แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละครับต่อไปนี้ก็ขอให้พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ รวมทั้งญาติโยมเเม่ชี นักศึกษาพยาบาล ที่เข้ามาพักอยู่ที่ สวนโมกข์ เพื่อปฎิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมนี้ มีเป้าหมายเพื่อได้รับประโยชน์เพื่อได้รับความสุข นี้เป็นเป้าหมายธรรมะที่เป็น เป้าหมายเเละธรรมะที่สนับสนุนธรรมะ ที่เป็นเครื่องมือก็มีอยู่หลายหลายอย่าง การที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จก็ต้องมี เครื่องมือสนับสนุนให้สิ่งที่เราต้องการสำเร็จ ชีวิตของมนุษย์เราที่เกิดมา เหมือน ๆ กันทุกคนมีเเต่สัญชาตญาณ รู้จักกินอาหาร รู้จักหลับนอน รู้จักกลัวภัย รู้จักสืบพันธุ์ กระทำกันจนรู้สึกว่ามีตัวตนจิตมันมีรู้สึกว่ามีตัวตนอยู่ ในชีวิตนี้ เเละบุคคลบางคนไม่ได้พัฒนาไม่ได้ต่อยอด มีเเต่สัญชาติญาณ โดยเฉพาะสัญชาตญาณอย่างสัตว์ เเลัวก็ทำอะไร
ทำให้ชีวิตมีปัญหา เป็นทุกข์เดือดร้อนติดคุกติดตาราง ฆ่าตัวตายก็มี เพราะว่าชีวิตไม่ได้พัฒนา พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่าน โปรดว่าต้องมี ภาวิตญาณ ชีวิตจึงกลับก้าวหน้า สัญชาตญาณมันติดมากับชีวิตมันยังไม่ออก รู้จักกินอาหาร รู้จักหลับนอน รู้จักกลัวภัย รู้จักสืบพันธุ์ ไม่ต้องใครสอน มันเป็นของมันเอง เเต่ว่า ภาวิตญาณ จบลง คุณธรรมโดยเฉพาะบรรดามนุษย์ที่เกิดมา.
บนโลกนี้ไม่มีใครเหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าค้นพบ เจนจัดที่จะช่วยเหลือมนุษย์ พ้นจากความทุกข์ พ้นจากปัญหา มนุษย์ทุกคนรวมทุกสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด เกิดมาก็พาความทุกข์มาด้วย ในชีวิตของเรามันมีความทุกข์ การเกิดก็เป็นทุกข์ การเกิดมันมีสอง ความหมาย เกิดทางเนื้อหนังร่างกาย ทุกคนเกิดมาเพียงครั่งเดียวเท่านั้น ไอ้เกิดมาสำนึก เกิดความรู้สึกว่ามีตัวตนพอเกิดว่ารู้สึกว่ามีตัวตนเมื่อไร ความทุกข์ ความหนักอกหนักใจก็จะเกิดขึ้นทันที เพราะการเกิดขึ้นของร่างกาย ก็ทำให้เจ็บ กายได้ป่วย ต้องหิว ต้องกระหาย ต้องหนาว ต้องร้อน โรคภัยไข้เจ็บ มาอาศัยอยู่ในร่างกายนี้
ส่วนใหญ่คนทั่วไปคิดว่า ของเรา ของเรา เเต่เชื้อโรคหลายชนิดที่มันอาศัยในร่างกายนี้ มันคงคิดว่า นี่คือที่ของมันเหมือนยังคนจับจองสถานที่ ว่าเป็นของเรา ใครเข้ามาเอาข้าวของก็โกรธไม่พอใจฟ้องร้องว่ามาบุกรุกที่ของเรา เชื้อโรคหลายชนิดที่มันมาอาศัยอยู่ในร่างกายในกระเพาะในลำไส้มันมากมาย มันก็คิดว่านี้เป็นที่ทำมาหากินของมัน เพราะนั้นคนเกิดมาเเล้วก็ต้องเจ็บไข้ได้ป่วยโรคหลาย ๆ ชนิดมีอยู่ในชีวิตพุทธเจ้าตรัสว่า “ชีวิตนี้เป็นที่อยู่ของโรคโรคะ นิจจัง ก็คือรังของโรค เเก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันทุกคน ทั้งคนรวยทั้งคนจน