แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาละญาติโยมทั้งหลาย เช้านี้ก็ได้ขึ้นมาพบญาติโยม ขอบพระคุณ อนุโมทนาญาติทีปภาวัน ญาติโยมทั้งหลายก็ได้มาสัมผัสแล้ว ก็ต้องขอขอบใจญาติโยมมากๆ
อาตมานี้อยู่กับท่านอาจารย์พุทธทาสประมาณ ๓๐ กว่าปี ก่อนที่ท่านมรณภาพ ท่านมรณภาพไปแล้ว อาตมาก็ยังอยู่ที่สวนโมกข์ ตอนนี้แรงมันไม่ค่อยจะมี แต่ว่างานนี่ มันก็ไม่ลดลง อาตมามาที่เกาะสมุย ก็มาเห็นประชาชนบนเกาะสมุย ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ว่าจะทำอย่างไร ให้คนเกาะสมุยอยู่กันได้
คนเกาะสมุยเป็นคนที่อยู่กันมาแต่เดิม ญาติอาตมาก็เยอะมาก บนเกาะสมุย อาตมาเกิดที่เกาะสมุย แต่เดี๋ยวนี้คนที่มาอยู่เกาะสมุย และว่าคนทั่วประเทศ คนทั่วโลก มาอยู่กันบนเกาะสมุย
อาตมามองเห็นว่า มาอยู่กันบนเกาะสมุยมากมายขนาดนี้ เดี๋ยวนี้รายได้ที่อยู่กันได้ คือธุรกิจท่องเที่ยวถือว่าเป็นหลัก ทางด้านเกษตรก็มีอยู่บ้าง ปลูกทุเรียน ปลูกผลไม้ ต้นมะพร้าวไม่ค่อยได้ผล
สมัยก่อนมะพร้าวเป็นหลัก มะพร้าวเกาะสมุย เดี๋ยวนี้มะพร้าวก็ถูกแมลงมาทำลายได้ผลน้อย แต่ก็ยังดีอยู่ส่วนหนึ่ง ที่นี่ธุรกิจท่องเที่ยว คือคนที่มาที่เกาะสมุยต้องประทับใจ การที่เขาจะประทับใจ พอใจที่จะมาอยู่ ก็ต้องมีอะไรหลายๆอย่าง เช่นคนเกาะสมุยเป็นคนที่มีคุณธรรม มีน้ำใจ ไม่เห็นแก่ได้ ไม่เห็นแก่ตัวมากเกินไป
อาตมาก็คิดว่าต้องพยายามช่วยเหลือกัน ในการสร้างคนที่เกาะสมุยให้เป็นคนดีมีคุณธรรม ก็พยามร่วมมือกับครูหลายๆคน มีการอบรมนักเรียน เยาวชน
ที่นี่นอกจากนั้น อาตมามองเห็นว่าต้องช่วยกันรักษาป่า ปลูกต้นไม้ ก็พยายามแนะนำคนที่สนใจตั้งเป็นชมรมอนุรักษ์ป่า เขาให้ป่าก็รับเอาไว้ ตอนนั้นเขามีป่าบนเขานี้ หลายแห่งเหมือนกัน
อาตมาก็ไปเที่ยวทำตรงนั้นตรงนี้ เช่นสวนป่าศิขรินสินธุ เป็นป่าต้นน้ำของเกาะสมุย ที่เราได้ใช้น้ำที่ตรงนี้ ก็มาจากป่าแห่งนี้ ป่าศิขรินสินธุ และก็สวนธรรมเภรีอีกแห่งหนึ่งเหมือนกัน เดิมที่เป็นที่ของโยมสิริวรรณ อาตมาไปเที่ยวดูเห็นว่าตรงนั้นเหมาะที่จะเผยแพร่ธรรมะ ไปยังชาวต่างประเทศก็ไปทำเอาไว้ เรียกว่าสวนธรรมเภรี
เดี๋ยวนี้พออาตมามาเกาะสมุย ก็ต้องไปตรงนั้นตรงนี้ เรียกว่าสร้างเครือข่าย ญาติธรรม มีญาติๆทำที่ปฏิบัติธรรม เช่นสมพงษ์ พลีสุวรรณ ใกล้ๆกับสนามบิน ก็ทำไปเรื่อยๆ สร้างเครือข่ายญาติธรรม แล้วส่งเสริมให้ประชาชนสนใจต้นไม้ ทำเกาะสมุยให้เป็นเกาะสีเขียว เจ้าของสวนที่เขาปลูกต้นไม้ ปลูกอะไร ร่มรื่น อาตมาก็ไปๆชวนเจ้าของสวนปฏิบัติธรรม นี่ก็ทำอย่างนี้ แต่ว่าเรี่ยวแรงก็หมดไปๆ คนที่เคยช่วยเหลืออาตมาก็ล้มหายตายจากกันไปเรื่อยๆ
