แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ไม่ว่าบวชเก่าและพระนวกะบวชใหม่รวมทั้งแม่ชีอุบาสกอุบาสิกานั่งอยู่ในบริเวณนี้ ขอให้เตรียมตัวตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุดคือเวลาหัวรุ่ง เพื่อทำที่พึ่งให้แก่ตัวเองที่พึ่งนี่ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในชีวิตของเรา เราเกิดมาก็ต้องพึ่งบิดามารดานี่ก่อน ก่อนบุคคลอื่นต่อมายังมีหมอมีพยาบาลมีญาติมีพี่น้องมีเพื่อนมีฝูง ไม่ได้เป็นบุคคล ที่เป็นสิ่งของ มีอาหารที่เราต้องบริโภคต้องกล่าวว่าต้องรับประทานทุกวัน มีเสื้อผ้าที่ต้องนุ่งห่ม บ้านเรือนที่ต้องอยู่อาศัย หรือว่าปัจจัยสี่นี่ก็เป็นที่พึ่งตามร่างกาย แล้วมนุษย์เรามันมีอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งก็คือร่างกาย ส่วนหนึ่งคือจิตใจ จิตใจนี่มันต้องมีที่พึ่งเหมือนกัน มีคนทั่วไปที่ไม่มีการปฏิบัติธรรม ไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ถือที่พึ่งผิดๆ ต้นไม้บ้าง จอมปลวกบ้าง สิ่งต่างๆที่เขาคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เดี๋ยวนี้ไปที่ไหน บางทีมีขวดน้ำหวานเปิด ขวดแล้วก็วางเต็มไปหมด คิดว่าคงจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เทวดาหรืออะไรจะได้มาใช้สิ่งเหล่านี้ ก็ถือว่าต้นไม้นี่มันพึ่งได้ แม้ในวัดในวาก็มี เต็มไปหมด ที่พึ่งอย่างนี้มันเป็นที่พึ่งธรรมดา ที่พึ่งที่มันไม่ประเสริฐ แม้จะไปพึ่งแล้ว ยังดับทุกข์ไม่ได้ ดังเราสวดมนต์ทำวัตรเช้าทุกวัน ที่พึ่งอันประเสริฐคือ คือเอาพระพุทธเจ้าบ้าง พระธรรมบ้าง พระสงฆ์บ้าง พระสังฆสูตร ที่เข้าใจอริยสัจนั้นจึงเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ และการที่จะเข้าใจอริยสัจนี่ ก็ต้องปฏิบัตินั่นเอง อริยสัจนี่เกี่ยวกับปริยัติก็รู้ การ (03.20 เสียงไม่ชัดเจน) เรื่องทุกข์เรื่องที่ทำให้ทุกข์เกิด เรื่องความดับไม่เหลือทุกข์ เรื่องทางถึงความดับไม่เหลือทุกข์ อริยสัจ 2 ข้อได้น่ะมันมีกันทุกคน เพราะเกิดมาก็พาความทุกข์มาด้วย ทุกข์ทางร่างกายด้วย ทุกข์ทางด้านจิตใจด้วย ทุกข์ทางด้านจิตใจน่ะก็มาจาก
