แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราทุกคนที่เป็นพระสงฆ์ทุกรูป สามเณรทุกรูป แม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ตั้งใจเตรียมตัวที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุด ทำให้นึกถึงพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส สมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ท่านจะเตือนอยู่เป็นประจำว่าช่วงเวลา 05:00 น. เป็นช่วงที่ดีที่สุด เป็นเวลาที่ดีที่สุด เป็นเวลาที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ วันหนึ่ง 24 ชั่วโมงไม่เหมือนกัน แบ่งเป็นกลางคืนและกลางวัน กลางวันพอพระอาทิตย์ขึ้นก็เริ่มกลางวัน ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นแต่บนท้องฟ้ามันเริ่มปรากฏเป็นแสงเงินแสงทอง คนที่นอนจนพระอาทิตย์ขึ้นไม่ได้เห็นปรากฏการณ์ของธรรมชาติเวลาตี 5 บนท้องฟ้าก็มีปรากฏการณ์ตามธรรมชาติเกิดแสงเงินแสงทอง มันจะปรากฏขึ้นก่อนแล้วต่อมาพระอาทิตย์ก็โผล่ขึ้นมาเป็นเวลากลางวัน พระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าคนชอบมอง ที่สวนโมกข์นานาชาติผมไปเรียกว่าทุกเช้าจะเห็นพวกฝรั่งเขาไปยืนมองพระอาทิตย์ขึ้นตอนเช้าเพราะว่ามันสวยมากเหมือนอย่างไข่แดง สามารถจะมองได้ แต่พอสายขึ้นมาโดยเฉพาะเวลาเที่ยงวันถ้าใครไปมองพระอาทิตย์ดีไม่ดีตาจะบอด แต่ว่าบุคคลบางคนก็ฝึกมองพระอาทิตย์ เมื่อหลายปีมาแล้วมีพระรู้สึกว่าเป็นชาวฟิลิปปินส์มาอยู่ที่นี่ ท่านมองพระอาทิตย์เวลาเที่ยงวันได้เป็นชั่วโมง ตาของท่านไม่เป็นอะไร คนธรรมดาถ้ามองพระอาทิตย์ในเวลาเที่ยงวันดีไม่ดีตาจะบอดเนี่ยเพราะเวลามันเปลี่ยน มองพระอาทิตย์ตอนเช้ารู้สึกสบายใจดวงอาทิตย์มันสวยมันงาม แต่ว่ามามองตอนเที่ยงมันมองไม่ได้เพราะเวลามันเปลี่ยนไปแล้ว แล้วพอพระอาทิตย์ต่ำลง ๆ เวลาบ่าย เวลาเย็น คล้าย ๆ กับพระอาทิตย์จะลับแผ่นดินคนมองพระอาทิตย์มันก็สวยงามอีก กลางวันก็หมดไป กลางคืนก็เข้ามา พอพระอาทิตย์ตกก็ถือว่าเวลากลางคืนมันก็เริ่ม ชีวิตของเรามันเกี่ยวกับเวลา กระทั่งมีนาฬิกามันคอยบอกเวลา ตามปกติของมนุษย์เราเวลากลางคืนมันเป็นเวลาหลับนอน สมัยโบราณไม่เจริญก้าวหน้าไฟฟ้าแบบนี้มันไม่มี อย่างดีก็จุดไต้จุดเทียน กลางคืนคนก็หลับนอนเป็นธรรมชาติ
แต่โลกปัจจุบันนี้มันก้าวหน้าทางวัตถุมีบางคนทำงานกลางคืนอยู่ในสถานที่มีไฟฟ้ามันสว่างแต่ว่าร่างกายมันต้องการพักผ่อนนอนหลับ มันคงง่วงนอน เพราะฉะนั้นพวกที่ทำงานกลางคืนพอกลางวันมันก็ต้องหลับนอนก็เลยนอนกลางวันกัน พวกที่นอนกลางวันก็ไม่ได้เห็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ คนที่อยู่ในที่แจ้งมีพระที่ถือธุดงค์เรียกว่าอัพโภกาสิกังคะ นอนกลางแจ้ง จะเห็นปรากฏการณ์ตามธรรมชาติ เวลาดึก ๆ มองไปบนท้องฟ้าถ้าท้องฟ้าไม่มีเมฆมีหมอกจะเต็มไปด้วยดวงดาว ท้องฟ้าประดับดาว คนทั่วไปถ้าอยู่ในบ้านในเมืองไม่ค่อยได้เห็นท้องฟ้าประดับดาวเพราะว่าไฟมันสว่าง มันบังตา แต่ว่าถ้าอยู่ในที่ที่ไม่มีแสงสว่างมองไปบนท้องฟ้าธรรมชาติมันสวยงามมาก เพราะฉะนั้นวันเวลามันก็ไม่ได้เหมือนกัน เวลาหัวรุ่งเป็นเวลาที่สำคัญ ปกติคนพักผ่อนนอนหลับก็หายง่วงนอน แต่บางคนถ้านอนไม่หลับป่านนี้ก็ยังง่วงนอนอยู่ สามเณรที่นอนอยู่ก็ลุกขึ้นได้เตรียมตัวปฏิบัติธรรม ระลึกนึกถึงว่าที่เราได้มาบวชเพราะมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าจะไม่มีภิกษุ จะไม่มีสามเณร จะไม่มีอุบาสกอุบาสิกา เพราะฉะนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เป็นพุทธบริษัททำหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนาให้ยั่งยืนอยู่ในโลก เหมือนอย่างชาวพุทธ พุทธบริษัทบรรพบุรุษของเราที่ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนามาตามลำดับ เมื่อพวกเรามาอยู่กันที่วัดสวนโมกข์ซึ่งเป็นวัดของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านมีอายุ 87 ปี ท่านบวชเข้ามาในพระพุทธศาสนาเมื่ออายุ 20 ปี ท่านก็อยู่ในชีวิตเป็นบรรพชิต 60 กว่าปี ทำหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา เผยแพร่พระพุทธศาสนา จนกระทั่งรู้จักท่านไปทั่วโลก หาพระแบบท่านอาจารย์พุทธทาสนี้น้อยมากในประเทศไทยเราที่คำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสกระจายไปทั่วโลก พวกฝรั่งทำวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกจากงานของท่านอาจารย์พุทธทาสจบไปอย่างน้อย 2 -3 คน จากผลงานของท่านอาจารย์พุทธทาส
ตอนนี้ท่านอาจารย์พุทธทาสโดยร่างกายไม่มีแล้วยังเหลือแต่คำสอนที่บันทึกเอาไว้ได้มาเปิดให้พวกเราได้ฟังกัน แล้วก็วัดที่ท่านมาสร้างเอาไว้มันสะดวกสบาย การเข้ามาอยู่ในสวนโมกข์ก็ต้องการให้ได้รับประโยชน์ ต้องมาอยู่เพื่อปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมก็คือทำชีวิตของเราที่เราได้มานี้ให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ชีวิตของเราที่ได้มานี้ได้มาจากธรรมะ ธรรมะอย่างไร ร่างกายก็เป็นธรรมะ จิตใจก็เป็นธรรมะ เป็นของดีทั้งสิ้นตัดทิ้งไม่ได้เลย อวัยวะที่เราได้มา เป็นมือ 5 นิ้วแต่ละข้าง ตัดนิ้วใดนิ้วหนึ่งทิ้งไม่ได้ นิ้วเท้าข้างละ 5 นิ้วก็ดีทั้งนั้น เป็นเท้า เป็นมือ เป็นแขน เป็นขา เป็นอวัยวะภายใน เป็นของดีทั้งนั้น เว้นไว้แต่ผม ผมบนศีรษะบางทีต้องตัด ไม่ตัดมันงอกยาวเกินไปดูรุงรัง ผมก็ต้องตัดนอกนั้นตัดทิ้งไม่ได้ อวัยวะทุกส่วนมันเป็นของดี