แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
วันกรรมกร วันนี้มีวันกรรมกร วันเจ็ดค่ำ วันสิบสี่ค่ำหรือสิบสามค่ำบางเดือน วันโกนสิบสี่ สิบสามค่ำ พระเณรก็เสียสละเรี่ยวแรงทำประโยชน์ส่วนรวม เช่นกวาดวัดหรือว่าทำงานอย่างใดอย่างหนึ่ง ความจริงการทำงานก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง แต่ว่าเป็นระดับต้นๆ ส่วนการเจริญสมาธิภาวนานี่ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา การมานั่งเจริญสมาธิภาวนาที่ตรงนี้เป็นการทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง เป็นการทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ที่สำคัญที่สุดเป็นการรักษาวัดวาอารามให้มีคุณภาพ เป็นการรักษาพระพุทธศาสนาเอาไว้ให้ยังมีอยู่ในโลก การปฏิบัติธรรมจริงๆ ทำได้ทุกหนทุกแห่ง ถามว่าธรรมะมันอยู่ที่ไหน ธรรมะมันอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ชีวิตของเราก็เป็นตัวธรรมะ เป็นตัวพระธรรม ชีวิตของเราโดยย่อก็คือ หนึ่งรูป สองนาม ทั้งรูปทั้งนามล้วนแต่เป็นธรรมะ นอกจากนั้นก็มีตา หู จมูก ลิ้น กาย แล้วก็ใจ เรียกว่าอายตนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ จะต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งที่อยู่ข้างนอก แต่รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ว่าโผฏฐัพพะ คือสิ่งที่มากระทบผิวหนังตามร่างกาย ความร้อน ความหนาว ความอ่อน ความแข็ง แล้วก็มีความรู้สึก เช่นว่าลมพัดมากระทบผิวหนัง อันนี้เรียกว่า โผฏฐัพพะ เช่นว่าใครคนใดคนหนึ่งมาจับเนื้อจับตัวของเรานี้เรียกว่า โผฏฐัพพะ มันเป็นพวกรูป แต่ว่าคุณสมบัติคนละอย่าง รูปกับโผฏฐัพพะ บางคนอาจจะไม่ค่อยเข้าใจว่ามันแตกต่างกันอย่างไร ยกตัวอย่างว่าเราเห็นคนๆ หนึ่งเดินเข้ามา ขณะที่เราเห็นคนๆนี้เดินเข้ามา ตานี่เป็นรูป คนที่เดินเข้ามาก็เป็นรูป พอเขาเดินเข้ามาก็มาจับเนื้อจับตัวของเรา อันนี้มันกลายเป็น โผฏฐัพพะ ไปแล้ว ไม่ใช่รูป เพราะว่าผิวหนังทางร่างกายมันรู้สึกว่าคนนี้มาจับเนื้อจับตัวของเรา เค้าเรียกว่า โผฏฐัพพะ แล้วก็จิต แล้วก็ธรรมารมณ์ จิตและวิญญาณ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภาษาไทยเรียกว่าใจ ภาษาบาลีเรียกว่าจิต แล้วก็อีกคำหนึ่ง คือ วิญญาณ จิตก็ดี ใจก็ดี วิญญาณก็ดี นี่ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งที่มนุษย์เรามีอยู่ในชีวิต จิตมันต้องรู้สึกกับสิ่งต่างๆ เช่น เมื่อตามันเห็นรูป ตาเห็นกับรูปจิตต้องมาทำงานที่ประสาทตา จึงเกิดวิญญาณทางตาหรือ จักขุวิญญาณได้ ถ้าจิตมันไม่ทำงาน แม้ตาจะถึงกับรูป ยกตัวอย่างบางคนมานอนหลับอยู่ ไม่รู้สึกตัว ใครจะเอารูปมาจ่อที่ตรงหน้าถ้าจิตมันไม่ทำงานก็ไม่รู้สึกอะไร เช่นคนนอนอยู่หันหน้าขึ้นเพดาน ถ้าวิญญาณมันทำงานก็มองเห็นเพดานในลักษณะอย่างนั้นอย่างนี้ มีสีของเพดานเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ว่าเรานอนอยู่ใต้ต้นไม้ หันหน้าขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เห็นต้นไม้ เห็นท้องฟ้า ถ้าจิตมันไม่ทำงานก็ไม่เห็นอะไรเลย เพราะฉะนั้น จิตต้องมาทำงาน เมื่อตาถึงกับรูป จะเกิดวิญญาณทางตาเพื่อจักขุวิญญาณ เสียงก็เหมือนกัน มันมีเสียงเล็ก เสียงใหญ่ เสียงดังตลอดเวลา อย่างเราอยู่ที่สวนโมกข์ เสียงเรไรตัวเล็กๆ มันร้องอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตของเรามันไม่มาทำงาน หรือว่ามันไม่สนใจ มันต้องสนใจด้วย จิตต้องสนใจพอสนใจก็ได้ยินเสียงว่าเป็นเสียงอะไร เสียงรถ เสียงแมลง เสียงคน หูถึงกับเสียงวิญญาณเกิดร่วม มาทำงานร่วมก็เป็นวิญญาณทางหู ทางอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็ทางใจ
ใจนี่มันอยู่กับอารมณ์ อารมณ์นี่มันเยอะมาก อารมณ์คือสิ่งที่มาดึงจิตออกไปให้เข้าไปสนใจ อันนี้เค้าเรียกว่าอารมณ์ เช่นว่ารูปก็เป็นอารมณ์ เพราะมันมาดึงจิตของเราให้ไปสนใจที่จะเห็น ที่จะดู ที่จะรู้ ทั้งรูปก็เป็นอารมณ์ เสียงก็เป็นอารมณ์ กลิ่นก็เป็นอารมณ์ รสอาหารที่เรารับประทานก็เป็นอารมณ์ สิ่งที่มากระทบผิวหนังเรียกว่า โผฏฐัพพะมันก็เป็นอารมณ์ แล้วก็สิ่งที่เกิดขึ้นในจิตใจ เป็นเรื่องราวต่างๆ ในอดีตบ้าง ในปัจจุบันบ้าง แม้เรื่องราวที่ยังไม่มาถึงก็ออกมาเป็นอารมณ์ เพราะฉะนั้นอารมณ์เนี่ย มันเกี่ยวข้องกับจิต มันมีมาก สิ่งหล่านี้เป็นธรรมะอย่างหนึ่งอย่างหนึ่ง รวมเรียกว่า สังขตธรรมหรือสังขาร เป็นสังขตธรรม เพราะฉะนั้นธรรมะจริงๆ เนี่ย มันอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง ที่สำคัญที่สุด มันอยู่ในชีวิตของเรา ทีนี้มนุษย์เราทุกคนที่เกิดมาเนี่ย ไม่มีใครต้องการที่จะมีความทุกข์ ไม่มีใครต้องการที่จะมีปัญหา ทุกคนต้องการความสุข แต่ว่าใครบ้างที่มีความสุขอย่างเดียว ไม่มีความทุกข์เจือปน มันน้อยมาก เว้นไว้แต่ว่าผู้นั้นมีการปฏิบัติธรรม เข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ ที่พระองค์ได้ตรัสรู้ คำว่าตรัสรู้เนี่ย ตรัสรู้อย่างถูกต้องตามที่มันเป็นจริง เรียกว่า ตรัสรู้ เรามาเจริญสมาธิภาวนาเพื่อจะรู้จะเข้าใจธรรมะที่พระองค์ได้ทรงค้นพบ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าธรรมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ พระพุทธเจ้าในอดีตเคยพบกันมาก่อน เคยตรัสรู้มาก่อน แล้วพระพุทธเจ้าในอดีตก็ได้สอนให้คนได้เข้าใจธรรมะมาตามลำดับ จนกระทั่งประชาชนมันเสื่อมลงๆ จนกระทั่งมันหายไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโคตมพุทธะได้อุบัติขึ้นมาบนโลกนี้ ก็ได้ตรัสรู้ธรรมะที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ ดังที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า ตถาคตเกิดขึ้นก็ตาม ไม่เกิดขึ้นก็ตาม ธรรมะมันมีอยู่แล้ว ก็จะบอกเรียกว่าธรรมนิยาม ธรรมนิยามเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติ เป็นอย่างอื่นไม่ได้ คือ สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงมันเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน เป็นอนัตตา ทีนี้คนไม่เข้าใจ ไม่เห็นก็ทำให้มีความทุกข์ โดยเฉพาะความทุกข์ในจิตใจ ไปยึดมั่นถือมั่น ก็ทำให้จิตใจเครียด ทำให้จิตใจมีปัญหา อย่างปัจจุบันนี้มีข่าวบ่อยๆ คนฆ่าตัวตาย คนนั้นบ้าง คนนี้บ้าง เพราะเครียด บางทีไม่มีปัญหาเรื่องทรัพย์สินเงินทอง มันมีปัญหาเรื่องอื่น หลายๆ เรื่อง ที่ทำให้เกิดปัญหา หาทางออกไม่ได้แล้วก็ฆ่าตัวตายกัน เพราะไม่เข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถ้าคนปฏิบัติสามารถเข้าใจได้ แม้แต่สามเณรตัวเล็กๆ เช่น สามเณรราหุลซึ่งเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์ออกบวช ชื่อราหุล ต่อมาสามเณรราหุลได้มาบวชในพระพุทธศาสนา อายุเพียงเจ็ดปีเท่านั้นก็ได้เข้าใจธรรมะ ได้บรรลุธรรมะ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอนพระราหุล ก็เรื่องความจริงในชีวิตนั่นเอง ก็ไม่น่าเชื่อว่าสามเณรราหุลอายุเพียงเจ็ดปีจะเข้าใจธรรมะระดับนี้ได้ พระพุทธเจ้าสอนสามเณรราหุลเรื่องธาตุ ว่ามนุษย์เรานี้ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุอากาศ
พระองค์สอนว่าธาตุดินมีลักษณะอย่างไรบ้าง ธาตุดินมีทั้งภายในและภายนอก ชีวิตของเรามีธาตุดินอยู่ ธาตุดินข้างนอกก็มีมากมาย ลักษณะธาตุดินเป็นลักษณะที่เข้มแข็ง เข้มแข็ง กินเนื้อที่ที่มีอยู่ในชีวิตของเรา เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ลักษณะเหล่านี้เป็นธาตุดิน ธาตุน้ำมีลักษณะที่เกาะกลุ่ม ไหลเอิบอาบ ข้างนอกก็มี ชีวิตของเราก็มี เป็นธาตุน้ำ เช่น น้ำมูก น้ำลาย น้ำปัสสาวะ น้ำเลือด เป็นธาตุน้ำ อยู่ในชีวิตของเรา ทีนี้ธาตุไฟ มีลักษณะที่ร้อน เผาไหม้ ข้างนอกก็มี ในชีวิตของเราก็มี คือไฟ ไฟที่ยังร่างกายอบอุ่น ไฟที่จะทำร่างกายให้ทรุดโทรม ไฟที่เผาอาหารให้ย่อย อาหารที่คนบริโภคเข้าไปก็ทำให้อาหารมันย่อย ทำให้อาหารเผ็ด??? นี่ก็เป็นลักษณะของธาตุไฟ ธาตุลม ลักษณะที่เคลื่อนไปเคลื่อนมา ข้างนอกก็มีลมพัดจากทิศนี้ไปทิศนั้น ในชีวิตของเราก็มี ลมพัดขึ้นเบื้องสูง ลมพัดลงเบื้องต่ำ ลมในท้อง ลมในลำไส้ โดยเฉพาะลมหายใจ ลักษณะนั้นของธาตุลม ธาตุว่าง หรือว่าอากาศธาตุ ช่องว่างภายในร่างกายที่ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟก็เป็นธาตุว่าง มีอยู่ในชีวิตของเรา ทีนี้พระพุทธเจ้าก็สอนสามเณรราหุลว่าให้ปฏิบัติธรรมเหมือนกับดิน เหมือนกับน้ำ เหมือนกับลม เหมือนกับไฟ เหมือนกับอากาศ หมายความว่าแผ่นดินเนี่ย ใครจะเอาจอบไปขุดในดิน ไปถ่ายอุจจาระ ถ่ายปัสสาวะ เทของโสโครกลงไปในดิน ดินก็ไม่ได้อึดอัดขัดใจ ก็จิตใจปกติ คือไม่มีความรู้สึกโกรธ เนี่ยการปฏิบัติธรรม
