ้าสนใจปฏิบัติเวลาไหนก็ได้ กุฏิทั้งหลายเป็นกุฏิกรรมฐานทั้งหมดในวัดนี้ ไม่ใช่เป็นบ้าน ที่มาอยู่สบายๆ เป็นกุฏิกรรมฐาน
คำว่ากุฏิกรรมฐาน ก็คือกุฏิสำหรับปฏิบัติธรรมอบรมจิตใจให้มีสมาธิ ให้มีปัญญา เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็ต้องมีการปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ต้องถือวินัย ถ้าไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัยมันก็ไม่ก้าวหน้าอะไร คำว่าพระแปลว่าประเสริฐ คำว่าภิกขุแปลว่าผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร คำว่าภิกขุ ภิกขุแปลได้ 2 ความหมาย แปลว่าผู้ขอ ภิกขาจาร ไปขออาหารเขา ที่เขาให้อาหารนี่เขาศรัทธาต่อพุทธศาสนา เขาศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ถ้าเราปฏิบัติไม่ถูกต้องเขาก็ไม่ใส่บาตร ไม่ถวายอาหาร มีพระบางรูปประพฤติไม่ดี ไปบิณฑบาต เขาก็เฉยเสียเขาไม่ใส่บาตรก็อยู่ไม่ได้ แต่ว่าสวนโมกข์มันมีโรงครัว บางองค์ไม่บิณฑบาตก็ได้ฉัน เพราะว่ามีโรงครัว แต่ว่ากิจวัตรเหล่านี้ก็ควรจะปฏิบัติ บิณฑบาต, กวาดวัด, แสดงอาบัติ, ทำวัตร, สวดมนต์, ขวนขวายปัจจเวกภาวนา เป็นต้น เป็นกิจวัตรก็ต้องสนใจเหมือนกัน เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็พยายามทำหน้าที่ของนักบวชให้ดี พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้เป็นขั้นเป็นตอน
1. สำรวมในปาติโมกข์ถึงพร้อมด้วย อาจาระและโคจร เห็นภัยในโทษแม้ประมาณเล็กน้อยศึกษาอยู่ในสิกขาทั้งหลายก็คือเรื่องศีล - ศีลสิกขา จิตตสิกขา เรื่องสมาธิ ปัญญาสิกขา อบรมปัญญา นี่ที่เรียกว่าบวชเป็นพระมีหน้าที่
และสำคัญที่สุดสำรวมอินทรีย์ระวังตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบกับอารมณ์ต่างๆ ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะคอยควบคุมจิตใจ ไม่ให้กิเลสมันเข้ามาได้ นี่เป็นการปฏิบัติที่สูงขึ้นไปสูงขึ้นไป แล้วมันก็ฝึกให้เป็นผู้ที่มีสติสัมปชัญญะทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน พูด นิ่ง ก้าวไปข้างหน้า ถอยกลับมาข้างหลัง คือสติสัมปชัญญะ ถ้าสนใจหาที่วิเวกฝึกสมาธิ ใช้หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าวางไว้สำหรับผู้ที่เข้ามาบวชใหม่ๆ ก็จะได้ก้าวหน้าในธรรมวินัยของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป้าหมายอยู่ที่พระนิพพาน นั้นข้อปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลสให้มันน้อยลงๆ ทั้งญาติโยมอุบาสก-อุบาสิกาที่มาปฏิบัติธรรมเช่นเดียวกัน เป้าหมายอยู่ที่พระนิพพาน ทำบุญให้ทานก็ปรารถนาอยากถึงนิพพาน