ทุกชาติทุกภาษานั้นมีความทุกข์ทางร่างกาย” เเต่ความทุกข์ ที่ร้ายที่สุดคือความทุกข์ทางด้านจิตใจ พุทธเจ้าตรัสว่า “ว่าบุคคลบางคนเจนอย่างว่า ไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่เคยรักษาอะไรเลย ตั้งเเต่เกิดมาอยู่จนอายุ เเปดสิบปี ร้อยปีก็มี เเต่ว่าโรคทางด้านจิตใจ ยกเว้นพระอรหันต์เท่านั้นเป็นกันทุกคน คือโรคทางจิตใจ คำว่าโรคคือสิ่งที่เสียดแทง ทิ่มแทง ยอกตำ ทำให้เป็นทุกข์นั้นเอง ความทุกข์ทางด้านจิตใจ ก็มาจากชาติเหมือนกัน อันที่กล่าวไปเมื่อเเต่กี้เพราะรู้สึกว่ามีเรามีของเราขึ้นมาเมื่อใด ความทุกข์มันก็ประดังเข้ามาทันทีอนันตธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พระองศ์ได้ตรัสรู้ถ้าเราได้ปฎิบัติตามก็ทำให้ความทุกข์เหล่านี้มัน
น้อยลงน้อยลง อย่างที่พระสงฆ์ออกมาบวช ก็เพื่อมาปฎิบัติธรรม มาประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำความทุกข์ให้มันหมด (07.26 เสียงไม่ชัดเจน) ทำให้ความทุกข์มันสิ้นสุด เพราะว่าพระสงฆ์มีเวลามาก อบรมสมาธิภาวนาสมาธิภาวนานี้เป็น เครื่องมือ ที่ทำให้ ความทุกข์มันน้อยลง น้อยลง เเต่ความทุกข์น้อยลง มันก็เกิดความสุข ความสุขก็เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น
ในเมื่อชีวิตมีความสุข มันก็ทำประโยชน์ คนที่มีความทุกข์จะไปทำประโยชน์ให้ใครได้ มันไม่มี คนที่มีความสุข เท่านั้นจึงทำประโยชน์ เเก่คนอื่นได้ นั้นการปฎิบัติธรรมเป้าหมายคือก็ทำให้ความทุกข์ในชีวิตของเรามันลดลงไปเรี่อยๆ ด้วยการอบรมโดยเฉพาะสมาธิภาวนานี้เป็นเรื่องสำคัญมากพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องจริง ๆ เรื่องอริยสัจสี่ หนึ่งเรื่องทุกข์ กองสองให้เข้าใจความทุกข์ซึ่งมีหลายอย่าง เกิดเป็นทุกข์ เเก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ โศกรำไร รำพัน ทุกข์กาย ทุกข์ใจเป็นทุกข์ พุทธองค์ทรงสรุป ความทุกข์อยู่ที่ยึดถือมาจากอุปทาน เพราะยึดถือว่า เป็นเราเป็นของเรา ความทุกข์มันก็เกิดหนักอกหนักใจมันก็เกิดอุปทานมาจากความอยากความอยากมาจากความไม่รู้เรียกว่า อวิชา เพราะอวิชาเป็นปัจจัยทำให้เกิดตัณหาคือความอยาก เมื่อมีความอยากทำให้ยึดถือก็เป็นทุกข์ เช่น คนอยากได้สิ่งของ ทรัพย์สินเงินทอง ก็เเสวงหาอยากที่จะได้ ก็ได้มาเอามายึดถือ ก็เป็นทุกข์ ที่นี้โดยเฉพาะฆราวาสครองเรือนก็ต้องทำมาหากินจะทำอย่างไงก็ทำได้เหมือนกันแสวงหาทรัพย์สินเงินทองด้วยสติปัญญาไม่ได้ทำด้วยความอยากความทุกข์ก็น้อย การทำงานทำด้วยความอยากก็ได้ ทำด้วยสติปัญญาก็ได้ ถ้าทำด้วยสติปัญญาถือว่าเป็นหน้าที่ ที่ต้องทำเเละพอใจ ทุกขั้นทุกตอน ถ้าได้คิดจะทำก็พอใจ กำลังทำก็พอใจ ทำเสร็จเเล้วก็พอใจความทุกข์มัน ก็ไม่มี ปัญญานี้ เป็นสิ่งที่มันจะต้องอบรม ก่อเกิดอริยมรรคมี องค์เเปดนั้นเอง ทุกข์เหตุให้ทุกข์เกิดความดับ มายังสุดทางถึงความดับ มายังทางดับทุกข์ คือ อริยะมรรคมีองค์เเปดนั้นเอง สรุปเเล้วคือปัญญา ศีล สมาธิ การปฎิบัติธรรมนี้เราปฎิบัตินี้ คืออบรมให้มีปัญญาเพิ่มขึ้น ปัญญาต้องอาศัยสมาธิ สมาธิต้องอาศัยศีล ถ้าไม่มีศีลอบรมสมาธิ มันก็ยาก เพราะจิตใจมีวิตกกังวล นิวรณ์ จิตมีสมาธิอยาก ต้องอบรมให้มีศีล