อาตมาอยู่ที่สวนโมกข์นี่ ลองนับดูเฉพาะพระประมาณ ๒๐ กว่ารูป ก็ล้มหายตายจากกันไป มีพระที่ช่วยเหลือด้านอื่น ก็องค์นั้นไป องค์นี้ไป อาตมาก็ไม่แน่เหมือนกัน ว่าจะอยู่ได้อีกเท่าไร แต่ก็ตั้งใจอยู่ว่า ชีวิตที่เหลือนี้จะทำประโยชน์แก่ตัวเอง ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น
ทีนี่ อาตมาอยู่ที่สวนโมกข์ ท่านอาจารย์เตือนอยู่เป็นประจำ ว่าทำอะไร ต้องดีที่สุด ต้องเร็วที่สุด ต้องประหยัดที่สุด ตอนที่โยมสิริวรรณให้ที่ดินมาแล้ว อาตมามาเห็น ก็นึกว่าจะสำเร็จได้อย่างไร ที่อย่างนี้เป็นภูเขามองเห็นแต่ป่า แต่ว่าเพราะอาตมาอยู่กับพระอาจารย์พุทธทาส ก็วางแผน
อาตมามองเห็นว่า โยมสิริวรรณให้ที่ดินตรงนี้มา ถ้าโยมสิริวรรณไม่รับผิดชอบ ก็สำเร็จไม่ได้ อาตมาวางแผน หาหนังสือที่คนเขาเสียสละทำงานเพื่อส่วนร่วมให้โยมสิริวรรณอ่าน
นอกจากนั้นก็ชวนโยมสิริวรรณไปดูสถานที่ที่เขาทำเสร็จแล้ว เช่นที่ภูเก็ต ที่ประจวบของอาจารย์สุดาพร มาที่ชุมพรของโยมสมคิด เป็นต้น
จนกระทั่ง โยมสิริวรรณแน่ใจ โยมสิริวรรณก็รับผิดชอบเต็มที่ ขนาดขับรถมาเอง ขนหิน ขนทราย มาช่วยดูแลการก่อสร้าง โยมสิริวรรณเป็นผู้มาดูแล เรียกว่าเหนื่อยกันมาก ก็ทำสำเร็จขึ้นมา สถานที่ที่นี่เรียกว่าดีที่สุด ดีที่สุดของเราคือดีอย่างนี้และก็เร็วที่สุด ประหยัดที่สุดนี้สำคัญมาก ที่มันลาดชัน คนเดินขึ้นเดินลง จะเดินกันมาอย่างไร
อาตมาก็ให้รถแม็คโครมาทำเป็นชั้นๆ เป็นทางเดินข้างล่าง ถ้าไม่ทำอย่างนี้ หนทางลาดชันมาก ก็จะเดินลำบากและลานเดินจงกรมนี่ก็เหมือนกัน มาปรับ สถานที่ โดยเฉพาะบันไดจะขึ้นมา อาตมาก็คิดว่าถ้ามาทำบันได ขนหิน ขนเหล็ก ขนปูนมาทำตรงนี้ จะเสียเงินมากและเราก็ไม่มี ไม่มีเงินไม่มีทองมาก ก็ทำเป็นขั้นบันได โดยหล่อเป็นขั้นบันไดด้วยปูนซีเมนต์ ทำลักษณะเหมือนดังตัวแอล เอามาซ้อนๆกัน แล้วก็มีราวจับ ก็ใช้มา ๑๐ กว่าปีแล้ว บางขั้นก็เรียกว่าเสื่อมไปแล้ว เรียกว่าทำอย่างประหยัด
ทีนี่ ถ้าสมมติว่าสร้างมาได้แล้ว แต่ไม่มีคนรักษา มันก็เสื่อมเร็ว อาตมาก็ไม่ได้มาอยู่ ส่วนใหญ่อยู่ที่สวนโมกข์ บางที่หน้าฝน หน้าลม ก็ต้องมีคนดูแลอยู่ที่นี่ ก็มีผู้เสียสละ โยม แม่ชี อุบาสิกามาช่วยเหลือดูแลกัน และที่สำคัญที่สุด คนที่มาใช้สอยนี้เอง
ถ้าสมมติว่าเรามีสถานที่ มีคนดูแลสถานที่ แต่ว่าคนปฏิบัติไม่มี มันก็จบ ไม่สำเร็จ ท่านอาจารย์พุทธทาสเตือนว่า ทำอะไรต้องระวังให้ดี อย่าให้ยมบาลตีกะบาล ลงทุนไปมากแต่ว่าไม่มีคนมาใช้เลย มันก็ไม่สำเร็จ
แต่ทีปภาวันมีโชคดี เขามีการอบรมฝรั่ง ตอนนี้เดือนหนึ่ง ๓ ครั้งด้วยกัน มีชาวต่างประเทศมาอบรม เฉลี่ยแล้วเดือนหนึ่งก็ประมาณ ๑๐๐ คน ตลอดปีก็ได้บางเดือนก็มี ฝรั่งทั่วไปบ้าง ฝรั่งรัสเซียบ้าง แล้วก็ญาติโยม อย่างน้อยเดือนละครั้ง
