แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะต่อไปนี้ก็ขอให้พวกเราที่เป็นภิกษุสงฆ์ทุกรูปทุกองค์ รวมทั้งแม่ชี อุบาสก อุบาสิกา ที่นั่งอยู่ ณ บริเวณนี้ ขอให้ตั้งใจเตรียมตัวที่จะปฏิบัติธรรมในเวลาที่ดีที่สุดคือเวลาหัวรุ่ง เวลาในพรรษาก็ผ่านมาตามลำดับ และวันนี้เป็นวันที่ 1 กันยายน พรรษาก็ผ่านมาเกินครึ่งนิดหน่อยแล้ว คำว่า “พรรษา” ก็คือฤดูฝนนั่นเอง พระต้องถือวินัย จำพรรษาก็อยู่เป็นที่เป็นทาง นี่ฤดูฝนในครั้งพุทธกาลสมัยแรกๆ พระพุทธเจ้ายังไม่ได้บัญญัติวินัย พระภิกษุสงฆ์ก็จาริกไปเรื่อยๆ ไม่ว่าหน้าร้อน หน้าฝน หน้าหนาว จาริกไปเรื่อยๆ ทีนี้พอถึงหน้าฝนชาวนาเค้าก็ทำนากัน พระภิกษุสงฆ์ก็เดินไปเหยียบย่ำข้าวกล้าในนาของชาวนา ทำให้ชาวนาไม่พอใจก็ตำหนิว่าแม้แต่นกแต่หนู ฤดูฝนก็อยู่รูอยู่รัง ทำไมสาวกของพระพุทธเจ้าแม้ฤดูฝนก็ยังเที่ยวไป พระพุทธเจ้าทรงทราบก็ประชุมสงฆ์และบัญญัติวินัยว่า ฤดูฝนภิกษุต้องจำพรรษา การจำพรรษานี่ก็มีกฎเกณฑ์อยู่ว่าต้องอยู่ในกุฏิกันฝนกันลมได้ ไม่ใช่ไปจำพรรษาในตุ่ม ไม่ใช่จำพรรษาในโพรงไม้ นั้นมีการบัญญัติไว้อย่างนี้ ฉะนั้นในสวนโมกข์เราก็มาจำพรรษากัน มีพระภิกษุสงฆ์อยู่กัน 60-70 รูป ญาติโยมก็มาอยู่กันที่สวนโมกข์ ซึ่งเป็นวัดของพระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ฤดูฝนฝนก็ตก แต่ว่าภาคใต้ฝนใหญ่ยังไม่มา ตอนนี้ได้ข่าวว่าบางแห่งภาคเหนือภาคอีสานฝนตกน้ำท่วมก่อเกิดปัญหา ในโลกนี้มันก็ไม่เหมือนกัน เดี๋ยวนี้เรียกว่าเกือบทุกคนก็ว่าได้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือ ที่ใช้คอมพิวเตอร์ ก็รู้ประเทศนั้นประเทศนี้มีปัญหาอย่างไรก็รู้ เมื่อก่อนคนไม่มีความรู้อย่างนี้ เดี๋ยวนี้โลกมันก้าวหน้าทางวิทยาศาตร์ทางเทคโนโลยี วัตถุมันสะดวก มันก็ดีไปอย่างเหมือนกัน แต่ว่าถ้าไม่ทำใจไม่ดี จิตใจก็พลอยเศร้าหมอง และเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นที่นั่นที่นี่ หน้าฝนมันตกทำให้น้ำท่วม ทำให้ข้าวของเสียหาย ผลแบบนี้เป็นผลธรรมชาติ เรามีผลชนิดหนึ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ ผลคือกิเลสมันจะรั่วรดจิตใจของคนผู้ไม่มีเครื่องป้องกัน ผลกิเลสมันจะรั่วรดไม่ว่าฝนแล้ง ไม่ว่าฝนตก ไม่ว่าฤดูไหน ผลกิเลสนี่มันจะรั่วรดจิตใจของมนุษย์ มนุษย์เรานี่เกิดมามีร่างกายมีจิตใจ จิตที่สำคัญที่สุดคือจิตดั้งเดิม จิตทีแรกเรียกว่าจิตประภัสสร จิตนี่มีความสำคัญมาก ถ้าเราไม่รักษาจิตเอาไว้ให้ดี กิเลสจะรั่วรดทำลายให้เสียหายและปัญหาก็เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นที่นั่นที่นี่ มีการเบียดเบียนกัน มีการลัก มีการโขมย มีการฆ่าการฟัน มีสงคราม สงครามเล็กสงครามใหญ่เกิดขึ้นในโลกนี้มาจากหมู่มนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันก็มีแต่สัญชาตญาณ รู้จักกินอาหาร รู้จักหลับนอน รู้จักสืบพันธุ์ รู้จักกลัวภัย
สัตว์เดรัจฉานมันก็เบียดเบียนกัน แต่มันเบียดเบียนสัตว์อื่นก็เอามาเป็นอาหาร อย่างแมวจับหนูนี่ หนูมันก็เป็นอาหารของแมว แมวก็จับหนูกินเป็นอาหาร เหยี่ยวมันจับเหยื่อ ก็เพราะว่าเหยื่อจะเป็นอะไรก็ตาม เป็นกบ เป็นเขียด เป็นนก เป็นลูกไก่ เหยี่ยวมันจับกินเป็นอาหาร พอมันอิ่มแล้วมันก็หยุด มันก็มีเพียงแค่นั้น แต่ว่ามนุษย์เรามันเบียดเบียนกัน รบราฆ่าฟันกัน เพราะว่าจิตใจนี่ถูกกิเลสเข้ามาครอบงำ จิตใจมันมาอยู่ใต้อำนาจของกิเลสเพราะผลมันรั่วรด ดังนั้นเพราะเราเป็นพุทธบริษัท เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าได้ชนะมาร ชนะกิเลส อยู่บนบกน้ำไม่ท่วม เพราะว่ามีเครื่องป้องกันมีที่พึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ มีคนจำนวนมหาศาลได้มีพระองค์เป็นที่พึ่ง พวกเราชาวพุทธเราสรรเสริญพระคุณของพระพุทธเจ้า นึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง ถือเอาพระธรรมเป็นที่พึ่ง ถือเอาพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง พระสงฆ์นี่ก็มาจากพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นบนโลกนี้พระภิกษุสงฆ์ก็มีไม่ได้ พวกเราเป็นพระภิกษุสงฆ์ก็ต้องมองให้เห็นว่าที่เรามาบวชมาเป็นพระภิกษุสงฆ์ เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ได้มีอยู่ในโลก มีพระพุทธเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะพระองค์ได้ตรัสรู้ธรรมะ ธรรมะนี่มีอยู่ก่อนพระพุทธเจ้า ถ้าธรรมะไม่มีอยู่ก่อน พระพุทธเจ้าจะค้นพบธรรมะได้อย่างไร ธรรมะมีอยู่ก่อนแล้ว ดังที่พระองค์ตรัสว่า “ตถาคตเกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว” ธรรมะที่สำคัญที่สุดก็คือธรรมนิยาม ธรรมนิยามเป็นกฎตายตัวของธรรมะ ทีนี้เมื่อพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมะแล้ว พระองค์ก็จำแนกธรรมออกไปมากมายหลายอย่าง เพื่อให้คนได้เข้าใจธรรมะ ธรรมะที่พระองค์ทรงจำแนกออกไปเป็นหมวดเป็นหมวด หมวดที่หนึ่ง หมวดที่สอง ที่สาม ที่สี่ หมวดห้า หมวดหก หมวดเจ็ด เป็นหมวดเป็นหมวด ธรรมะของพระองค์สรุปแล้วก็รวมอยู่ในชีวิตประจำวันของเรานี่เอง แต่รวมอยู่ในอริยสัจสี่ คือพวกหนึ่งเป็นพวกทุกข์ เป็นพวกทุกข์ พวกหนึ่งเป็นพวกเหตุและทุกข์มาเกิดเรียกว่าสมุทัย พวกหนึ่งเป็นเรื่องเป็นพวกความดับทุกข์เรียกว่านิโรธ พวกหนึ่งเป็นพวกทางให้ถึงความดับทุกข์เรียกว่าเป็นพวกมรรค พวกอริยมรรค
ธรรมะในพระพุทธศาสนาสรุปแล้วก็คือเรื่องอริยสัจ อริยสัจก็คือสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของเรา เพราะชีวิตของเราเกิดมามันก็เป็นทุกข์ พอเกิดมาก็เป็นทุกข์แล้ว ทุกข์ทางร่างกาย ไอ้ความทุกข์มันมีหลายอย่าง เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ โศกร่ำไรรำพัน ทุกครั้งที่เราโกรธกัน ทุกวันน่ะมันเป็นอาการของความทุกข์ เพราะตัวทุกข์จริงๆ คือมันทนได้ยาก มันเจ็บปวดมันทรมาน นี่ก็ตัวความทุกข์เกิดขึ้นแก่ร่างกาย ร่างกายก็มีปัญหา เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย โรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน นี่ทุกข์อีกอย่างหนึ่งเป็นทุกข์ทางด้านจิตใจ จิตใจมันไม่สบาย จิตใจมันเครียด จิตใจมันทรมาน นี่ทุกข์ทางด้านจิตใจ ทุกข์เหล่านี้มันมาจากเหตุ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่ทำให้สัตว์โลกต้องเป็นทุกข์เพราะมาจากเหตุต่างๆ เหตุที่สำคัญที่สุดก็คืออวิชชา อวิชชานี่เป็นตัวเหตุแห่งความทุกข์ คำว่าอวิชชาคือไม่มีความรู้เรื่องสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง คือไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์เกิด ไม่รู้จักความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ไม่รู้จักหนทางที่ทำให้ความทุกข์มันดับ คืออวิชชา พอมีอวิชชามันก็ปรุงให้เกิดความอยาก ความอยากต่างๆ เรียกว่าตัณหา ความอยากในกาม อยากสวยอยากงาม อยากไปต่างๆ กามตัณหาอยากมีอยากเป็น ภวตัณหาอยากไม่มีไม่เป็น เมื่อประสบกับสิ่งที่ไม่ต้องการก็ไม่อยากจะมีไม่อยากจะเป็น แต่มันเป็นไปไม่ได้ เช่น เจ็บไข้ได้ป่วย พอบังเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยไม่อยากจะเจ็บแต่มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามีความอยากก็ยิ่งมีความทุกข์มากขึ้น ถ้ามีความอยากก็ไปยึดถือ พอยึดถือมันก็เกิดของหนักขึ้นมาคือหนักอกหนักใจ ก็ไปยึดถือว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นเราเป็นของเรา เพราะฉะนั้นกิเลสก็มี พระพุทธเจ้าเรียกได้หลายๆ ชื่อ เรียกว่า โยคะ โอฆะ อาสวะ มีชื่อต่างๆ กัน แต่ความหมายคือกิเลสที่ทำจิตใจให้มันสกปรก ที่ทำจิตใจให้มันเศร้าหมองวุ่นวาย
พระพุทธเจ้าตรัสว่าเหมือนอย่างฝนมันตกรั่วรดจิตใจของคนที่ไม่มีเครื่องป้องกัน เพราะฉะนั้นในพรรษา พระสงฆ์จำพรรษาต้องอยู่ในกุฏิ ในเสนาสนะทางร่างกาย ฝนตกรั่วรดไม่ได้ ทางจิตใจนี่มันไม่แน่ถ้าไม่มีการฝึก ไม่มีการอบรมจิตเอาไว้ กิเลสก็รั่วรดอยู่ตลอดเวลา เหมือนอย่างบ้านเรือนที่ฝนมันตกรั่วรดก็ทำลายข้าวของให้มันเสียหาย จิตใจของเราก็เหมือนกันถ้าปล่อยให้กิเลสมันเข้ามาก็เกิดปัญหา ปัญหาต่างๆ มนุษย์นี่สร้างขึ้นมามากกว่าสัตว์เดรัจฉานเยอะ สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้จักสร้างอาวุธ ปืนผาหน้าไม้ มันทำไม่เป็นเพราะมันมีแต่สัญชาตญาณ มีเขี้ยว มีเขา มีเล็บ มันก็มีแค่นั้น แต่มนุษย์นี่มันมีความสามารถศึกษาเรียนรู้ประดิษฐ์คิดค้นสร้างขึ้นมาจนกระทั่งเกิดอาวุธทำลายล้างกัน เดี๋ยวนี้ถ้าควบคุมจิตใจกันไม่ได้ โลกนี้จะวินาศด้วยอาวุธที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ระเบิดปรมาณูระเบิดอะไรต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ประเทศมหาอำนาจก็สะสมอาวุธมหาประลัยเหล่านี้เอาไว้ ถ้าบังคับใจไม่อยู่มันก็จะวินาศตายกันเป็นแสนๆ ตายกันเป็นล้านๆ เป็นฝีมือของมนุษย์ทั้งนั้น ที่เป็นอย่างนี้เพราะว่ามนุษย์อยู่ใต้อำนาจของกิเลส นับว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาบนโลกนี้เพื่อประโยชน์เพื่อความสุขของคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้นพวกเราที่เป็นพุทธบริษัทต้องเห็นความสำคัญ ช่วยกันรักษาพระพุทธศาสนาให้ยังคงมีอยู่ในโลก การรักษาพระพุทธศาสนา ธรรมอันหนึ่งก็คือการรักษาตัวเองนั่นเอง รักษากาย รักษาวาจา รักษาจิตใจ อย่าให้กิเลสมันเข้ามาทำลาย ถ้าเรารักษาใจไว้ได้จิตใจของเราก็จะเจริญงอกงาม ก็ได้พบสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบก็คือความจริงของชีวิต ที่ว่าทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ ละถ้าเกิดทุกข์มันเป็นอย่างนี้ๆ ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ การถึงทางดับไม่เหลือทุกข์เป็นอย่างนี้ๆ พระองค์ก็ได้สอนไว้ พระองค์ได้ตรัสไว้ว่า “ตถาคตเกิดขึ้นก็ตามไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว ก็คือสังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตน” พระพุทธเจ้าก็จำแนกแจกแจงธรรมเป็นหมวดๆ