พระพุทธเจ้าสอนให้พระราหุล สามเณรราหุลอายุเพียงเจ็ดปีว่าให้ปฏิบัติอย่างนี้ ทำจิตใจอย่าให้มันหงุดหงิด อย่าให้มันโกรธให้เหมือนกับธาตุดิน ธาตุน้ำก็เช่นเดียวกัน น้ำในแม่น้ำ น้ำในลำคลอง ใครจะเอาอะไรไปเท ไปทิ้ง น้ำไม่ได้อึดอัดขัดใจ ให้ปฏิบัติธรรม ก็เหมือนกับธาตุน้ำ ธาตุไฟก็เหมือนกัน ใครใส่อะไรลงไปมันก็มีหน้าที่เผาอย่างเดียวจะของดีของเสีย ของเน่า ของเหม็น ใส่ลงในกองไฟมันก็เผาไหม้อย่างเดียว ก็ให้ปฏิบัติธรรมแนวนั้น หมายความว่าเผากิเลส เผาสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม จิตอกุศลเกิดเมื่อไหร่ก็พยายามเผาให้มันหมดไป ธาตุลม ลมก็พัดไปไม่เลือก บ้านคนรวย บ้านคนจน พัดไป ให้ปฏิบัติธรรมเหมือนกับลม ไม่รู้สึกยินดียินร้ายต่ออารมณ์ต่างๆ ก็ทำจิตใจให้ว่าง นี่แหละธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน จุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ผู้ปฏิบัตินั้นไม่มีความทุกข์ ที่เราเป็นทุกข์น่ะเพราะจิตมันไม่เข้าใจธรรมะ ไปเห็นว่าเป็นเรา เป็นของเรา มีเราและก็มีเขา เราคือชีวิตที่เรามี เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นึกแต่ว่าเป็นเราเป็นของเรา สิ่งที่อยู่ข้างนอกถ้าเป็นคนเราก็เรียกว่าเป็นเขา ถ้าเป็นสิ่งของก็เป็นสิ่งของ เช่นว่า เป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล แล้วก็ไปยึดมั่นสำคัญ เปรียบเทียบกันว่าเราดีกว่าเขาบ้าง เราเสมอเขาบ้าง เราเลวกว่าเขาบ้าง เช่นชื่อที่ทุกคนเกิดมาก็ต้องตั้งชื่อ ถ้าไม่ตั้งชื่อก็ไม่รู้ว่าจะเรียกกันอย่างไรจะพูดจาเข้าใจมันก็ไม่ได้ เช่นเดียวกับหลายๆคน ไม่มีชื่อ อยากต้องการให้เราได้พูดกับคนนั้นคนนี้ ถ้าไม่เรียกชื่อเขา เขาก็ไม่สนใจ เพราะฉะนั้นทุกคนก็ต้องมีชื่อ ชื่อนั้นไม่ใช่เป็นของจริง เป็นของสมมุติ แต่ว่าคนติดอยู่ในชื่อ ถ้าใครมาด่าชื่อนี้ เช่น เป็นชื่อของเรา นายดำ นายแดง นายขาว แล้วแต่เราจะชื่อ พอเขาด่าชื่อนี้เราก็โกรธ เพราะว่าไม่มีปัญญา ไม่มีความรู้ คนฆ่ากันตายเพราะการดูหมิ่น ดูถูก เป็นคำด่าเรื่องชื่อกันนี้เอง
เพราะฉะนั้นก็ไม่เข้าใจธรรมะก็ทำให้ทุกข์มาก ทำให้ปัญหามาก เนี่ยอย่างปัจจุบันนี้ในประเทศไทยเราเนี่ย วัดว่างจากพระ ว่างจากเณรเยอะมาก วัดบ้านนอกมีกุฏิ มีที่พักเยอะ แต่ไม่มีพระที่บวชเข้ามาอยู่ในวัด แต่ในคุกเต็มไปหมดไม่ว่าคุก เรือนจำที่ไหน เรือนจำไชยานี่ก็นักโทษเต็มหมด เรือนจำที่เกาะสมุยก็นักโทษเต็มหมด เรือนจำกลางที่กรุงเทพฯนักโทษก็เต็มหมด เข้าไปอยู่กันในคุก ทำไมคนถึงเข้าไปอยู่ในคุก ก็เพราะทำผิดกฎหมาย ทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ความจริงกฎหมายบ้านเมืองเนี่ยถ้าเราปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงสามข้อเท่านั้นจะไม่มีปัญหาเลย ไม่มีปัญหาเนื่องจากไปติดคุกติดตารางเลย สามข้อคืออะไร คือไม่ทำบาปทั้งปวง เป็นแต่เพียงไม่ทำบาปทั้งปวงเนี่ย ปัญหาที่จะไปอยู่ในคุกในตารางมันไม่มี บาปคืออะไร บาปคือสิ่งที่ไม่ดี ทำแล้วตัวเองก็ร้อนใจ ผู้อื่นก็ร้อนใจ ผู้รู้ บัณฑิตไม่ยกย่อง ชั้นเถรเขาเรียกสิ่งที่เป็นบาป อะไรบ้าง ก็คือทุจริตต่างๆ ทุจริตมันมีอยู่หลายทาง กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต อย่างกายทุจริต ทุจริตทางกาย คือการฆ่ากัน การฆ่ากันมันเป็นบาป เป็นการกระทำที่มันก่อให้เกิดปัญหาเพราะเราไปฆ่าเขา เขาก็ต้องมาฆ่าเรา ถึงเขาฆ่าเราไม่ได้ กฎหมายบ้านเมืองก็ต้องจับตัวไปลงโทษ เอาไปขังคุก เอาไปขังตารางเพราะว่าไปฆ่าเขา ลักของของเขา ของที่ไม่ใช่ของเราแล้วไปเอาของของเขามาเป็นของเรา ถ้าไปทำอย่างนี้มันก็ต้องไปอยู่ในคุก ไปอยู่ในตาราง ล่วงเกินของรัก ผิดลูกผิดภรรยาสามีของคนอื่น ตัวไปเป็นชู้กับภรรยาสามีคนอื่นก็ไม่มีใครชอบ ไอ้การทำอย่างนี้ไปทำให้เขาไม่สบายใจ ทำให้เขามีปัญหา กฎหมายบ้านเมืองก็ต้องบัญญัติ ตรากฎหมายไว้ แล้วไปทำอย่างนี้ถือว่าทำผิดกฎหมาย ต้องเอาไปลงโทษ ก็เรียกว่าทำทุจริต ทำทุจริตก็คือทำชั่วนั่นเอง
เพราะฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้า คือว่า ไม่ทำบาปก็คือไม่ทำกายทุจริต วจีทุจริต คือพูดโกหก การพูดโกหกเนี่ยเป็นการพูดให้เขาเข้าใจผิด ไปหลอกลวงเขาเพื่อจะเอาประโยชน์ของเขา ไม่ว่าการขายของหรือว่าอะไรก็ตาม ไปหลอกไปลวงของที่ไม่จริง ไปพูดว่ามันจริง ทำให้คนเถียงอึ่งทระนง ไปพูดโกหก ก็เกิดปัญหาที่ว่าทำวจีทุจริต พูดเท็จและพูดส่อเสียด พูดยุยงให้เขาแตกกัน เอาเรื่องของฝ่ายนี้ไปเล่าให้ฝ่ายโน้นฟัง เอาเรื่องของฝ่ายโน้นมาเล่าให้ฝ่ายนี้ฟัง ยุยงให้คนแตกกันอันนี้สร้างปัญหามาก สังคมปัจจุบันเนี่ยถ้าหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน ก็เป็นลักษณะพูดยุยงให้แตกกันเยอะมาก โดยรู้สึกตัวหรือไม่รู้สึกตัว โดยเจตนาหรือไม่เจตนาก็มี ความจริงเรื่องอย่างนี้ไม่ต้องเอามาพูด ไม่ต้องเอามาเขียนก็ได้ แต่ว่าคนทั่วไปเค้าถือว่าเอาเรื่องอย่างนี้มาลงหนังสือพิมพ์คนจะสนใจอ่าน มักจะขายได้ดี มันเป็นเรื่องอาชีพของนักหนังสือพิมพ์ แต่ความจริงมันกลายเป็นเรื่องวจีทุจริต พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ เป็นคำด่า คำดูถูกและพูดเพ้อเจ้อ พูดไม่มีประโยชน์ เรียกว่าทำวจีทุจริต เมื่อทำทุจริตเหล่านี้ก็ถือว่าทำผิด ก็ต้องถูกลงโทษติดคุกติดตารางก็มาจากมโนทุจริต คือจิตที่มันคิดในทางไม่ดีเพราะอำนาจของกิเลสมันเข้ามาอยู่ อำนาจของกิเลสมันมาบังคับจิตให้ต้องทำอย่างนี้ ให้ต้องพูดอย่างนี้ แท้ที่จริงจิตเดิมของมนุษย์เรานี้มันเป็นจิตที่ดี เป็นจิตผ่องใส พระพุทธเจ้าเรียกว่าจิตประภัสสร แต่ว่าเราไม่รักษาเอาไว้ ปล่อยให้กิเลสมันเข้ามา เข้ามาทำลายจิตใจ มันมีปัญหาให้มันเศร้าหมอง พอจิตใจเศร้าหมองมันก็ทำผิด ทางกายบ้าง ทางวาจาบ้าง ทางจิตใจบ้าง พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ธรรมะสูงสุดเพื่อช่วยมนุษย์ให้พ้นจากความทุกข์ พ้นจากปัญหา พระองค์จึงสอนเอาไว้