ทีปภาวันก็พัฒนามาเรื่อยๆนี่ ๑๐ กว่าปีแล้ว จนกระทั่ง ได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมในหลายๆแห่งของประเทศไทย ทีปภาวันเขาได้รับการยกย่อง ว่าเป็นสถานที่ๆสวยงาม มาที่นี่ ก็คือมาหาความสุขที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ความสุขที่พระพุทธเจ้าค้นพบนี่ ก็โยมมาอยู่ที่นี่ ก็จะค้นพบความสุขชนิดนี้ ทุกคนต้องการความสุข ความสุขที่เขาแสวงหาอยู่นี้ มันเป็นความสุขธรรมดา ยังเป็นความสุขหลอก ไม่ได้เป็นความสุขจริง
เขามาที่เกาะสมุยกัน ส่วนใหญ่ก็ต้องมาหาความสุข ถ้าไม่มีความสุข เขาก็คงไม่อยากจะมา แต่ว่าความสุขที่คนแสวงหานั้นเป็นความสุขธรรมดา ไม่ใช่เป็นความสุขของพระอริยเจ้า ความสุขชนิดนี้ เขาเรียกว่ากามสุข ความสุขที่เกิดจากรูป จากเสียง จากกลิ่น จากรส จากโผฏฐัพพะ
ความสุขที่เกิดจากกามคุณ ความสุขชนิดนี้ยังเป็นความสุขธรรมดา คนสัมผัสแล้ว มีแล้ว จิตใจก็ยังเร่าร้อน จิตใจก็ยังหิว ยังกระหาย ดังนั้นไม่ใช่เป็นความสุขของพระอริยเจ้า
เราก็เตือนว่าความสุขชนิดนี้ต้องระวัง ถ้าไม่ระวังความทุกข์มันจะมีมาก มันแฝงอยู่ในความสุขชนิดนี้ เหมือนอย่างปลา มันต้องการเหยื่อ แต่ว่าเขาเสียบเบ็ดเอาไว้ แล้วมันก็ไปกินเหยื่อ ที่สุดก็ติดเบ็ด ปลาก็ต้องตาย แต่ถ้าปลาที่ฉลาด มันก็ตอดเฉพาะเหยื่อ ไม่กลืนเบ็ด ปลาก็ไม่เป็นไร ไม่อันตราย
ฉะนั้น ฆราวาสครองเรือนต้องเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ เกี่ยวข้องกับกามคุณ คือรูป คือเสียง คือกลิ่น คือรส คือโผฎฐัพพะ ถ้ามีความรู้ทางธรรมะก็ไม่เป็นไร มันเหมือนปลาที่ตอดเฉพาะเอาแต่เหยื่อแต่ไม่กลืนเบ็ด
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลาย มาปฏิบัติธรรมที่นี่ หนึ่ง ญาติโยมทั้งหลายจะได้ยินได้ฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พระองค์ทรงสอนเอาไว้ เพราะพระพุทธเจ้าก็เคยสมบูรณ์ด้วยความสุขชนิดนี้เรียกว่า กามคุณ จนกระทั่ง พระองค์มองเห็นว่าไม่ได้เป็นความสุขสูงสุด ยังเจืออยู่ด้วยความทุกข์ ยังไม่พ้นความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย คนมีสิ่งเหล่านี้แล้ว มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส โผฎฐัพพะ มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย แต่ว่าชีวิตของเขาก็กำลังเดินทางไปสู่ความแก่ ความเจ็บ ความตายอยู่ทุกวัน
วันหนึ่งเมื่อความตายมาถึง ก็ทิ้งหมดไม่มีอะไร ทรัพย์สินเงินทอง ที่คิดว่าเป็นของเขาๆนี่ ก็ไม่มีอะไรเป็นของเขาเลย แต่ว่าคนก็ยังมองไม่เห็น ที่แสวงหากันอยู่นี่ แสวงหาทรัพย์สินเงินทอง มุ่งมั่น เงินนี้คือสิ่งสูงสุด อันนี้ คือสมมติ ไม่ใช่ของจริงอะไร เราไม่ค่อยคิดถึงความจริง ยกตัวอย่างว่า เขายกประเทศไทยทั้งหมดนี่ให้เราปกครองคนเดียว ค่ามันเท่าไร เท่าไรล้าน เป็นล้านๆ เราจะมีความสุขไหม มันมีความสุขไม่ได้เพราะเราก็กินไม่หมด ใช้ไม่หมด ของทั้งหมดนี้
ฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า จะพบความสุข สงบ พบความสุขที่แท้จริงไม่ได้ เพราะความสุขจริงๆไม่ได้อยู่ที่วัตถุ ความสุขจริงอยู่ที่จิตใจของเรานี่เอง เรามีอะไร ถ้าเราไม่พอใจ อย่าหวังเลยจะมีความสุข มันเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเรามีความพอใจ มีอะไร เราก็มีความสุข นี่คือความสุขทางด้านจิตใจ
แต่จิตใจนี้มันเนื่องกับร่างกาย ถ้าจิตใจของเรามันพอใจ ความเป็นอยู่ทางร่างกายมันก็ไม่มีปัญหา ถ้าจิตใจยังหิว ยังอยาก ยังต้องการ ทางร่างกายก็แสวงหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ ก็เหน็ดเหนื่อยมาก ลำบากมาก ดีไม่ดีเป็นหนี้เป็นสิน
เดี๋ยวนี้คนเครียดกันมาก ไม่ว่าชาวนา ชาวสวน พ่อค้า ข้าราชการ เนื่องจากเป็นหนี้กัน พระพุทธเจ้าสอนไว้ อิณาทานัง ทุกขัง โลเก การเป็นหนี้เป็นทุกข์ในโลก
คนทั่วๆไป ชาวนา ชาวสวนอยากจะสะดวกสบาย ที่ว่ามีสิ่งนี้ ก็คือมีความสุข เช่นไปซื้อรถมาขี่มาขับ เป็นเงินผ่อน ก็ต้องเสีย หาเงินไปปลดที่ ไปซื้อรถมาใช้ ก็เป็นภาระหนัก คือมันไม่พอดีนั่นเอง ที่จริงวัตถุเหล่านี้ มันเป็นของต่างๆ ถ้าเราอยากจะมี ต้องการจะมี ก็หาเงินให้พอเสียก่อน เมื่อได้เงินเพียงพอแล้วค่อยซื้อไม่เป็นไร ไม่ต้องเปรียบเทียบว่า เจ้านั้นเจ้านี้เขาขี่รถราคาเท่านั้นล้านเท่านั้น ไม่ต้องสนใจ แต่ว่าเราใช้รถที่เราขับขี่ไปได้ ไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นสินนี่ มันสบายที่สุด และก็ต้องขยันในการทำงาน ต้องรู้จักประหยัด ได้เงินมาต้องรู้จักใช้มันพอดี ตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ถ้าเราปฏิบัติอย่างนี้ เราก็พบความสุขที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ แม้ความสุขระดับธรรมดานี้ เรียกว่ากามสุข ก็ยังปลอดภัย เหมือนอย่างปลารู้จักตอดเฉพาะเหยื่อ ไม่กลืนเบ็ด แต่หากไม่มีความรู้ ไม่มีปัญญา ก็ไปกลืนเอาเบ็ด ก็ติดเหยื่อ ก็ตายเท่านั้นเอง
ทีนี่ ธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน พระองค์ตรัสว่า ไม่เคยได้ยินได้ฟังจากของใครมาก่อน ก็คือทางสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา ไม่ได้ฟังจากใครมาก่อน คนที่มีความรู้ เรียกว่าเป็นครู เป็นอาจารย์ อินเดีย ก่อนพุทธกาลก็มีอยู่แล้ว พระองค์ก็ไปศึกษา ไปปฏิบัติกับอาจารย์เหล่านี้ แต่ก็ยังดับทุกข์ไม่ได้
สุขสูงสุดคือสุขที่ความทุกข์มันเกิดไม่ได้อีกต่อไป นั่นคือสุขสูงสุด สุขใดก็ตามที่ยังมีความทุกข์คอยแทรกแซงอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เป็นความสุขจริง ยังเป็นสุขหลอก ยังเป็นสุขลวง อย่างที่คนทั่วไปแสวงหากันอยู่ ยังเป็นสุขที่เจือด้วยความทุกข์มาก