เพราะฉะนั้นเราชาวพุทธเราควรจะรู้ ควรจะเข้าใจ โดยเฉพาะธรรมะสองอย่าง 1) สังขตธรรม 2) อสังขตธรรม อสังขตธรรมนี่ก็เกิดพระนิพพานนั่นเอง พระนิพพานนี่เป็นชั้นสูงสุดในพระพุทธศาสนา พระนิพพานนี่เป็นอสังขตธรรม คือไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ทีนี้นอกจากนั้นก็เป็นสังขตธรรมทั้งหมด ตราบใดเรียกว่าสังขาร ถ้าเป็นสังขารไม่ว่าสังขารชนิดไหนมันจะต้องเป็นไปตามกฎของสังขารคือมันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป ถ้าเป็นสังขาร สังขารที่มีชีวิตเช่นมนุษย์เรา สัตว์เดรัจฉาน สังขารที่ไม่มีชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้นมา อาคารสถานที่ หรือที่ธรรมชาติมันสร้างขึ้นมาเป็นภูเขาหิน เป็นดิน เป็นชั้น มันเป็นสังขารทั้งหมด แม้แต่โลกที่เราอาศัยอยู่นี้มันก็เป็นสังขาร ดวงดาวทั้งหลายมันก็เป็นสังขาร พระอาทิตย์พระจันทร์ก็เป็นสังขาร สังขารมันก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยงละมันทนอยู่ไม่ได้มันเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ก็ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ถ้าเข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรามันก็เอาชนะกิเลสได้ ก็เรียกว่าวิมุตติ เรียกว่าหลายๆ ชื่อเรียกว่านิพพาน เรียกว่านิโรธ เป็นคำแทนกันหลายๆ คำ แต่ใจความของคำเหล่านี้จะเป็นนิพพาน จะเป็นวิมุตติ จะเป็นวิสุทธิต่างๆ ใจความคือธรรมชาติที่ไม่มีราคะ ธรรมชาติที่ไม่มีโทสะ ธรรมชาติที่ไม่มีโมหะ เรียกว่านิพพาน เอาละต่อไปนี้ เวลาต่อไปนี้ก็ปฏิบัติธรรมกัน ไม่มีเรื่องอื่น ฝึกให้มีสติ มีสติมากขึ้นๆ สตินี่เป็นเครื่องป้องกัน เป็นเกราะป้องกันไม่ให้กิเลสมันเข้ามา กิเลสมันรั่วรดไม่ได้ถ้าเรามีสติ นี่ก็เหมือนกับหลังคาป้องกันฝนไม่ตกรั่วรด ไม่ใช่มีสติอย่างเดียว ต้องมีสัมปชัญญะด้วย สติเรียกว่าระลึกได้ สัมปชัญญะรู้สึกตัว นั่นการฝึกจิต จิตภาวนาถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะก็ฝึกจิตไม่ได้ผล ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ จะบอกฝึกอานาปานสติที่สวนโมกข์พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสนำระบบอานาปานสติมาแนะนำมาสั่งสอนให้พวกเราได้ปฏิบัติเป็นขั้นๆ ถึง 16 ขั้น ท่านบอกว่าหัวใจสำคัญก็มีสองอย่าง หนึ่งอบรมจิตให้ได้สมาธิมากขึ้นๆ เมื่อได้สมาธิมากขึ้นอบรมปัญญาเรียกว่าวิปัสสนา เมื่อมีปัญญาก็เห็นสังขารนี่ตามที่เป็นจริง ชีวิตของเราทั้งหมดมันเป็นสังขาร เป็นรูป เป็นนาม เป็นเบญจขันธ์ เป็นอื่นๆ มันเป็นสังขารทั้งหมด สังขารมันก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน นี่ทุกคนมันยังมีความรู้ว่ามีตัวมีตนอยู่ แล้วก็เป็นตัวเป็นตน แล้วก็เปรียบเทียบ เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราเลวกว่าเขา เรื่องมานะมาจากกิเลสทั้งนั้น ละต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกันตามเวลาที่มี