แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นพระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์พร้อมทั้งแม่ชีอุบาสกอุบาสิกาที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้เตรียมตัวตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรม เวลาที่ดีที่สุดเพื่อเข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ หรือที่เรียกว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ พุทธศาสนามาจากพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าพุทธบริษัทก็จะไม่มี พุทธบริษัทคือภิกษุเป็นนักบวชผู้ชาย ภิกษุณีเป็นนักบวชผู้หญิง เป็นอุบาสกอุบาสิกา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าคำว่าพุทธบริษัทก็จะไม่มี แม้แต่วัดวาอารามก็ไม่มี ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านมาสร้างสวนโมกข์เอาไว้ ถ้าไม่มีท่านอาจารย์พุทธทาสสวนโมกข์ก็มีไม่ได้ ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านกลับพูดว่าถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าท่านก็มีไม่ได้ คำสอนในพระพุทธศาสนามากมายรวมเป็นพระคัมภีร์ พระไตรปิฎกซึ่งมีค่ามาก มีคุณมาก 25 เล่ม เฉพาะเป็นบาลีนอกนั้นเป็นอรรถกถามากมายคัมภีร์พุทธศาสนา ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าพระไตรปิฎกก็มีไม่ได้ แม้แต่ประเพณีต่างๆ ที่ชาวพุทธปฏิบัติกันอยู่ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าก็มีไม่ได้ งั้นพวกเราพุทธบริษัทจะมองให้เห็นความสำคัญของพระพุทธเจ้า พระองค์อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนจำนวนมากทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
หมายความว่าทั้งคนยากจนทั้งคนมั่งมีถ้าปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าก็จะได้รับประโยชน์ได้รับความสุข ที่สำคัญที่สุดว่าเราเน้นไม่เข้าใจไม่แจ่มแจ้งในสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้และทรงสอน ส่วนใหญ่ก็รู้กันว่าพระพุทธเจ้าตรัสรู้เรื่องอริยสัจ 4 อริยสัจ 4 คือสิ่งที่มีในชีวิตประจำวันของทุกคนอันนี้ แต่เรามีไม่ครบ ไม่ครบอริยสัจ 4 อริยสัจ 4 มีอะไรบ้าง คือ หนึ่งเรื่องทุกข์ ทุกคนมีอยู่แล้วพอเกิดมาก็พาความทุกข์ติดตัวมาแล้ว สองเหตุให้ทุกข์เกิด เหตุให้ทุกข์เกิดนั้นมันมีตลอดเวลา ส่วนความดับแห่งทุกข์มันไม่ค่อยจะมี เพราะว่าไม่ได้ปฏิบัติในหนทางเพื่อให้ทุกข์มันดับ ดังนั้นการปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติในหนทางที่ทำให้ทุกข์มันดับ มันก็ต้องศึกษาให้เข้าใจว่าความทุกข์นั้นน่ะมันคืออะไรบ้าง