แล้วก็จิตใจ จิตใจนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีเพราะจิตเดิมเป็นจิตที่ดีเรียกว่าจิตประภัสสร การปฏิบัติธรรมคือมารักษาของดีเอาไว้และพัฒนาให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไป โดยเฉพาะชีวิตของเรานี้โดยย่อก็มี 2 อย่างคือรูปกับนาม แต่พอแตกออกไปละเอียดมันมีหลายอย่าง ก็มีเบญจขันธ์ก็คือรูป เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ สามเณรอาจจะไม่เข้าใจว่าเวทนามันคืออะไร สัญญาคืออะไร สังขารคืออะไร วิญญาณคืออะไร ตาหลวงก็จะอธิบายให้ฟัง รูปคือเราเข้าใจง่าย รูปคือสิ่งที่เราเห็นได้ด้วยตา
เราเป็นรูปนั้นมันคือรูปภายใน ร่างกายของเรา เป็นศีรษะ เป็นแขน เป็นขา เป็นอวัยวะ เป็นรูปภายใน รูปภายนอกที่เรามองไปบนท้องฟ้าเห็นดวงดาว ดวงดาวก็เป็นรูป ท้องฟ้าก็เป็นรูป มองไปที่ภูเขา ภูเขาก็เป็นรูป มองไปที่คนที่ ๆ สิ่งที่เราเห็นด้วยตาก็เรียกว่าเป็นรูป เสียงเรียกว่าเป็นรูปเหมือนกัน กลิ่นก็เป็นรูป มันมีความหมายกว้าง ไม่ใช่เฉพาะที่เห็นทางตาเท่านั้นแม้สิ่งที่รู้ด้วยหู ด้วยจมูก ด้วยลิ้น ด้วยกาย ก็เรียกว่าเป็นรูป รวมอยู่ในคำว่ารูป แล้วเวทนาคือความรู้สึก ความรู้สึกมันมีอยู่ 3 ชนิด รู้สึกเป็นสุข รู้สึกสบายก็เรียกว่าสุขเวทนา รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกมันไม่สบายทางร่างกาย เช่น หิว ร่างกายต้องการอาหารแต่ไม่มีอาหารมันหิวนี่ก็เป็นทุกขเวทนา เราเดินมันเหนื่อย เดินทางไกล ๆ มันเหนื่อยก็เรียกว่าทุกข์เวทนา เดินในอากาศมันร้อนเรียกว่าทุกขเวทนา สุขเวทนารู้สึกสบายเป็นสุข ทุกขเวทนารู้สึกไม่สบายเป็นทุกข์ ทางร่างกายก็มี ทางจิตใจก็มี ก็เรียกว่าเวทนา ทีนี้มีเวทนาอีกชนิดหนึ่งคือรู้สึกเฉย ๆ ไม่รู้สึกเป็นสุข ไม่รู้สึกเป็นทุกข์ ปกติถ้าหากตาของเรามองเข้าไปที่รูปถ้ารูปนั้นเป็นที่พอใจบวกกับอุปนิสัยของเราก็รู้สึกพอใจเห็นรูปก็เรียกว่าสุขเวทนามันเกิด แล้วถ้าเห็นรูปแล้วมันไม่ถูกกับนิสัยอุปนิสัยของเราก็ไม่พอใจทุกขเวทนามันเกิด ถ้ามองไปในบางสิ่งมันรู้สึกเฉย ๆ อทุกขมสุขเวทนามันเกิด เวทนามันอยู่ในชีวิตของเรานี้ สัญญาคือความจำได้หมายรู้ เมื่อเห็นรูปก็จำว่ามันเป็นรูปอะไร ฟังเสียงก็รู้ว่าเป็นเสียงอะไร ได้กลิ่นเป็นกลิ่นอะไร ก็เรียกว่าสัญญา จำรูป จำเสียง จำกลิ่น จำรส จำสิ่งที่มากระทบผิวหนังเรียกว่าโผฏฐัพพะ จำอารมณ์ต่าง ๆ ก็เรียกว่าสัญญา สัญญายังมีความหมายอย่างอื่นคือความสำคัญมั่นหมาย เรียกว่าสำคัญผิด อันนี้อันตรายมากเขาเรียกว่าสัญญาวิปลาส สำคัญผิด คือจริง ๆ มันไม่เป็นอย่างนี้แต่เรามาเข้าใจอย่างนี้ก็เรียกว่าสำคัญผิด เช่น สำคัญว่ามันเที่ยง สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่มันไม่เที่ยงมาสำคัญว่ามันเที่ยง สำคัญว่าเป็นสุขในสิ่งที่เป็นทุกข์มาสำคัญว่าเป็นสุข ยกตัวอย่างพวกยาเสพติดทั้งหลายมันก่อให้เกิดปัญหา วัยรุ่นเป็นจำนวนมากมาสำคัญว่าเป็นของดี มาสำคัญผิดสำคัญในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุขมันเลยเกิดปัญหา ที่ลึกที่สุดคือสำคัญในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตนเขาเรียกว่าสัญญาวิปลาส เรื่องสัญญามันมีความหมายหลายอย่างอยู่ในชีวิตของเรานี้ รูป เวทนา สัญญา แล้วสังขาร สังขารยิ่งมีความหมายมากกว่าสิ่งใด สังขารคือสิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมาก็เรียกว่าสังขาร สิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็เป็นสังขาร สิ่งที่ไม่มีชีวิตทั้งหลายก็เรียกว่าสังขาร ในชีวิตของเรามีสังขารอีกหลายอย่าง เช่น ลมหายใจเข้าหายใจออกก็เรียกว่าสังขารเหมือนกัน กายสังขาร ลมหายใจเข้าหายใจออกเป็นกายสังขาร คำพูดที่เราพูดออกมาได้ เช่น ที่ตาหลวงพูดนี้ก็ใช้สังขารเรียกว่าวจีสังขาร คือจิตต้องตรึกหาคำพูดตรึกตรองที่จะเอามาพูดเรียกว่าวิตกวิจารณ์เป็นวจีสังขาร แล้วจิตตสังขาร จิตของเราที่รู้สึกได้ต้องมีเวทนาสนับสนุนอยู่ ต้องมีสัญญาสนับสนุนอยู่ ฉะนั้นเวทนาหรือสัญญาเป็นจิตตสังขาร สังขารมันเยอะ จิตของเราพอเห็นสิ่งนี้พอได้ยินสิ่งนี้มันก็คิดนึกเป็นสังขารทั้งนั้น แล้วที่สำคัญที่สุดคือวิญญาณ วิญญาณก็คือจิตนั่นเอง
จิตของเรานี้เรามองไม่เห็น ไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ตรงไหน พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอยู่ในคูหา จิตนี้อยู่ในคูหาคือในถ้ำ เดี๋ยวนี้พวกหมอพวกที่เขาศึกษาเรื่องชีวิตมนุษย์เรา สรีรวิทยา เขาถือว่าความรู้สึกนึกคิดอยู่ในก้อนเนื้อสมอง ก้อนเนื้อสมองมันอยู่ในกะโหลกศีรษะเหมือนอย่างถ้ำ พระพุทธเจ้าใช้คำว่า คุหาสยํ จิตนี้อยู่ในคูหา อยู่ในถ้ำ เอกจรํ มันนึกได้ทีละอย่าง เที่ยวไปดวงเดียวเกิดดับ ๆ อสรีรํ คือไม่มีรูปร่าง มองไม่เห็นว่าจิตมีรูปร่างอย่างไร แล้วก็เที่ยวไปไกล นึกไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้เร็วมาก ดิ้นรนกวัดแกว่งอยู่ตลอดเวลา นี่คือจิต มีหลายชื่อเรียกว่าจิต ภาษาไทยเรียกว่าใจ บางทีเรียกรวมกันว่าจิตใจ ภาษาไทยก็คือเป็นนามธรรม เรียกว่าวิญญาณก็เรียก เรียกว่ามโนก็เรียก สรุปแล้วก็คือจิตใจของเรา อันมนุษย์ทุกคนประกอบด้วยเบญจขันธ์ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่เป็นของดี ได้มาจากพระธรรม เรียกว่าพระธรรมในหัวใจของบิดามารดา เราเกิดมาได้เพราะมีบิดามารดาเป็นแดนเกิด เป็นเหตุให้เราเกิด ถ้าบิดามารดาไม่มีคุณธรรม