อุปาทาน หรือความยึดถือว่าเราหรือของเรานั่นเอง ความจริงความทุกข์มันมาจาก ชาติ ถ้าไม่มีการเกิดขึ้นมาทางร่างกาย ความทุกข์ทางร่างกายมันก็ไม่มี ความทุกข์ทางด้านจิตใจก็เหมือนกัน ถ้าไม่มีชาติ และความนึกว่าตัวตน ความทุกข์มันไม่มี แล้วนี้ชาติมันมี ขึ้นมาแล้ว ชาติทางร่างกาย เราเกิดมา มาเจอปัญหามากมาย แม้เกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ความหนาว ความร้อน โรคภัยไข้เจ็บ ระหว่างแต่ละวันต้องจัดการ แก้ไขปัญหา พึ่งยาพึ่งสิ่งต่างๆ ทางด้านจิตใจก็เช่นเดียวกัน ต้องมีธรรมะเป็นที่พึ่ง
ธรรมะที่สำคัญที่สุด ก็คือมีสติ มีสัมปชัญญะ มีปัญญา มีสมาธิ พระพุทธเจ้า ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสให้พวกเราไว้ ธรรมะสี่คือ คือมีสติ สตินี่สำคัญมาก ถ้าขาดสติเมื่อไหร่ ภัยมาเมื่อนั้น ก็ต้องฝึก สตินี่ มันมีสติธรรมดา ที่ติดมากับชีวิตมันพอจะมีอยู่ แต่ว่าทำไม คนไม่ไปจับทางไปพอมันร้อน มันเผาไหม้ ทำไมเดินไม่ไปตกบ่อ เพราะมันเห็นว่าอันตราย สติแบบนี้มันมี มากับชีวิต คนเดินทางขับรถขับราก็มีสติ และการนั่งรถนี่ ชีวิตของเราฝากไว้กับคนขับรถอย่าคิดว่าเขาไม่มีสติไม่มีสมาธิ คนบ้าน่ะขับรถไม่ได้หรอกคนเมาก็ขับรถไม่ได้ คนที่เค้าขับรถได้เขาก็ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ มีสมาธิในระดับหนึ่ง ก็อย่างที่พวกเราไปเกาะสมุย อาศัยรถขององค์การบริหารส่วนจังหวัด คนขับรถเขาต้องมีสติพาเราไปถึงท่าเรือ พาเรากลับมาจากท่าเรือ ไปที่เกาะสมุยก็เช่นเดียวกัน คนที่ขับรถขึ้นเขาลงเขาไปไหนต่อไหนก็ปลอดภัย นั่นเราก็ไม่อันตราย ก็คนเขามีสติ มีสัมปชัญญะ มีสมาธิมี ปัญญาระดับหนึ่ง นี่ก็ตัวธรรมะ นี้แต่ว่าสตินี่ บางเวลามันเผลอ เผลอสติเมื่อไหร่ ภัยเกิดเมื่อนั้น อย่าบอก มันกระทบอารมณ์ อารมณ์นี่ มันมาทดสอบพวกเราทุกวัน พอตื่นขึ้นมาก็ เจออารมณ์ ทางรูปบ้าง ทางเสียงบ้าง ทางกลิ่นทางรส ขณะที่ฉันอาหารอยู่นี่ลองเผลอสติ ไม่มีสัมปชัญญะปัญหาก็เกิดโผฏฐัพพะ โดยเฉพาะธรรมารมณ์แม้อยู่คนเดียวมันก็เกิด ถ้า ขาดสติ สัมปชัญญะเมื่อไหร่ภัยมาเมื่อนั้น แม้เกิดสิ่งที่อันตราย ที่น่ากลัว ชนิดที่ทำเรามาให้เป็นทุกข์ ก็อยากให้ขอให้ฝึกสติ
เหมือนอย่างเดินเข้าไปในป่าหนามที่ไม่มีรองเท้า จะวางเท้านี่ต้องระวัง ถ้าวางไม่เป็นก็เหยียบลงบนหนาม หนามก็ตำเข้าไปในเท้าบาดเจ็บเลือดไหลอันตราย สติต้องฝึกตลอดเวลา ถ้าเผลอสติแล้วเกิดปัญหา กิเลสมันเกิด ราคะจะเกิดง่ายที่สุด ตาเห็นรูป โดยเฉพาะระหว่างเพศ เพศผู้หญิง เพศผู้ชาย เกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มีสติ สัมปชัญญะ กิเลส ราคะมันก็เกิด ไอ้โทษฐานนี่ก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน มันเกิดง่ายที่สุด ไม่ว่าจากการเห็นรูปจากการฟังเสียง จากการพูดของคนอื่น ที่จริง มันขาดปัญญานั่นเองเป็นเรื่องสมมติคำติเตียน คำด่า คำว่ามันเป็นเรื่องสมมติ แต่ว่าเพราะเราขาดสติสัมปชัญญะคิดว่าเขาว่าเรา เขาด่าเราเค้าตำหนิเราก็ขาดสติสัมปชัญญะ ความโกรธมันก็เกิดขึ้นมา อย่างเราเป็นพระนี่ โกรธเมื่อไหร่ แล้วก็หมดเลยล่ะ ในขณะนั้นความเป็นพระมันหมด ต้องระวังให้มากๆ พระพุทธเจ้าสอนว่า ถ้าโจรเอาเลื่อยมาตัดหนังขาด เนื้อขาดเอ็นขาด ไปจรดอยู่ในกระดูก ท่านให้โกรธ ก็เชื่อว่าไม่ทำตามคำสอนของพระองค์ เพราะฉะนั้นเป็นพระต้องระวัง โกรธเมื่อไหร่ ความเป็นพระก็หมดไปทันที อย่างน้อยต้องขณะหนึ่ง ทีนี้การที่จะไปทำอะไร แล้วมันเป็นแผลเป็นแผลที่จะรักษาแผลนี่ มันยากมันเป็นแผลในจิตใจมันจะเสียใจภายหลัง ว่ามันไม่น่าเลย มันไม่น่าจะเกิดความโกรธขึ้นมาแต่มันโกรธขึ้นมาแล้ว ก็ต้องแก้ตัวใหม่ ตั้งตัวใหม่แก้ตัวใหม่ ก็ต้องมีหิริโอตัปปะ ถ้าไม่มีหิริโอตัปปะนี่ต่อไปมันก็เผลอเรื่อยๆ มันเผลอจนชิน หิริคือละอาย ละอายมากๆแล้วที่เรามาบวชเป็นพระ สาวกของพระพุทธเจ้าทำไมจึงทำอย่างนี้ ทำไมจึงพูดอย่างนี้ ทำไมจึงคิดอย่างนี้ ก็ต้องให้มีความละอาย ให้มีความเกรงกลัว มีหิริโอตัปปะ มันเป็นธรรมะที่เราต้องฝึกถ้าเราไม่มีหิริโอตัปปะ เราต้องพึ่งตัวเองไม่ได้ พระพุทธเจ้าได้สอนว่า อัตตาหิอัตตโนนาโถ ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งของตน เราจะ พึ่งพระพุทธเจ้าได้ พึ่งพระธรรมได้ พึ่งพระสงฆ์ได้ พึ่งคนอื่นได้ เพราะเราพึ่งตัวเอง คือการปฏิบัติตัวเอง ให้มีสติ มีสัมปชัญญะ มีหิริละอายบาป โอตัปปะ กลัวบาปโดยการฝึก ในแต่ละวัน ๆ มารมันคอยที่จะเข้ามา พระพุทธเจ้านี่ชนะมาร เราสาวกของพระพุทธเจ้าก็ต้องปฏิบัติตามพระพุทธเจ้า
ถ้านึกถึง พระคุณของพระพุทธเจ้าหรือพระองค์ได้ปฏิบัติอย่างไร เราเดินตามรอย พระพุทธเจ้าพระคุณของพระพุทธเจ้าแต่ละบทๆ เอามาใคร่ครวญพิจารณาก็จะเกิด ปราโมทย์ จิตใจบันเทิงรื่นเริงและเกิดปีติ เกิดปัสสัทธิ เกิดสุข เกิดสมาธิ ก็เกิดยถาภูตญาณ มันสูงขึ้นไปๆ ก็ได้ที่พึ่งทางจิตใจ มันประมาทไม่ได้ ถ้าเราประมาทเมื่อไหร่ คำว่าประมาทก็คือ ขาดสตินั่นแหละ ก็ขาดสติก็เรียกว่าเป็นคนประมาท ไม่ว่าการพูด การกระทำ ความคิดนึก ถ้าขาดสติเรียกว่าเป็น ผู้ประมาท พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความประมาทได้เป็นทางแห่งความตาย ปมาโทมจฺจุโนปทํ ปมาโท คือประมาท มัจจุโน คือมัจจุราช ปะทังคือทางแห่งความตาย เย ปมตฺตา ยถามตา คนไหนประมาทแล้ว คนนั้นก็เหมือนคนตายแล้ว จิตใจก็เหี่ยวแห้งเศร้าหมอง ไม่มีความสดชื่น ดูต้นไม้ที่มันตาย ใบก็ไม่มีไม่ต้องพูดถึงดอกถึงผล เพราะมันตายแล้ว ชีวิตที่ขาดที่มีประมาทเหมือนกับคนตายแล้ว ชีวิตจะไม่มีความสดชื่น ไม่มีความอิ่มอกอิ่มใจ มันเป็นชีวิตที่ตายแล้ว แห้งแล้วระหว่างประมาท ต้นไม้ที่มันเป็น มันจะเขียว ใบของมันจะเขียวถึงเวลาที่มันออกดอก ออกผลก็ให้ดอกให้ผลเพราะมันมีชีวิต เหมือนกันกับจิตใจของเราถ้าประมาท มันจะเหี่ยวแห้งจะเศร้าหมอง พิจารณาแล้ว มันจะเศร้าหมอง เพราะฉะนั้นถ้าเรา ปฏิบัติดี นึกขึ้นมาทีไรจิตใจก็อิ่ม อนาถปรมาธรรม ว่าธรรมะสำหรับธรรมที่พึ่ง ซึ่งมีหลายอย่าง ต้องว่า ศีลพาหุสัจจะ กัลยาณมิตรา มีเป็นข้อเป็นข้อ โสวจัสสตา เป็นธรรมะสำหรับธรรมที่พึ่ง ก็ด้วยการพึ่งตนเอง ชีวิตของเราล่ะต้องมีที่พึ่ง แม้แต่ที่อยู่อาศัย เป็นพระแม้อยู่ในสวนโมกข์ ไม่ใช่มาอยู่กลางแจ้งได้ อยู่กลางแจ้งกันบางเวลาเท่านั้นในฤดูฝนมันอยู่ไม่ได้ ต้องอยู่ในกุฏิ ฆราวาสก็เหมือนกัน ต้องมีบ้านมีเรือนอยู่ จะเป็นตึกจะเป็นหลังคามุงจากมุงกระเบื้อง สำคัญอย่าให้หลังคามันรั่ว ตึกนี่ถ้ามันแตกมันร้าว หลังคามันรั่วก็อยู่ไม่ได้ ผ้าผ่อนข้าวของจะเสียหายหมด หลังคามุงกระเบื้อง หลังคามุงจาก หลังคามุงใบไม้ก็เช่นเดียวกัน อย่าให้หลังคามันรั่ว เหมือนกันน่ะ ถ้าเปรียบเทียบกับคนเดินทางไปในทะเล สำคัญอย่าให้เรือมันรั่ว ถ้าเรือมันรั่ว รั่วน้ำ มันเข้า เรือมันก็จมแม้ปัจจุบันคนขับรถขับราไปไหนมันถ้ายางมันรั่ว มันก็ไปไม่ได้ ก็ต้องระวังล้อ ดูยางให้ดีอย่าให้ยางมันรั่ว
สตินี่เป็นเรื่องที่สำคัญถ้าเราขาดสติ เมื่อไหร่ ภัยมาเมื่อนั้น ด้วยการฝึก เมื่อจะทำที่พึ่ง อย่างระบบอาณาปาณสตินี่เป็นระบบที่ดีที่สุดที่เราปฏิบัติกันอยู่ แต่ว่าเราปฏิบัติน้อยมาก ที่พวกฝรั่งมาลงอบรมนี่ อาณาปาณสติเป็นครั้งๆ ครั้งที่หนึ่งลมหายใจเข้ายาวออกยาว ครั้งที่สองลมหายใจเข้าสั้นออกสั้น ครั้งที่สามกายทั้งปวงเรียกทำกายสังขารนิรามรรค