ส่วนสุขที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ความทุกข์มันจะต้องน้อยลงๆ สุขสูงสุดคือพระนิพพาน นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง วิมุตติสุขคือสุขที่จิตหลุดพ้นจากความทุกข์ ความทุกข์มันมาจากไหน ความทุกข์มันมีในชีวิตของเราแล้ว เกิดมาทุกข์ทันทีเลย ทุกข์มันมีถึง ๓ ชนิด
๑.ทุกข์เจ็บปวด เรียกว่าทุกขเวทนา มีในชีวิตของเรา
๒.ทุกขลักษณะ สิ่งใดที่มันทนอยู่ลักษณะเดิมไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลง เขาเรียกเป็นทุกข์เหมือนกัน เขาเรียกทุกขลักษณะ มีในสิ่งปรุงแต่งทุกสิ่ง เรียกว่ามีในสังขารทั้งหลายทั้งปวง สิ่งมีชีวิตก็ตาม ไม่มีชีวิตก็ตาม มีทุกข์อันนี้อยู่ ชีวิตของเราก็มีอันนี้อยู่ เกิดมาแล้วแก่ เจ็บ ตาย คือมันไม่เที่ยงนั้นเอง แต่ว่าทุกข์ที่สำคัญที่สุดคือ ทุกข์ในจิตใจ คือทุกข์อุปาทาน ไปยึดถือว่าเป็นเรา เป็นของเรา ใจจะต้องเป็นทุกข์ มีเงินสักกี่แสนล้าน มีอะไร ถ้าจิตยังยึดถือ ความทุกข์มันก็ยังมากอยู่อย่างเดิม ที่นี่ถึงไม่มีอะไรมากมายขนาดนั้น เป็นอยู่พอกินพอใช้ จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์มันก็ไม่มี ความทุกข์มันอยู่ที่ยึดมั่นถือมั่น ถ้าต้องการความสุข ก็ทำให้ความยึดมั่นถือมั่นมันลดลงๆ
ยึดมั่นถือมั่นนี่ ญาติโยมทั้งหลายต้องเข้าใจ ไม่ใช่เรื่องวัตถุ แต่หมายถึงเรื่องจิตใจ จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อจิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ความหนักอกหนักใจ มันก็ไม่มีหรือว่าน้อยลง ที่นี่มีปัญหาว่าทำอย่างไร ให้จิตใจไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็ต้องปฏิบัติ พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ ทางสายกลาง โดยเฉพาะอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางสายกลางที่สมบูรณ์ที่สุด ก็มีอะไรบ้าง
หนึ่ง มีสัมมาทิฎฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง เห็นตามที่เป็นจริง สอง สัมมาสังกัปปะ ดำริถูกต้อง ความหวัง ความคิด ความนึกที่ถูกต้อง แล้วก็สัมมาวาจา พูดจาถูกต้อง สัมมากัมมันตะ การงานถูกต้อง สัมมาอาชีวะ เลี้ยงชีพถูกต้อง
สัมมาวายามะ เพียรถูกต้อง สัมมาสติ ระลึกถูกต้อง สัมมาสมาธิ ตั้งใจมั่นถูกต้อง
ก็เรียกว่าอริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นทางสายกลาง
ทีนี่ เมื่อปฏิบัติในทางสายกลาง จิตก็มีคุณธรรม คุณธรรมนี่สำคัญ สำคัญก็คือสมาธิและก็ปัญญานั่นเอง เรียกว่าสมถะและวิปัสสนา
ฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ มาฝึกสมถะ มาฝึกวิปัสสนา เมื่อฝึกสมถะคือได้จิตสงบ เมื่อจิตสงบก็ฝึกวิปัสสนา ก็มองเห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวงตามที่เป็นจริง และสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มีในชีวิตของเรา ว่าที่เราเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ข้างนอกจะเป็นบุคคล จะเป็นสัตว์ จะเป็นสิ่งของ มันเป็นแต่เพียงสังขารธรรมเท่านั้น สังขารธรรมมันก็ไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ เพราะไม่มีตัวตนที่แท้จริง ในสิ่งเหล่านี้เลย มันอาศัยเหตุปัจจัยแล้วเกิดขึ้น อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อเข้าใจได้อย่างนี้ จิตใจก็ไม่ยึดถือ
ส่วนทางร่างกาย ก็ยังเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ แล้วแต่ รามีหน้าที่อย่างไร คนมีครอบครัวเกี่ยวข้องกับครอบครัว มีทรัพย์สินเงินทองแต่มันอยู่ข้างนอกหมด ไม่มาอยู่ในจิตใจของเรา ถ้าทำได้อย่างนี้ จิตมันก็เลื่อนไปพบความสุข ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงแนะนำเอาไว้ ก็ได้พบความสุขในระดับสมาธิ พบความสุขที่มันสูงขึ้นไป ก็ด้วยการปฏิบัติ
ความจริงการปฏิบัติมันต้องปฏิบัติที่จิตใจ เรียกว่าออกมาที่กายที่วาจา นี่เป็นที่ปฏิบัติธรรม ก็คือชีวิตของเรานั่นเอง เมื่อชีวิตของเราอยู่ที่ไหนก็ปฏิบัติธรรมที่นั้น แต่ถ้ามีสถานที่ มันก็เป็นธรรมะ เป็นธรรมชาติ ที่ๆมันหนวกหู ที่ๆมันวุ่นวาย ที่ๆมันมีปัญหา มันก็ฝึกจิตใจยาก
ฉะนั้น ต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง ๑.สถานที่ เงียบสงบ ดี ๒.คนที่อยู่ในที่นั่น มีความสมัคคี มีความพร้อมเพียงกัน ไม่ขัดแย้ง ไม่ทะเลาะวิวาทกัน ทำให้บรรยากาศมันสงบ เราก็มีโอกาสฝึกจิตใจให้มันสงบได้ง่าย
แต่ว่าถ้าเราไม่มีโอกาสอย่างนี้ เราก็พยายามมีสติสัมปชัญญะ ปิดหู ปิดตา ไม่รู้ไม่ชี้ ก็ทำได้เหมือนกัน แต่มันยากๆ ใครทำได้ก็นับว่าเก่ง
ฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายก็ได้มาทีปภาวันแล้ว สิ่งแวดล้อมก็อย่างที่เห็นกันอยู่ โยมมาอยู่ที่นี่ก็ต้องเดินขึ้นเดินลง อันนี้ก็มีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง ในขณะที่เดินขึ้นมา ก็ต้องมีสติ มีสัมปชัญญะ ขาลงก็เหมือนกันเพราะทางมันต้องระวัง
อาตมาก็เล่าให้ญาติโยมฟังอายุ ๘๐ กว่าแล้ว ยังเดินขึ้น เดินลงยังเดินได้ อาตมาเห็นเพื่อนๆที่อายุพอๆกับอาตมา บางคนก็เดินไม่ค่อยรอดแล้วเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย สถานที่ทีปภาวันก็บังคับให้เราได้ออกกำลังกาย เดินกันขึ้นมา
อาตมาอยู่บนนี้ อยู่บนที่สูงก็มองเห็นไปไกล มองเห็นไฟในทะเล พวกไฟของชาวประมง มองเห็นไฟในตลาด หัวถนน ไฟที่ตามบ้านตามเรือน เรามาอยู่บนที่สูง ก็มองลงไปที่ต่ำ ทำให้มองเห็น เออ..มนุษย์เราก็แค่นี้เอง เกิดมาก็แสวงหาสิ่งนั้นสิ่งนี้ ล้มหายตายจากกันไป แล้ววันหนึ่งก็มาถึงกับเรา และตอนนี้สำคัญว่าเราพบความสุขที่แท้จริงแล้วหรือยัง พบความสุขที่พระพุทธเจ้าได้ค้นพบที่พระองค์บอกทางให้ไปพบความสุขชนิดนี้แล้วหรือยัง แล้วนี่ก็ต้องสนใจ