ความทุกข์มันมีหลายอย่าง ความเกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ โศกร่ำไรรำพันทุกข์กายทุกข์ใจ มันมีอาการของความทุกข์ มันเยอะ การพึ่งพึงมันเจ็บปวดมันทนได้ยากมันทรมาน เรียกว่าทุกข์ ความหนักอกหนักใจ จิตใจมันรู้สึกมันหนักมันเหนื่อย นั่งก็ความทุกข์ สรุปแล้วความทุกข์มันมี 2 อย่าง ความทุกข์ทางร่างกายทางเนื้อหนัง สองความทุกข์ทางด้านจิตใจ ความทุกข์ทางร่างกายคนก็เห็นอยู่ก็ไม่อยากจะให้มันเป็นทุกข์ เช่น ความหิว อย่างนี้ก็เป็นอาการของความทุกข์ก็พยายามที่แสวงหาอาหารระงับความทุกข์ ความหนาวความร้อนก็เป็นความทุกข์ทางร่างกายก็ไม่เอา ป้องกัน เจ็บไข้ได้ป่วยก็เป็นความทุกข์ทางด้านร่างกาย ก็พยายามที่จะใช้ยาหาหมอรักษาหรือวิธีต่างๆ นี่เป็นความทุกข์ทางร่างกาย ใคร ๆ ก็เห็นมองเห็น แต่ความทุกข์ทางด้านจิตใจ คนส่วนมากมองไม่เห็นว่ามันมาจากอะไร ความทุกข์ทางด้าน
จิตใจเนี่ยมันก็มาจากยึดถือว่ามาจากอุปาทาน อุปาทานคือการยึดถือเอาของหนัก ที่เราสวดทำวัตรเช้ากันทุกวัน ปัญจุปาทานขันธ์ ทุกขา เพราะยึดถือในเบญจขันธ์ อะไรคือตัวทุกข์ เบญจขันธ์ก็คือชีวิตของเราที่ยังมีความรู้สึกได้ ยังมีสัญญาและเวทนา ยังรู้สึกได้ ยังจำได้ ยังรู้สึกได้ เบญจขันธ์ก่อเกิดหนึ่งรูป สองเวทนา สามสัญญา สี่สังขาร ห้าวิญญาณ รูปเนี่ยเป็นวัตถุ สามารถมองเห็นได้จับต้องได้ ดมได้นี่เป็นส่วนของรูป รูปประกอบด้วยธาตุทั้ง 4 ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม เป็นส่วนของรูปคือชีวิตที่เรามี เวทนาคือความรู้สึก รู้สึกเป็นสุข รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ นี่เป็นเวทนา สัญญาจำได้ หมายรู้ จำรูปจำเสียงจำกลิ่นจำรสจำโผฏฐัพพะ จำเรื่องราวต่างๆ นี่ความหมายธรรมดา แต่ว่าสัญญานี้ ถ้ากิเลสมันเข้ามาอยู่ในจิตใจได้ มันจะเป็นสัญญาวิปลาส คำว่าวิปลาสนั้นคือมันผิดปกติ เสียสติ ปัญหาต่อไปก็คือบ้านั่นเองสัญญาวิปลาสเพราะสำคัญผิดที่มาจากกิเลส เอากิเลสเข้ามาอยู่ในจิตใจได้ มันก็ทำให้เข้าใจผิดสำคัญผิด สิ่งที่ไม่เทียงก็คิดว่ามันเที่ยง สิ่งที่เป็นทุกข์ก็คิดว่าเป็นสุข สิ่งที่ไม่งามก็เห็นว่างาม สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนก็เห็นว่าเป็นตัวตน สิ่งที่เป็นทุกข์คนมาสำคัญว่าเป็นสุข เป็นอย่างไรก็ลองพิจารณาดู คนทั่วไปกล่าวว่าทั่วไปก็ชอบยึดถือว่านี่ของเรานั่นของเรา อยากจะมีให้มากๆ มีที่ดิน มีทรัพย์สิน มีเงินมีทองให้มากๆ แล้วก็ไปยึดถือว่าเป็นของเรา ขนาดยึดถือเอาสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข เพราะอำนาจของกิเลสที่เรียกว่าอวิชชา ก็ได้ทำให้ทุกข์ เกิดขึ้นในจิตใจ ไม่รู้จักหยุดไม่รู้จักหย่อน อันสัญญานี้ตัวสำคัญน่ะ แล้วก็สังขาร สังขารมันมีความหมายมากสิ่งมีชีวิตทั้งหลายก็เป็นสังขาร สิ่งไม่มีชีวิตทั้งหลายก็เป็นสังขาร ในตัวชีวิตที่เรามีอยู่ก็มีสังขารอีกหลายชนิด กายสังขาร ลมหายใจเข้าหายใจออก ว่ากายสังขาร วจีสังขาร คำพูดที่เราพูดออกมาได้ก็เพราะมีวิตกคือจิตที่จะวิจารณ์จิตที่ตกเอาคำพูดที่พูดออกมา วจีสังขาร จิตสังขาร ก็เพราะมีสัญญา และเวทนาจึงทำให้จิตทำงานได้เรียกว่าจิตสังขาร ก็สังขารกลุ่มนี้ก็อยู่ในชีวิตของเรานี่ ถ้ามีสังขารที่ร้ายที่สุดที่มาจากอวิชชา อวิชชาปัจจยา สังขารา อวิชชาเป็นปัจจัยจึงเกิดสังขาร นี่คือมันปรุงจิตให้เห็นผิดให้เข้าใจผิด โดยเฉพาะปรุงให้รู้สึกว่ามีตัวตนตามนัยยะแห่งปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาทก็คือเรื่องอริยสัจที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ คืนที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระองค์ก็มาพิจารณาปฏิจจสมุปบาทนี้ พระก็ไปสวดเรื่องปฏิจจสมุปบาทที่ว่าเวลาคนแก่ๆ นิมนต์พระไปสวดบังสุกุลเป็น และพระก็สวดชุดนี้อวิชชาปัจจยา สังขารา สังขาราปัจจยา เรื่อยไปจนกระทั่งถึงชาติ ชาติเนี่ยที่ทำให้เกิดความทุกข์ ชาตินี้มี 2 ความ หมาย คือชาติที่เกิดจากท้องมารดา ทุกคนมีการเกิดมาก็เพราะมีบิดามารดา และก็มีชาติ ชาตินี้ชาติทางเนื้อทางหนังมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นแล้วอยู่ไปจนกระทั่งแก่เจ็บตาย แล้วแต่อายุของคน บางคนตายตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนคลอดมาไม่กี่ปีก็ตาย ตายในวัยหนุ่มวัยสาว ตายในวัยพ่อบ้านแม่เรือน วัยแก่ชราก็ไม่แน่นอน นี่ชาติที่เกิดมาจากทางเนื้อทางหนังของท้องมารดามีเพียงครั้งเดียว ชาติในความรู้สึกมีตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อผัสสะเกิด ผัสสะนี้เป็นเรื่องสำคัญที่ชาวพุทธจะต้องเรียนรู้ เพราะผัสสะมันมีหลายผัสสะมีถึง 6 ผัสสะ ความหมายของผัสสะคือสิ่ง 3 สิ่งมันมาทำงานร่วม กัน สิ่ง 3 สิ่ง หนึ่งคืออายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อายตนะภายใน สิ่งที่ติดต่อหรือที่โยงภายในอีกชื่อหนึ่งคืออินทรีย์ อินทรีย์คือความเป็นใหญ่เป็นหน้าที่ของตน คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตาเป็นใหญ่ในการเห็นรู้ หูเป็นใหญ่ในการฟังเสียงจะมาแลกเปลี่ยน สับ เปลี่ยนไม่ได้ จะเอาตามาแทนหูหูมาแทนตาไม่ได้ อีกความหมายหนึ่งคือเป็นที่ๆ สำคัญที่สุด อินทรีย์นี่เป็นที่ๆ สำคัญที่สุดต้องควบคุมให้ได้ก็ว่าสำรวมอินทรีย์ ทีนี้อีกพวกหนึ่งอยู่ข้างนอกเรียกอายตนะภายนอก คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฐทัพพะ และก็ธรรมารมณ์ ธรรมารมณ์นี้มากที่สุด เออสิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ เห็นรูปก็เกิดอารมณ์ขึ้นมา บางทีอารมณ์ในอดีตตั้งแต่เราเกิดตั้งแต่เราจำความได้ยังเป็นอารมณ์คอยเกิดขึ้นมาเป็นอารมณ์ใหม่ พระพุทธเจ้าก็สอนให้ระวังเรื่องอารมณ์ในอดีตจะคอยตาม มาเกิด ฉะนั้นพวกเราที่มาบวชเป็นพระ โดยเฉพาะท่านที่มีอายุมากแล้วมาบวชนี่ต้องระวังให้ดี อารมณ์ที่เคยเกี่ยวข้องเคยสัมผัสมันมาในอดีตมันจะมารบกวนจิตใจ ถ้าไม่มีการฝึกเอาไว้มันจะมาพุ่งให้เป็นอารมณ์ใหม่มันเยอะ รูป เสียง กลิ่น รส โผฐทัพพะ ธรรมารมณ์ก็เรียกอายตนะภายนอกก็เรียกอารมณ์ก็เรียกวิญญาณ วิญญาณจริง ๆ ก็คือจิตของเรานั่นเอง ชีวิตของเราโดยสรุปก็มี 2 อย่างคือกายกับจิต ถ้าจำแนกออกไปจิตก็คือวิญญาณ จิตเมื่อมาทำหน้าที่ในขณะที่ตาเห็นกับรูปก็เป็นจักขุวิญญาณ มาทำหน้าที่เอาหูฟังเสียงเรียกโสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ วิญญาณเนี่ยมันหก เนี่ยพอตาเห็นกับรูปวิญญาณก็เกิดก็เป็นผัสสะ
ผัสสะนี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด ผัสสะจึงมี 6 ผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ พอผัสสะแล้วเวทนาก็จะเกิด สัญญาก็จะเกิด สังขารก็จะเกิด เกิดตามที่ผัสสะ ตัวร้ายที่สุดคือตัวเวทนา เวทนามันมีทุกขเวทนา รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกสบาย ทุกขเวทนารู้สึกเป็นทุกข์มันไม่สบายไม่ชอบใจ ก็มาทุกขเวทนารู้สึกเฉยๆ ที่เรามองไปที่ภูเขามองไปที่ท้องฟ้าบางทีรู้สึกเฉยๆ ถ้ามองไปที่คนมองไปที่สัตว์มันก็รู้สึกคนละอย่าง โดยเฉพาะเพศที่ตรงกันข้ามนี่ตัวร้าย พระพุทธเจ้าจึงสอนภิกษุไม่เห็นเป็นการดีไม่มองเป็นการดี เห็นแล้วไม่พูดเป็นการดี สองเพศนี้มันชักจูงให้จิตมันตกต่ำก็ต้องระวัง การปฏิบัติธรรมนี่สำคัญที่สุดก็คือที่ผัสสะนี่เอง เพราะว่าอวิชชามันจะคอยสงสัยคอยดลใจ อวิชชานี่เป็นธรรมชาติของกิเลสที่ร้ายกาจที่สุด คอยลงลงในจิตใจของคนที่ไม่มีสติไม่มีสัมปชัญญะ อวิชชาเข้ามาได้มันจะมาผสมโรงกับเวทนาแล้วก่อให้เกิดกิเลสต่างๆ อีกมากมาย เช่น เกิดทุกขเวทนาขึ้นมาก็ทำให้ราคะมันเกิด ราคะนี่เป็นตัวกิเลสที่มันเผาผลาญจิตใจให้เร่าร้อนไม่เลือกว่าคนหนุ่มคนแก่ ถ้าเกิดทุกขเวทนา โทสะปฏิฆะก็จะเกิดคือไม่พอใจ จะเกิดอทุกขมสุขเวทนา ก็เกิดโมหะอวิชชาตกลงในจิตใจแล้วก็ปรุงแพรบเดียวให้มีความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา ทุกผัสสะ ไม่ว่าผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจก็ผัสสะแล้ว หากเราไม่มีศีลสัมปชัญญะไม่มีสมาธิไม่มีปัญญา ก็นำไปสู่การเกิดการเกิดใหม่ การเกิดของจิตใจมันมีวันหนึ่งไม่รู้สักเท่าไหร่ ก็เป็นชาติ เพราะชาติมันเกิดต่อไปความแก่ความเจ็บความตายมันก็ต่างมารวมอยู่ในความรู้สึกว่ามีตัวตนนั่นเอง ชาตินี้เป็นชาติที่สำคัญจะต้องระวังอย่าให้ชาติมันเกิด นี่เป็นความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ได้ตรัสรู้ลงในอริยสัจสี่ เรื่องทุกข์ทุกข์เกิดทุกข์มันมีอยู่ในชีวิตของเรา ถ้าเหตุให้เกิดทุกข์มันคอยเกิด เกิดตลอดเวลา หากไม่ปฏิบัติธรรม ก็ความทุกข์ความดับทุกข์ถ้าไม่มีการปฏิบัติธรรมมันดับไม่ได้ เราก็ต้องปฏิบัติในหนทางที่ทำให้ทุกข์ดับ เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา ทางสายกลาง ทางสายกลางโดยย่อคือสมถะและวิปัสสนา อบรมจิตของเรา ที่สวนโมกข์เป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติธรรมก็ต้องสนใจเรื่องนี้ เรื่องอื่นเป็นงานอดิเรก งานกิจนิมนต์อย่าถือว่าเป็นงานหลักเป็นงานอดิเรก ที่ว่าไปสงเคราะห์ญาติโยมไปทำบุญอย่านึกว่าไปได้ไทยทานได้สะตุ้งสตางค์อย่าไปคิดอย่างนั้น งานหลักนี้คืองานปฏิบัติธรรม มีเวลาปฏิบัติมากเท่าไหร่จะมีประโยชน์ ให้เป็นเครื่องทดสอบว่าจิตใจแต่ละวันๆ มันปกติหรือไม่ปกติ จิตใจสงบหรือไม่สงบ นี่เป็นเครื่องวัด พอตื่นขึ้นมามันผัสสะมันมีทุกที แต่ถ้าจะเอาอธิบายละเอียดว่าถ้าผัสสะกระทบปฏิฆะสัมผัส ปัญหามันก็ไม่มี แต่ถ้าอวิชชาสัมผัสอธิวจนสัมผัส ปัญหามันเกิด อยากจะสอนว่าให้ตาเห็นรูปแล้วจำไว้คือมีแต่ปฏิฆะสัมผัส แต่มันยาก ถ้าไม่มีการฝึกเอาไว้นะมันยาก ที่เห็นสักว่าเห็น หูฟังสักว่าได้ยิน จมูกดมกลิ่นสักว่าดม จิตรู้อารมณ์สักว่ารู้ จะต้องมีการฝึกเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่พยายามฝึกมันยังแพ้ต่อกิเลส เพราะว่ากิเลสนะมันแยบยลแยบคาย มันสอนให้เพลินในอารมณ์นั้นๆ ก็ต้องเห็นโทษเห็นโทษของกิเลสว่าเป็นตัวร้ายกาจตัวอันตราย และก็จนฝึกให้มีสติสัมปชัญญะ อย่าให้อวิชชามันเกิดขึ้นมา ถ้าอวิชชาเกิดขึ้นได้ ตาเห็นรูปอวิชชาเข้ามาร่วม อวิชชาสัมผัสสัมผัสด้วยอธิวจนสัมผัสกลับไปถือเอาสิ่งนั้นๆ ว่าเป็นของจริงของจังขึ้นมาทั้งที่เป็นเพียงสังขารเท่านั้น ต้องปฏิบัติธรรมจึงจะเอาชนะกิเลสได้ก็ว่ามันเป็นเพียงสังขารธรรม