อย่างชาวพุทธเรานี้ต้องมีศิลเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะ ศีล 5 ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ลวงเกินของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของ มึนเมา ยาเสพติดทั้งหลาย เเล้วหาโอกาสประพฤติ สมาธิภาวนา สมาธิภาวนานั้นก็คือ ตัวมรรค นั้นเอง สมาธิภาวนามีหลายชนิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า สมาธิภาวนาที่อบรมมรรคเเล้วจะทำให้อยู่ผาสุกเป็นในปัจจุบัน ก็อบรมสมาธิให้สูงขึ้น สูงขึ้น พวกฝรั่งนักจิตวิทยาก็ทำการวิจัยว่าคนที่ปฎิบัติธรรมในเเนวพุทธ ลดปัญหาได้มากมาย ก็พิมพ์เป็นหนังสือออกมาลดความเครียด ลดปัญหาสุขภาพจิตดี สุขภาพกายดี ทั้งอย่างนี้จึงเป็นที่สนใจของฝรั่ง มากขึ้น มากขึ้น เพราะฝรั่งเขาจะเชื่ออะไร ต้องการมีวิจัยมีการทดสอบมีการทดลอง จนกระทั้งมีเครื่องตรวจจับว่า ถ้าจิตมีสมาธิขึ้นกราฟในเครื่องมันขึ้นลงเเค่ไหนอย่างไร เขาทำถึงขนานนี้นั้นถ้าเขาเห็นผลก็มาสนใจกันมากขึ้นมากขึ้นมาสนใจความรู้ของพระพุทธเจ้าเเล้วก็สอนวิธีปฎิบัติหลาย หลายแบบ เช่นจะเดินอานาปานะสติ อย่างที่เราปฎิบัติกันที่สวนโมกข์อาศัยลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า มีสติมีสัมปชัญญะมีความเพียรควบคุมจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้าออก ปฎิบัติไป ปฎิบัติไป จิตมีสมาธิก็เกิดปิติ เกิดความสุข ต่อไปก็จะได้อยู่กับปิติ ได้อยู่กับความสุข ปัญหาวุ่นวายในจิตใจมันก็สงบลง ความเครียดมันก็สงบลงถ้าจิตมีสมาธิก็จะนอนหลับกินได้ กินได้นอนหลับ มันจะมีผลต่อร่างกาย ถ้านอนไม่หลับมันจะกินไม่ได้ มันเบื่อ งั้น ปู่ย่าตายาย เข้าก็รู้ว่า กินได้ก็นอนหลับได้ ก็เพราะนอนหลับจึงกินได้ มันเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพทางร่างกายเมื่อใจมีความสุข ก็ทำงานสนุกมันไม่เบื่อ ทำงานช่วยเหลือผู้อย่างเป็นหมอเป็นพยาบาลเป็นครูเป็นอาจารย์เเม้จะเป็นชาวไร่ชาวนาตากเเดดตากฝนมันก็ไม่เหนื่อย
เหมือนอย่างพระเดินธุดงค์นี้ปีพระที่สวนโมกข์เดินธุดงค์ไปสวนโมกข์อันดามัน เดินตากเเดด ตากฝน จิตใจพอใจก็ไม่เหนื่อยอยู่ที่จิตใจเท่านั้นจิตใจพอใจ ความสุขก็เกิดขึ้น ทั้งความสุขความทุกข์นั้นอยู่ที่จิตใจของเราเท่านั้นเอง นั่นการปฎิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา ก็เพื่อ ประโยชน์เพื่อความสุขและโดยเฉพาะเรื่องสมาธิภาวนาควรหาโอกาสทำให้มากขึ้นเมื่ออบรมให้จิตมีสมาธิรวมขึ้นให้ได้อยู่เป็นสุขนี้ก็เเบบหนึ่งสมาธิภาวนาที่อบรมมามากเเล้วทำให้อยู่พาสุกในปัจจุบันรวมให้ได้สมาธิ ที่สูงขึ้น สูงขึ้น ได้ณานอยู่ด้วยณาน พักอยู่ด้วยณานซึ่งมีหลายระดับ สมาธิภาวนาที่อบรมมากเเล้วทำให้เกิดณานทัศนะ คำว่า ณานทัศนะคือ หู ตา สามารถรู้สามารถเข้าใจ ในสิ่งที่คนธรรมดานึกไม่เห็นมองไม่ออก เเต่ว่าผู้อบรมจิต ระดับนี้สามารถที่จะเข้าใจได้ หูทิพย์ ตาทิพย์ มันมองเห็น เเม้เเต่นักธุรกิจ ที่เขาประสบความสำเร็จก็อาศัยจิตชนิดนี้ที่คนอื่นเขามองไม่เห็นนักธุรกิจเขามองเห็นก็ประสบความสำเร็จมีวิธีปฎิบัติ กลางวันทำความรู้สึกกับเหมือนกลางคืน กลางคืนทำความรู้สึกกับเหมือนกลางวัน อบรมจิตตั้งสัญญา อโลกสัญญา ทิวาสัญญา ก็ลองทำดูอย่างกลางวันทำความรู้สึกเหมือนกลางคืนอยู่ในที่มืดกลางคืน กลางคืนมีใจว่าเป็นกลางวัน ลองฝึกรู้จิต มันจะรับรู้อะไรเป็นพิเศษเเล้วสมาธิภาวนาอย่างที่สาม ถ้ารวมมากแล้วจะมีสติสัมปชัญญะ
สติสัมปชัญญะนี้ทำกันมั้งที่คนมีปัญหาเพราะขาดสติสัมปชัญญะสมาธิภาวนาแบบนี้คือตามดูตามรู้ว่า เวทนามันเกิดขึ้นอย่างไร สัญญาเกิดขึ้นอย่างไร วิตกเกิดขึ้นอย่างไร ก็มาดูจิตก็คือสมาธิภาวนานั่นเอง มาตามดูเวทนา มันเกิดขึ้นอย่างไร สัญญาจำได้หมายรู้มันเกิดขึ้นอย่างไร วิตกจิตนึกเกิดขึ้นอย่างไร ดับไปอย่างไรเเล้ว ดูสติสัมปชัญญะ ต่อไปนักปฎิบัติที่ฝึกยืนเดินนั่งนอนพูดนิ่งเดียวดูแลยืนคู้เเขนเหยียดเหยียดแขนก็พยายามให้มีสติสัมปชัญญะอันนี้ก็อย่างหยาบ ดูร่างกายก่อนการฝึกสัมปชัญญะจริง จริง ต้องดูเวทนามัน เกิดขึ้นอย่างไรตั้งอยู่อย่างไร ดับไปอย่างไร เวทนาเเละวิตกเหล่านี้มันมาจากผัสสะ คำว่าผัสสะก็คือมาจากสิ่งสามสิ่งที่มาทำงานร่วมกัน ก็คืออายตนะภายใน อายตนะภายนอกเเละวิญญาณมันทำงานร่วมกัน คำว่าอายตนะ คือที่ติดต่อ ที่มีในชีวิตของเราก็ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กายเเละก็ใจ ก็คืออายนะภายในอายตนะ ภายนอกก็คือ ที่ติดต่อที่อยู่ข้างนอก รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เเละก็ธรรมารมณ์ เเล้วพอตาถึงกับรูปวิญญาณก็เกิดวิญญาณก็คือจิตใจของเรานั้นเอง เมื่อจิตมันทำหน้าที่ ประสาทตาเมื่อตาเห็นรูป จักขุวิญญาณ สามอย่างทำงานด้วยกันก็เป็นผัสสะ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็คือ จิตที่มันทำงาน เเล้วพอผัสสะเเล้วมันจะมีเวทนา มีสัญญา มีวิตกมันก็ดับไป เกิดดับ เกิดดับ ต่อปฎิบัติอย่างนี้จะมีสติสัมปชัญญะมากขึ้น ถ้ามีสติสัมปชัญญะก็ป้องกันกิเลส ไว้ได้ ความทุกข์ที่เรามี ก็มาจากกิเลส ที่มันเกิดเมื่อผัสสะนั้นเองกิเลสมันมีหลายอย่างรวบเเล้วก็มีสามอย่างคือ ราคะ ความกำหนัดเรื่องเพศเรื่องกามารมณ์ โทสะ ความโกรธความไม่พอใจพยาบาท โมหะความหลง มันคอยเกิดอยู่ใน ชีวิตของเราความทุกข์มันมีเพราะกิเลสเหล่านี้
ที่นี้สมาธิภาวนาที่เอาชนะกิเลสได้ก็ตามเห็นเบญจขันธ์ที่มันเกิด มันดับ เบญจขันธ์ คือ ชีวิตของเรานี้มันเกิดมันดับอยู่ตลอดเวลา เเต่คนมองเห็นว่ามันมีตลอดเวลา นี้บางเวลามันดับ ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านอธิบาย คนทั่วไป ไม่เคยอธิบายอย่างนี้ เบญจขันธ์ ก็คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่เเรกมันสักว่าธาตุ ธาตุตามธรรมชาติ ธาตุรูป ธาตุเวทนา ธาตุสัญญา ธาตุสังขาร ธาตุวิญญาณ เช่นเรานอนหลับอยู่ เวลานี่มีเเต่กองของธาตุ กองเเห่งรูป กองเเห่งเวทนา กองเเห่งสัญญา กองเเห่งสังขาร กองเเห่งวิญญาณ มันกองอยู่ ยังไม่เป็นขันธ์ จากธาตุมันมาเป็นอายตนะก่อนเมื่อวานที่ใครนอนหลับมีใครมาเรียกให้ตื่น เสียงมันเป็นอายตนะภายนอกกระทบกับหู จิตตื่นขึ้นมารู้สึกรับรู้ก็เกิดผัสสะ โสตะสัมผัส นี้ภาชนะได้ต่อไปขันธ์มันเกิด หูเป็นอายตนะภายใน หูนี้เป็นพวกรูป ตาเห็นรูปตาก็เป็นรูป มันเกิด
เเล้วก็วิญญาณมันเกิด พอเกิดผัสสะเเล้วเวทนามันเกิดสัญญามันเกิด สังขารมันเกิดเเล้วก็ดับ งั้นเบจญขันธ์มันจะเกิดดับเกิดดับตลอดเวลา ถ้าเราเห็นเบจญขันธ์เกิดดับก็จะได้เข้าใจว่า จริง ๆ ว่ามันไม่ใช้มีเราไม่ใช้มีของเรา มันมีเเต่เหตุมีเเต่ปัจจัยมันสนับสนุนให้เกิดเเล้วก็ดับไป ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ได้ก็ทำให้ความทุกข์จิตใจมันน้อยลงน้อยลง ถ้าความทุกข์มันน้อยลง ความสุขมันก็จะเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้น งั้นเป้าหมายของปฎิบัติธรรมเพื่อประโยชน์เพื่อความสุข ไม่ใช่สุขธรรมดาเเต่ว่าเป็นอริยะสุข โลกุตระสุข เท่านั้นพวกเราอยู่ที่สวนโมกข์ญาติโยมที่มาปฎิบัติรวมทั้งนักศึกษาพยาบาลที่มาอยู่สวนโมกข์ต่อไปนี้ก็ ขอให้ตั้งใจปฎิบัติเล็กเล็ก น้อย น้อย ห้านาทีอย่างน้อยได้รับประโยชน์ ที่ฝรั่งเขาเขียนหนังสือว่า ปฎิบัติห้านาที เเต่ละวันเเต่ละวันจะทำให้ สุขภาพจิตดีเมื่อสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็จะดีอื่นอื่นก็จะดีตามกัน ทำงานก็สนุกเป็นสุขเมื่อทำงานทำประโยชน์ตัวเองได้ ทำประโยชน์ผู้อื่นได้ นี้ละเป็นพยาบาลเป็นอาชีพปูชนียบุคคลที่พูดไปเเล้ว
งั้นขอให้ใช้เวลาปรับปรุงตัวเองให้ เป็นคนมีประโยชน์มีค่าเเละทำประโยชน์กับผู้อื่นเครื่องมือก็อยู่ที่เราหละ ลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องมือฝึกภาวนาหายใจเข้าก็ตามลมไป หายใจออกก็ตามลมมา ที่นี้พอจิตมีสมาธิมันก็ต้องการทำประโยชน์ให้มากก็เเผ่เมตตา เเผ่กรุณา เเผ่มุทิตา เเผ่เมตตา คือ รักผู้อื่น เเผ่กรุณา คือสงสารผู้อื่น เเผ่ไปเห็นคนเห็น เเล้วก็ เเผ่เมตตากรุณาเข้าไป ถ้าคนมีเมตตากรุณาก็จะทำงานได้มาก ทำงานได้ดี มีประโยชน์ งั้นเมตตานี้เป็นคุณธรรมสำหรับคนที่มีธรรมะ ก็ตั้งใจปฎิบัติกันต่อไปนี้