ทีนี้พระองค์ตรัสรู้จริงจริงเนี่ยก็คือเรื่องอริยธรรม อริยสัจ ความจริงของพระอริยเจ้า ความจริงอันประเสริฐ ความจริงที่ไกลคลาดจากกาศิก???คือหนึ่งเรื่องทุกข์ สองเรื่องเหตุแห่งทุกข์เกิด สามเรื่องความดับไม่ให้เกิดทุกข์ สี่เรื่องทางเฉยความดับเอาไว้ดับทุกข์ ทุกคนที่เกิดมามีความทุกข์อยู่แล้วในชีวิต เราเกิดมามีปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ เกิดมาก็ต้องพบกับความแก่ พบกับความเจ็บ พบกับความพลัดพรากจากของรัก พบกับเรื่องต่างๆ เพราะว่าความเกิดนั่นเอง ที่ว่าการเกิดมันมีสองอย่าง การเกิดทางเนื้อทางหนังเนี่ยมันก็มีปัญหาอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ว่าการเกิดที่สำคัญก็คือ เกิดความรู้สึกว่ามีเรา มีของเรา การเกิดเนี่ยเค้าเรียกว่าเป็นชาติ ชาติที่มันคอยเกิดอยู่ตลอดเวลา ถ้ารู้สึกว่ามีเรา มีของเราขึ้นมาเมื่อไหร่ปัญหาจะเกิดทันที บางเวลาจิตมันไม่มีความรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา ปัญหามันก็ไม่มี ทั้งชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจ เรียกว่าเกิดตลอดเวลาในชาตินี้ เนี่ยเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทเนี่ยอาศัยการเกิดขึ้นเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ทีนี้การที่จะรู้จะเข้าใจธรรมมะของพระพุทธเจ้าต้องสนใจเรื่องภาวนานี่เอง ที่เรามาปฏิบัติธรรม ระดับนี้ไม่ใช่ระดับธรรมดาเป็นระดับสูง ระดับที่จะเข้าใจธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้ได้ ที่เรียกว่าสมาธิภาวนา ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้มีอยู่หลายๆ ชนิด ว่าสมาธิภาวนา ถ้าอบรมไม่มากแล้ว ถ้าไม่มากแล้วจะอยู่ผาสุกในปัจจุบัน อบรมจิตให้มีสมาธิ ถ้าจิตมีสมาธิก็พักอยู่กับสมาธิ เช่น หายใจเข้าอยู่ หายใจออกอยู่ จิตมีสมาธิก็ได้ความสุขในปัจจุบัน นี่คือประโยชน์ตัวเอกทั้งปฏิบัติเจริญสมาธิภาวนา ที่ไหนเมื่อไหร่ ถ้าทำถูกวิธี ถ้าทำสำเร็จได้ก็ได้พบความสุขของพระอริยเจ้า ทีนี้สมาธิภาวนาบางชนิดทำให้ตาหูเนี่ยสามารถรับรู้สิ่งที่คนธรรมดามองไม่เห็น เข้าใจไม่ได้ ทำให้รู้ได้ด้วยญาณทัศนะ เหมือนกับหูทิพย์ ตาทิพย์ สมาธิภาวนาแบบนี้มันมีวิธีฝึก เช่น กลางวันอย่างนี้ สร้างสัญญาทำความรู้สึกว่าเหมือนกับอยู่กลางคืน กลางคืนทำสัญญาว่าเหมือนกับกลางวันและฝึกจิตลักษณะอย่างนี้จะเกิดญาณทรรศนะ เหมือนอย่างกับหูทิพย์ ตาทิพย์ สามารถรู้อะไรที่คนธรรมดารู้ไม่ได้ อันนี้สมาธิภาวนาที่สูงกว่านี้ทำให้มีสติสัมปะชัญญะ สติสัมปะชัญญะนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ โลกเจริญทางวัตถุ คนไปไหนมาไหน อาศัยรถ อาศัยยวดยานที่ต้องใช้ความเร็ว ถ้าไม่มีสติสัมปะชัญญะ ปัญหามันก็เกิด แม้แต่เดินข้ามถนน อย่างพระไปบิณฑบาตถ้าไม่มีสติสัมปะชัญญะ รถเฉี่ยวรถชนเสียชีวิตได้ ก็เคยได้ยินข่าวว่ารถชนพระเสียชีวิตขณะบิณฑบาตร แม้แต่เดินข้ามถนนก็ต้องมีสติสัมปะชัญญะ สติสัมปะชัญญะต้องใช้ตลอดเวลา