ฉะนั้น การที่จะพบความสุข ที่พุทธเจ้าต้องการให้เราพบคือความสุขสงบ เราต้องพอใจในการที่จะฝึกจิต พระองค์ก็ได้บอกไว้แล้ว โดยเฉพาะอานาปานสติ ที่มีเป็นขั้นๆ
ญาติโยมทั้งหลายก็จะได้เรียนรู้ ก็เดินไปตามขั้นของอานาปานสติ ก็ได้พบความสุขของพระพุทธเจ้า ของพระอริยเจ้ามากขึ้น อานาปานสติขั้นที่หนึ่งก็คือลมหายใจเข้ายาว ออกยาว
ฉะนั้นต่อไปนี้ ให้ญาติโยมทั้งหลายตั้งใจปฏิบัติ ถ้าเรายังไม่ตาย เราก็มีลมหายใจเข้าหายใจออก อานาปานสติขั้นที่หนึ่งขั้นเดี๋ยวนี่ ถ้าทำสำเร็จก็จะได้สมาธิ จิตจะบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น จิตอ่อนโยน จิตไม่มีอารมณ์ร้อน ไม่มีอารมณ์ร้าย อารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย คืออารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์เบื่อ ฟุ้งซ่าน ลังเลสงสัย อารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย ก็เรียกนิวรณ์นั่นเอง
เมื่อจิตไม่มีนิวรณ์ จิตก็ตั้งมั่น จิตก็บริสุทธิ์ ก็ได้ความสุขในระดับที่สูงกว่าธรรมดา ไม่ใช่กามสุข มันมีความสุขสงบ เป็นความสุขที่พุทธเจ้าตรัสว่าไม่ควรกลัว ความสุขที่เกิดจากกามคุณเป็นความสุขที่ต้องระวัง ความสุขที่เกิดจากสมาธิเกิดจากฌานพวกนี้ เป็นความสุขที่ไม่ควรกลัว
เมื่อได้สมาธิมา เกิดปีติ เกิดความสุข เมื่อพบความสุขแล้ว ที่นี้ก็เจริญปัญญา วิปัสสนาก็มาดูชีวิตของเรา มาดูทุกสิ่งที่มันมีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง มันก็จะเห็นความไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ มันไม่ใช่เรา
เมื่อจิตเข้าใจว่าไม่มีอะไรเป็นของเราแล้ว นั้นแหละพบความสุข ที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราพบ
ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน เริ่มต้นก็ด้วยตามลม โยมยังไม่เคยฝึกหายใจเข้าให้ยาวที่สุด ออกยาวที่สุด ซักซ้อมนิดหน่อย ให้จิตฝากไว้กับลม ตามลมไป อย่าหวัง อย่าต้องการอะไร ในขณะปฏิบัติให้มีแต่สติสัมปชัญญะ พยายามให้เหลือแต่กายกับจิตทำงานร่วมกัน
ฉะนั้น เรานั่งดู คนอื่นจะต้องนั่งอยู่ในชีวิตของคนนั้น เขาก็มีกายมีใจอยู่เช่นเดียวกัน เรานั่งอยู่ คำว่าเรานี้เป็นคำสมมติ จริงๆมันมีแต่กายกับจิต นามกับรูป มันทำงานกันอยู่ แต่ว่านามและรูปนี้เป็นสังขารธรรม วันหนึ่งมันก็กระจัดกระจาย แตกสลายอยู่ไม่ได้
ฉะนั้น จริงๆมันไม่มีอะไรเป็นของเรา ถ้าเข้าใจเรื่องไม่มีอะไรเป็นของเรา ใจก็สบาย ต่อไปความเป็นอยู่ทางร่างกายก็จะปรับตัวดี ไม่ละโมบโลภมาก เป็นอยู่พอดี รู้จักประหยัดมัธยัสถ์ ปัญหาต่างๆมันก็น้อยลง ไม่มีปัญหา ต่อไปก็ตั้งใจปฏิบัติกัน ใช้เวลาประมาณนี้ ๒๐ กว่านาที