ถ้าสังขารมันก็ต้องไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ดังนั้นพวกเราอยู่ที่สวนโมกข์มีโอกาสเยอะก็ขอให้ใช้เวลาสำหรับปฏิบัติ ทำให้มากๆ สำหรับฆราวาสที่เป็นพุทธบริษัทก็ต้องทำสองอย่าง หนึ่งหาโภคทรัพย์ทรัพย์สินเงินทอง พอตื่นขึ้นมาก็คิดว่าวันนี้ไปทำอะไรงานการที่มันค้างคาอยู่ต้องทำอะไรบ้าง ถ้ามีลูกจ้างก็ต้องคิดถึงลูกจ้าง คิดถึงคนเรื่องนั้นเรื่องนี้ ฆราวาสเขาประกอบอาชีพการงานจะเป็นชาวนาหรือจะเป็นชาวสวนพ่อค้าราชการก็ต้องคิดถึงหน้าที่การงานมันเกี่ยวกับโภคทรัพย์ของต้องแสวงหา แต่ว่าถ้าเป็นพุทธบริษัทฆราวาสที่ดีก็ต้องพยายามหาอริยทรัพย์คือคุณธรรมศรัทธา เป็นต้น อริยทรัพย์ คือ ศรัทธา ศีล หิริละอายบาป โอตัปปะกลัวบาป พหุสัจจะได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าจำได้เข้าใจมากขึ้น เป็นจาคะปัญญา มีฆราวาสหลายคนที่เขาประสบความสำเร็จในชีวิต วัดวาอารามอยู่ได้ก็เพราะฆราวาสที่เป็นพุทธบริษัทที่เขามีทรัพย์สินเงินทองนั่นเอง ก็เพราะเรานั่นเป็นพระมันเป็นเนื้อนาบุญของโลกก็ต้องทำหน้าที่รักษาเนื้อนาให้ดี เนื้อนาที่เขาหว่านพืชลงข้าวลงไปในผืนนาแล้วมันไม่ได้ผลเพราะเป็นนาดินเค็มนาดินดอนนาที่มันไม่น่าปลูกข้าวข้าวมันก็ง่อย งดงามไม่ได้เพราะเนื้อนามันไม่ดี พระสงฆ์เราที่บวชเข้ามาต้องไม่ลืมว่าพระสงฆ์เป็นเนื้อนาบุญของโลก ปุญญักเขตตัง โลกัสสะต้องรักษาเนื้อนาให้ดี ก็คือการปฏิบัติธรรม เอาชนะกิเลสให้ได้แต่ละวันๆ พอตื่นขึ้นมาก็ต้องมีสติมีสัมปัชชัญญะ ระหว่างเมื่อผัสสะมันเกิดตาเห็นรูปหูฟังเสียงเป็นต้น พยายามฝึกสติถ้าเห็นรูปก็สักว่า ได้ยินเสียงก็สักว่าฟัง ทำปริยัติก็ต้องเรียนต้องศึกษาให้เข้าใจ ห้องสมุดเป็นหนังสือเยอะ ๆ หมด ไม่ว่าห้องสมุดไหนหนังสือก็เยอะแยะหมด หนังสือที่มีประโยชน์ก็ควรจะออกมาอ่าน เอามาทบทวน ห้องเหล่านี้เอาหนังสืออิทัปปัจจยตา ท่านอาจารย์เคยบรรยายเอาไว้ เมื่อก่อนผมก็บันทึกเสียงท่านอาจารย์บรรยายซึ่งก็นานมากแล้ว เอามาอ่านใหม่มันได้ประโยชน์มาก เป็นหนังสือที่มีคุณค่ามาก ถ้าชาวพุทธอ่านหนังสืออิทัปปัจจยตา เข้าใจและปฏิบัติได้นี่จะแก้ปัญหาได้ทุกปัญหาอันอยากจะโฆษณาหนังสือที่ดีที่สุดที่ท่านอาจารย์พุทธทาสทำขึ้นมาก็คือหนังสืออิทัปปัจจยตา เล่มไม่แพงไม่แพงมากที่ธรรมทานมูลนิธิเขามีขาย ใครต้องการจะก้าวหน้าควรหาอ่านควรทบทวนบ่อยๆ จะมีประโยชน์มาก มันเป็นความรู้ที่จะมาแก้ปัญหาได้ ท่านอาจารย์อธิบายทุกเรื่องรวมอยู่ในคำว่าอิทัปปัจจยตา เอาละเวลาต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันเป็นหน้าที่ของพุทธบริษัทโดยเฉพาะพวกเราที่อยู่สวนโมกข์ หน้าที่อื่นถือว่าเป็นงานอดิเรก หน้าที่หลักงานหลักคืองานปฏิบัติธรรม ถ้าไม่สนใจเรื่องนี้แล้วก็จะไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่ละวันๆ ปฏิบัติธรรมตามเวลาที่มี