นี่สมาธิภาวนาที่ทำให้มีสติสัมปะชัญญะในระดับสูงก็คือมาตามดู ตามรู้ว่าเวทนามันเกิดขึ้นอย่างไร ความรู้สึกเวทนาคือเป็นสุขเป็นทุกข์ มันเกิดขึ้นอย่างไร สัญญามันเกิดขึ้นอย่างไร สัญญาคือความจำได้หมายรู้ว่ามันเกิดขึ้นอย่างไร วิตกมันเกิดขึ้นอย่างไร วิตกมันมีอยู่สามวิตก วิตกในทางกามในทางความรักมันเกิดขึ้นอย่างไร กามวิตก พยาบาทวิตก จิตนึกในทางไม่ชอบ ทางเกลียดชังมันเกิดขึ้นอย่างไร วิหิงสาวิตก จิตไปในทางเบียดเบียนเกิดขึ้นอย่างไร นั่นคือ ตามดูตามรู้ จิตในนั่นเอง เนี่ยสมาธิภาวนา ระดับนี้มันสูงกว่าระดับสองระดับข้างต้น ระดับสูงสุด สมาธิภาวนาที่ทำให้สิ้นกิเลส คือตามเห็นเบญจขันธ์ที่มันเกิดดับ เบญจขันธ์คือชีวิตของเราเนี่ยมันประกอบด้วยรูป ด้วยเวทนา ด้วยสัญญา ด้วยสังขาร ด้วยวิญญาณ มันเกิด มันดับ มันเกิด มันดับ อยู่ตลอดเวลาตลอดไป อธิบายบางคนเหมือนอย่างกับที่พระเดชพระคุณพระอาจารย์พุทธทาสอธิบาย เพราะฉะนั้นพวกเราที่สวนโมกข์ก็ควรสนใจว่าเบญจขันธ์เกิดดับมันเป็นอย่างไร ทีแรกเราต้องรู้ว่าชีวิตของเราประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ รูปเวทนา สัญญา สังขญาณ ที่เรียกศัพท์ว่าธาตุตามธรรมชาติที่เรานอนอยู่ เช่น เรานอนหลับเนี่ยขณะนี้เบญจขันธ์มันไม่ทำงาน พอจิตมันไม่ทำงาน มีแต่กองแห่งธาตุกองอยู่ นอนอยู่ มีแต่กองแห่งธาตุ มีรูป มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ มันรวมกันอยู่ กองอยู่ ต่อมามันเป็นอายตนะ เช่น มีเพลงมาปลุกให้เราตื่น เนี่ยบางคนมาเรียก เสียงก็มากระทบหู อายตนะมันเริ่มทำงาน หูนี่เป็นอายตนะอย่างหนึ่ง อายตนะมันมีหกอย่าง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ตามมาดูคือจิตใจ ถ้าจิตใจมันไม่มาทำงาน ตาเห็นอะไรมันก็ไม่รู้ได้ หูฟังอะไรมันก็ไม่ได้ยิน เพราะจิตมันไม่ทำงาน แต่พอจิตมันมาทำงาน วิญญาณเนี่ยมันเกิด เนี่ยวิญญาณมันเพิ่งเกิดในขณะนี้ หูถึงกับเสียงวิญญาณเกิด ทีนี้เค้าเรียกว่าผัสสะ พอผัสสะแล้วก็เวทนามันเกิด เช่นเราได้ฟังเสียงที่มันมีคนมาด่ามาตำหนิติเตียนแล้วก็ทำให้เกิดทุกขเวทนา ถ้าคนมาเรียก มาชม มาสรรเสริญก็ทำให้พอใจ เกิดสุขเวทนา บางทีก็ธรรมดาๆ ก็เป็น ทุกขเวทนากับสุขเวทนา มันเกิดแล้วมันก็ดับ เพราะฉะนั้น เบญจขันธ์มันเกิดมันดับ
การที่เห็นเบญจขันธ์เกิดดับเนี่ย เพื่อจะเข้าใจว่าชีวิตที่เรามีเนี่ยจริงๆ มันไม่ใช่ตัวตน มันเป็นแต่เพียงสังขารธรรม อาศัยการไม่เกิดขึ้น อาศัยการเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น การเจริญสมาธิภาวนาระดับนี้ ระดับสูง เพราะฉะนั้น เราอยู่ที่สวนโมกข์เราก็พยายามทำหลายๆ อย่างที่เป็นการปฏิบัติธรรมแม้แต่การทำงานกรรมกรก็เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่งอย่างธรรมดาที่สุด ก็เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น แต่ว่าในระดับสูงเนี่ย ต้องสนใจเรื่องสมาธิภาวนาที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ถือเป็นอริยสัจข้อที่สี่ เป็นข้อมรรค หนทางที่ทำให้ทุกข์มันดับเรียกว่าอริยมรรค ทีนี้ถ้าคนไม่สนใจธรรมมะของพระพุทธเจ้า ทำอะไรไปตามกิเลส ก็เกิดปัญหามากมายอย่างที่กล่าวมาแล้ว พระพุทธเจ้าสอนอริยมรรคมีอยู่แปดองค์ มีความเห็นถูกต้อง มีความคิดนึกถูกต้อง พูดจาถูกต้อง กระทำถูกต้อง เลี้ยงชีวิตถูกต้อง นี่ก็สำคัญเหมือนกัน การทำมาค้าขายที่เป็นสัมมาไม่มีปัญหา แต่ถ้าการทำมาหากินผิดกฎหมาย มิจฉาอาชีพ ค้ายาเสพติด เป็นมือปืนรับจ้างอย่างนี้ มันก็เกิดปัญหา เพราะมิจฉาอาชีวะ เพราะฉะนั้นปัญหาต่างๆ ที่เข้ามาในสังคมนี้มาจากทำไปตามอำนาจของกิเลสทั้งนั้น เนี่ยการปฏิบัติธรรมเป็นการทวนกระแสของกิเลส เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เราจะได้สนใจปฏิบัติธรรมมะของพระพุทธเจ้า แม้แต่สามเณรตัวน้อยๆ เจ็ดปี มีปรากฏในพระคัมภีร์ก็ได้บรรลุพระอรหันต์เพราะเข้าใจธรรมมะที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ได้เข้าใจเรื่องอนัตตา เรื่องไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เรื่องไม่มีตัวตนนั้นเอง และต่อไปนี้เราจะได้ปฏิบัติกัน ระบบปฏิบัติที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสรรเสริญมากที่สุด คือ ระบบอานาปานสติ เมื่อเจริญอานาปานสติก็ได้ชื่อว่าปฏิบัติธรรมหลายๆ หมวด เป็นการเจริญสติปัฏฐาน 4 เป็นการอบรมโภชชงค์ทั้งเจ็ด เป็นการทำวิชชาและวิมุตให้เกิดขึ้น อยู่ที่อานาปานสติ เราอยู่ที่ไหน เราก็มีลมหายใจเข้า หายใจออกอยู่ตลอดเวลาถ้าเราไม่ตาย
ทีนี้คนไม่มีความรู้ก็ใช้ลมหายใจเข้าไม่เป็นก็ไม่ได้รับประโยชน์จากการมีลมหายใจ มีประโยชน์อย่างเดียวเพื่อร่างกายไม่ตายเท่านั้น แต่ว่าถ้าไม่เข้าใจธรรมมะ จิตใจมีแต่ความทุกข์ มีแต่ปัญหา ก็เป็นการทรมาน อยู่เพื่อทรมาน อยู่เพื่อทนทุกข์ทรมาน มันน่าเสียดายชีวิต โดยเฉพาะเราเป็นพุทธบริษัท ควรสนใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า และต่อไปนี้ก็จะได้ปฏิบัติตามกัน ปฏิบัติแบบง่าย แบบลัด คือใช้อานาปานสติขั้นที่หนึ่ง คือ ลมหายใจเข้ายาว ออกยาวเป็นหลัก หายใจเข้าให้จิตเกาะกับลมตามลมไป ทำความรู้สึกว่าลมเข้าไปในจมูกแล้วเดินทางไปหยุดที่ท้อง ที่สะดือ หายใจออกจากสะดือตามลมมาที่ปลายจมูกชั่วเวลากี่วินาทีก็ตาม ถ้าจิตเกาะติดกับลมได้ ก็ได้สมาธิเพิ่มขึ้นเพิ่มขึ้นสำคัญที่สุด ต้องมีสติต้องมีสัมปะชัญญะ สติ คือ ระลึก อยู่กับธรรมะตลอดเวลา พอลมหายใจเข้า ก็เป็นตัวธรรมะ ระลึกอยู่กับลมหายใจเข้าตลอดเวลา สัมปะชัญญะ รู้ตัวทั่วพร้อมว่าต้องอาศัยความเพียรพยายามที่ฝึกจิตให้อยู่กับลมหายใจเข้า หายใจออก พอจิตมีสมาธิก็เกิดปีติ ปีติก็เกิดขึ้นๆ ปีติก่อให้เกิดความสุขของผู้ปฏิบัติธรรม ก็ได้พบความสุขในขณะนั่ง เจริญสมาธิ หายใจเข้าก็มีความสุข หายใจออกก็มีความสุข เป็นขั้นเป็นตอนไป สุดท้ายก็เจริญวิปัสสนา พิจารณาให้เห็นว่าทุกอย่างเป็นสังขารทั้งนั้นและมันก็ไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นไม่ใช่เรา อะไรไม่ยึดถือจิตต่างๆ ว่าเราเป็นของเรา ความทุกข์มันก็ไม่มี เนี่ยคือธรรมะของพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติกันต่อไปนี้ ยังเหลือเวลาประมาณ 25 นาที