ต้องเข้าใจว่านิพพานมันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่ใจนั่นเอง สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ สวรรค์ไม่ไกลอยู่ที่ใจ ไม่มีกิเลสนั่นเอง ทำอะไรใจไม่มีกิเลส ก็นิพพานก็ปรากฏขึ้นมา เราทำพระนิพพานให้แจ่มแจ้งไปแล้ว ก็กิเลสมันโมโหจิตใจอยู่ตลอดเวลา เราก็เข้ามาบวชเข้ามาก็มุ่งมั่นตั้งใจปฏิบัติให้ดีที่สุด ไม่กี่วันก็ต้องไปอยู่ ไปปฏิบัติต่อ 6-7 วัน ก็จบหลักสูตร 1 เดือนของการบวชเข้ามา หลังจากนั้นก็แล้วแต่ จะลาสิกขาหรือจะอยู่ต่อ
เมื่อเดือนที่แล้วที่มีบวชเข้ามามีองค์หนึ่ง มุ่งมั่นตั้งใจไปอยู่ที่ ตโป วันก่อนผมขึ้นไปก็ไปเจอ เป็นชาวหาดใหญ่ ตอนที่เป็นฆราวาสเรียนจบวิศวะ ได้บวชเข้ามาเดือนที่แล้วยังไม่ลาสิกขา ขึ้นไปอยู่ที่ ตโป ไปอยู่วิเวก ผมก็อนุโมทนา ก็มีความตั้งใจ ตโปทาวัน ผมไปทำเอาไว้เป็นที่ปฏิบัติธรรมที่ดีมากเงียบสงัดแต่ว่าน้อยคนที่จะไปอยู่ได้ ต้องบิณฑบาตไปตามบ้านเรือนของชาวบ้าน อาหารก็ไม่สะดวกสบายเหมือนเราอยู่ที่วัด แต่ถ้ามุ่งคิดจะปฏิบัติก็ได้ผลทางด้านจิตใจ ทุกคนก็ลองพิจารณาดูว่าเราเข้ามาบวชเนี่ย มันก้าวหน้าอย่างไร แต่อยากจะเตือนว่ามาอยู่ที่สวนโมกข์ ไม่ใช่มาอยู่อย่างฆราวาสอยู่ที่บ้านที่เรือน มาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม เพื่อทำกิเลสให้มันน้อยลงๆ เพื่อทำประโยชน์ให้มันเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น เพื่อเป็นการรักษา รักษาพระพุทธศาสนาให้ยังคงมีอยู่ในโลก
และเวลาต่อไปนี้ก็เป็นเวลาปฏิบัติหัวใจของพุทธศาสนา คือเจริญกรรมฐานและวิปัสสนา ไม่ว่าอยู่ป่า อยู่ถ้ำ อยู่บ้าน อยู่เรือน หัวใจสำคัญที่จะเข้าใจธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้ได้ก็คือ เจริญกรรมฐานและวิปัสสนานั่นเอง สมถะจะได้สมาธิ (25.50 เสียงไม่ชัดเจน) เวลาสมาธิมาก็พิจารณา สังขารให้เห็นว่ามันไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน นี่เป็นหัวใจของการปฏิบัติธรรมที่สำคัญ นอกนั้นก็เป็นส่วนสนับสนุน ส่วนส่งเสริม เกื้อกูลให้การเจริญสมถะวิปัสสนาก้าวหน้า เช่นการสำรวมอินทรีย์, การรู้จักประมาณในการบริโภคอาหารเป็นต้น ก็เพื่อสนับสนุนให้จิตมีสมาธิได้ดีเพื่อจะเกิดปัญญาวิปัสสนา เวลามันจำกัดเหลือน้อย ต่อไปนี้ก็นั่งสมาธิกัน 5 นาทีเป็นอย่างน้อย หายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา ลมหายใจเข้าออก มีตลอดเวลา ถ้าเราไม่ตาย อยู่ที่บ้าน อยู่ที่วัด อยู่ที่ไหน เหมือนกันหมด แต่ว่าน้อยคนที่ใช้ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือดับทุกข์ ลมหายใจเข้าออกนั้นเป็นเครื่องมือที่ทำให้ทุกข์ดับ ให้กิเลสมันเบาบาง ต้องขอให้สนใจปฏิบัติธรรมต่อไป