คุณธรรมที่สำคัญคือเมตตากรุณา รักลูก ละอายบาป กลัวบาป หิริคือละอายบาป โอตัปปะคือกลัวบาป แม่รักลูก พ่อรักลูก ละอายบาป กลัวบาป จะฆ่าลูกตัวเองก็ทำไม่ลงทำไม่ได้เพราะมีความรัก เพราะมีความละอายบาปกลัวบาป ทีนี้มีผู้หญิงบางคนฆ่าลูกของตัวเอง ลูกก็เกิดมาไม่ได้ ผู้หญิงที่ฆ่าลูกชีวิตจะมีปัญหามาก มันมีตราบาปที่อยู่ในจิตใจจะหาความสุขไม่ได้ ทำไมผู้หญิงแม่ฆ่าลูกเพราะว่าผู้หญิงไม่บังคับตัวเอง ไม่อยู่ในสถานะที่เป็นแม่แล้วก็มาเกี่ยวข้องกับผู้ชายทำให้เกิดทารกขึ้นมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ฆ่าลูกตัวเองเรียกว่าทำแท้ง มันก็มีอยู่ในโลกนี้ สำหรับพวกเราที่เกิดมาได้ก็เพราะพ่อแม่มีคุณธรรม ชีวิตของเราเป็นตัวธรรมะ ได้มาจากธรรมะ จิตใจของบิดามารดาเป็นของดี ใจนี้เป็นสิ่งที่ดี พระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตที่ดี จิตประภัสสร ของดีถ้าเราไม่รักษาไว้มีของเสียเข้ามาทำลายเขาเรียกว่ากิเลส กิเลสนี้มันเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจเสีย มันเข้ามาทำลาย พอทำลายจิตก็มีปัญหา พอจิตมีปัญหามันก่อให้เกิดการกระทำทางกายก็ดี ทางวาจาก็ดี ก่อให้เกิดปัญหาก็คือทำชั่วนั่นเอง คำว่าทำชั่วคือทำแล้วตัวเองก็ต้องร้อนใจ ผู้อื่นก็ต้องร้อนใจ บัณฑิตไม่สรรเสริญ เขาเรียกว่าทำชั่ว การปฏิบัติธรรมสรุปแล้วก็เพื่อจะทำชีวิตของเราให้มีค่า ทำชีวิตของเราให้มีประโยชน์ ทำชีวิตของเราให้มีความสุข นี่คือเป้าหมายจุดมุ่งหมายของการปฏิบัติธรรม
การปฏิบัติธรรมไม่ได้ยากเย็นอะไรเลย ทำในที่ 3 อย่าง เขาเรียกว่าทวารหรือประตู กายทวาร วจีทวาร มโนทวาร ประตูนี้ชีวิตของเรามีประตูหลาย ๆ ประตู ประตูใหญ่ 3 ประตู กายทวาร ประตูคือกาย วจีทวาร ประตูคือวาจา มโนทวาร ประตูคือจิต และทวาร 6 ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ เรียกว่า ทวาร 6 ทวาร 9 ก็มีเพิ่มขึ้นไป แต่ว่าทวารที่สำคัญสุดคือทวาร 6 ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ การปฏิบัติธรรมคือต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อตาเห็นรูป เมื่อหูฟังเสียง เมื่อจมูกดมกลิ่น เมื่อลิ้นชิมรส เมื่อผิวหนังทางร่างกายได้รับการสัมผัส โผฏฐัพพะเมื่อจิตรู้อารมณ์ ต้องมีสติสัมปชัญญะ ถ้ามิฉะนั้นจะทำกายทุจริต มันทำให้ทวาร 3 นี้มันไม่ถูกต้องเป็นกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต เพราะการเห็น เพราะการฟัง เพราะการคิดนั่นเอง ทำให้คนทำผิดคือทำชั่วทางร่างกาย เช่น ไปฆ่าเขา ไปลักของของเขา ไปล่วงเกินของรักของเขา ถ้าทำอย่างนี้ปัญหาก็ต้องเกิดในชีวิตอย่างแน่นอน ความทุกข์จะต้องเกิดอย่างแน่นอน ในการปฏิบัติธรรมเราต้องมีสติสัมปชัญญะไม่ว่าตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ต้องมีสติสัมปชัญญะมารักษากายเอาไว้ให้ดีคือ ไม่ทำทุจริต ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก ทางวาจาก็เหมือนกัน มาควบคุมคำพูดเอาไว้ไม่ให้พูดผิด พูดเท็จ พูดโกหก พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มาควบคุมวาจาเอาไว้ สำคัญที่สุดคือต้องควบคุมใจเพราะว่าการที่คนทำผิดเพราะจิตมันถูกกิเลสเข้ามาอยู่มาควบคุมใจ ก็จับกิเลสออกไปให้จิตใจมันบริสุทธิ์สะอาด ทีนี้ก็พยายามมุ่งมั่นตั้งใจทำกุศลกรรมให้เพิ่มขึ้น ไม่ฆ่าก็ต้องมีเมตตา ไม่ลักก็ไม่ขโมยก็ยินดีที่จะแบ่งปันของ ๆ ตนให้แก่ผู้อื่น ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ล่วงเกินของรักก็เห็นโทษว่าการที่ไปหมกมุ่นมัวเมาในเรื่องกามมันเป็นโทษก็ไม่กระทำ ไม่พูดเท็จ พูดแต่วาจาสัตย์ ไม่พูดคำหยาบ พูดแต่คำอ่อนหวาน ไม่พูดเพ้อเจ้อ พูดแต่คำที่มีสาระประโยชน์ ไม่พูดส่อเสียด พยายามที่จะพูดให้เขาสามัคคีกัน ไม่ใช่พูดส่งเสริมให้คนแตกแยกกัน นี่คือธรรมสุจริตทางกาย ทางวาจา ทางจิตใจ สรุปแล้วการปฏิบัติธรรมมันไม่ได้ยากเลยถ้าเรามองเห็นว่าชีวิตของเราของเดิมมันเป็นของดี แต่ว่าถ้าเราไม่รักษาเอาไว้มันจะถูกกิเลสเข้ามาทำลายเลยกลายเป็นของเสีย ใช้ไม่ได้ เอาง่าย ๆ ว่าอาหารที่หุงใหม่ ๆ จะเป็นข้าว เป็นแกง เป็นกับ เป็นขนม เอามาใส่ไว้ในจาน ออกจากหม้อใหม่ ๆ เป็นของดีแต่ปล่อยทิ้งไว้แมลงวันลงมาเกาะ มาจับ มาตอม ก็แมลงวันมันไปอยู่กับของเน่าของเหม็นมันพาเชื้อโรคติดมาที่เท้าของมันแล้วมันก็มาเกาะอาหาร อาหารก็กลายเป็นของเสีย พอคนกินเข้าไปก็เกิดโรคภัยไข้เจ็บท้องเสียเป็นโรคก็เพราะแมลงวันมันเป็นพาหะ เช่นเดียวกันกับจิตใจของเราที่มีปัญหาก็มาจากกิเลส เพราะฉะนั้นก็พยายามฝึกจิตให้มีสติ ให้มีสติสัมปชัญญะ
แล้วต่อไปนี้ก็จะได้ฝึกสมาธิ สมาธิเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ถ้าใครต้องการจะก้าวหน้าในชีวิตพยายามฝึกสมาธิให้มาก พระอริยเจ้ามีหลายระดับ สูงสุดคือพระอรหันต์ ที่ท่านได้เป็นพระอรหันต์ได้เป็นพระอริยเจ้าเพราะท่านฝึกจิตทั้งนั้น ไม่ได้มาจากไหน มาจากการฝึกจิต จิตภาวนา แต่ว่าจิตจะมีสมาธิก็เพราะมีศีล ศีลคือการกระทำทางกายทางวาจา เมื่อศีลมันดีก็มาฝึกสมาธิ สมาธิก็ดี ถ้าศีลมันไม่ดี เช่น ไปฆ่าเขามา ไปลักของเขามา จะมานั่งสมาธิจิตใจมันก็ไม่สงบเพราะว่าศีลมันไม่ดี ฉะนั้นศีลมันก็เป็นสิ่งสำคัญเหมือนกัน ให้พยายามรักษาศีล ถ้าเป็นชาวพุทธก็ต้องมีศีล 5 อยู่เป็นพื้นฐาน ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกิดของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา แล้วก็ฝึกสมาธิ อารมณ์ของสมาธิก็อยู่ที่เราโดยเฉพาะลมหายใจเข้า ออกปานะ หายใจเข้า อานะ หายใจออก ถ้าใครฝึกจิตให้มีสมาธิจะมีประโยชน์มาก อย่างเด็ก ๆ เยาวชนหรือสามเณรก็ตามพยายามฝึกสมาธิให้มากเข้าเถอะต่อไปจะได้เรียนดี จะได้ก้าวหน้าดี จะทำอะไรมันจะดีขึ้นหมดเลย ฝึกและทำกันดู ข้างนอกมือของเรานี้สำคัญที่สุด มือทั้ง 5 นิ้วนี้ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์มันทำให้มีความสุข เอามือสองข้างมาประกบยกมือไหว้บุคคลที่เราควรไหว้ พระสงฆ์หรือว่าคนเฒ่าคนแก่ที่เคารพก็ยกมือไหว้โค้งตัวแสดงความเคารพเราก็ได้รับประโยชน์ ได้ทำประโยชน์ เพราะฉะนั้นไม่ยาก มือของเรานี้จับไม้กวาดมากวาดถนนหนทาง ล้างห้องน้ำห้องส้วม ถ้าอยู่ในวัด โรงอาหาร มือของเราได้ทำประโยชน์ แต่ว่ามีหลาย ๆ คนแม้พระสงฆ์หลาย ๆ รูปไม่รู้จักใช้ชีวิตให้มีประโยชน์เพราะใจมันถูกกิเลสครอบงำ ใจนี้ถูกอวิชชาโมหะครอบงำ ไม่รู้จักใช้ชีวิตตัวเองแม้แต่บวชชีวิตก็ไม่มีค่า ชีวิตที่มีค่าต้องเป็นชีวิตที่ทำประโยชน์ได้ พอมีประโยชน์แล้วก็มีความสุข
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ขอให้ทุกคนตั้งใจปฏิบัติธรรมเพราะลมหายใจเข้าออกมันมีตลอดเวลา อาจารย์ชาท่านพูดว่ามีบางคนเขาบอกว่าไม่มีเวลาที่จะปฏิบัติธรรม ท่านบอกว่าเพราะไม่เข้าใจว่าปฏิบัติธรรมคืออะไร ทำไมมีเวลาหายใจเข้าหายใจออก ทำไมมีเวลา หายใจเข้า หายใจออก มีเวลา เราไม่มีลมหายใจเข้าเราก็อยู่ไม่ได้ การปฏิบัติธรรมคือมีสติมีสัมปชัญญะ สติคือระลึกอยู่กับธรรมะ ลมหายใจเข้ามันเป็นธรรมะ สัมปชัญญะคือรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่ตลอดเวลา นั่งอยู่ที่ไหน ไปที่ไหน เดินไปที่ไหน ให้มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัวทั่วพร้อมนี่คือการปฏิบัติธรรม มันมีหลายระดับ สรุปแล้วก็คือรักษาของดีที่บิดามารดาให้มา มาทำให้มันดียิ่ง ๆ ขึ้นไปจนกระทั่งเป็นอริยะ เรียกว่าประเสริฐ นี่เป็นเป้าหมาย แล้วเวลาที่เหลือต่อไปนี้ 5 นาที 10 นาที ขอให้สามเณรทุกรูปที่ได้เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนาตั้งใจปฏิบัติ หายใจเข้าก็ตามลมไป จิตเกาะกับลม พอลมเข้าจากปลายจมูกก็เดินทางมาหยุดที่ท้องที่สะดือ หายใจออกจากสะดือตามไปที่ปลายจมูกแล้วคอยเตือนจิตว่าหายใจเข้ายาวหนอ หายใจออกยาวหนอ ตามลมไปเรื่อย ๆ พอจิตมีสมาธิก็ระลึกถึงบุญคุณของบิดามารดา มองให้เห็นว่าชีวิตของเราได้มาจากไหน ก็ได้มาจากบิดามารดา ได้มาจากคุณธรรมหรือเมตตากรุณาในจิตใจของบิดามารดานั่นเอง เพราะฉะนั้นเราเข้ามาบวชมาทำประโยชน์มาตอบแทนบุญคุณของบิดามารดาซึ่งถือว่าเป็นโอกาสที่สำคัญที่สุด ก็ตั้งใจปฏิบัติกันต่อไปนี้