ทำกายสังขารนิรามรรค เป็นเรื่องที่สำคัญ ลมหายใจเข้าออก ของเราเป็นเครื่องมือ ถ้าหากจิตไม่มีสมาธิ ลมหายใจมันหยาบ เพราะว่าจิตไม่มีสมาธิ ผู้ที่ฝึกสมาธิได้ เหมือนกับไม่มีลมหายใจเข้าก็คือได้สมาธิระดับฌาน ได้สมาธิได้ฌานที่สี่ ลมหายใจเข้ามันระงับ ของเรามันยังไม่ถึง ก็ต้องฝึกก็ใช้สมาธิแล้วก็อบรมปัญญา ให้เห็นว่าสังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าตัวตนน้อย ปัญหาก็จะน้อย ตัวตนมากปัญหาจะมาก งั้นต้องลดตัวตน อย่างโบราณ เรือวิ่งไปทะเล เค้าใช้ใบ ใช้ใบวิ่ง พายุมาต้องลดใบ ถ้าไปขึงใบ ชักใบให้มันเต็มใบเรือจม ต้องลด ลดใบลงมาลดตัวตนลงมา ให้มันน้อยลงๆ ถ้าไม่มีตัวตน ก็ไม่มีปัญหาอะไร ความโกรธมันจะไม่มี ราคะมันก็ไม่มี โทสะ โมหะมันไม่มี ตัวตนนี่มันตัวร้าย ตัวมารร้าย ผีหลอกบางทีมันไม่มี แต่อวิชชามันสร้างให้รู้สึกว่ามีตัวตน ไปติด ไปสมมติ ไปใส่ชื่อ ที่พ่อแม่ตั้งให้ก็ไปติดว่า เป็นเรื่องจริง ทรัพย์สินเงินทองที่มีกันนี่ ก็เป็นเรื่องสมมติทั้งนั้นไม่ใช่ของจริง ผมไปที่เกาะสมุย ผมยังพูดเล่นๆกับคนบางคน ทางที่ขึ้น ที่เปล่าเดี๋ยวนี้ก็สร้าง ฝรั่งมาสร้างเยอะ สร้างอาคารเต็มไปหมดเลย ผมยังพูดเลยว่าต่อไปเราจะเข้าไปอาศัยบ้านนั่น บ้านร้างกันบ้างล่ะ ฝรั่งมันไม่รู้ มันสร้างลงทุนมากมาย เป็นสิบล้าน เป็นร้อยล้าน สร้างไว้เต็มไปหมดเลย ถ้าไว้มันไม่มีคนมาซื้อมาอยู่มันก็กลายเป็นบ้านร้าง บางทีเจ้าของก็ตาย ทิ้งไป ฝรั่งมาสร้างบ้านที่เกาะสมุยแล้วก็ตายทิ้งไป ก็มีหลายรายก็กลายเป็นบ้านร้าง พระเจ้าบอกว่า นั่นโคนไม้ นั่นเรือนร้างไปนั่งสมาธิ มันก็ไม่แน่ทั้งนั้น มันเป็นสังขาร เราก็ เอาเวลาที่เหลือวันนี้มาปฏิบัติไม่มีเรื่องอื่น อยู่กันในสวนโมกข์นี่ให้จิตใจมันโมกข์ โมกข์จิตใจให้เกลี้ยง ต้องอาศัยพิจารณาอนิจจังบ้าง ทุกขังบ้าง สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์มาอยู่ที่จิตใจ ทำที่พึ่งให้แก่ตัวเอง และเมื่อเรามีที่พึ่งแก่ตัวเอง ก็ต้องคิดถึงคนอื่น ที่จะช่วยเหลือคนอื่น นี่คือหน้าที่ที่เราจะต้องทำและทำเป็นเรื่องแต่พอตัว ถ้าใครไม่ประมาทก็ได้รับประโยชน์กับการมาอยู่ในสวนโมกข์ ถ้าใครประมาทก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรอยู่ไปวันๆนึงขอให้ทุกคน อย่าประมาท มาอยู่อยู่สวนโมกข์ก็ได้รับประโยชน์กันทุกคน ให้ทุกคนได้ปฏิบัติกันต่อไปนี้