แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
25. 581113 เรื่องที่พึ่งสูงสุด
ญาติโยมจะได้มาพักแรมอยู่ที่ทีปภาวัน เพื่ออบรมพัฒนาจิตใจ เพื่อจะมีที่พึ่งอันประเสริฐ อันนี้สำคัญมาก ชีวิตของเราเกิดมาต้องอาศัยคนอื่นเป็นที่พึ่งมาก่อนทุกคน นอกจากบุคคลแล้ว ก็ยังมีวัตถุสิ่งของที่เราต้องพึ่งอาศัย แม้แต่ธรรมชาติ ดิน ฟ้า อากาศ เราก็ยังต้องพึ่งธรรมชาติเหล่านี้ เช่น น้ำฝน เป็นต้น
ที่สำคัญที่สุดต้องมีที่พึ่งทางด้านจิตใจ ที่พึ่งที่เราได้มีและได้ผ่านมา ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นที่พึ่งธรรมดา ยังไม่เป็นที่พึ่งอันเกษม ยังไม่เป็นที่พึ่งอันประเสริฐ ยังไม่เป็นที่พึ่งอันสูงสุด
ฉะนั้น การที่ญาติโยมมาพักแรม ทิ้งบ้านทิ้งเรือนมาก็เพื่อจะมีที่พึ่งอันนี้ เราเกิดมาก็อาศัยบิดามารดาเป็นที่พึ่ง บิดามารดาเลี้ยงดูจนกระทั่งเราเติบโต ชีวิตของเราเติบโตขึ้นมาได้ รอดชีวิตมาได้ต้องอาศัยสิ่งอื่นหลายๆอย่าง เช่นอาหารที่เราต้องกิน ต้องรับประทานแต่ละวัน อาหารเหล่านี้มาจากไหน มาจากพืช มาจากสัตว์ มาจากผลไม้ พืชผักเหล่านี้ ถ้าไม่มีผืนแผ่นดินก็ไม่รู้ว่าจะปลูกได้ที่ไหน แม้มีแผ่นดินแล้ว ถ้าไม่มีน้ำฝน ฝนไม่ตก ขาดน้ำ อันพืชเหล่านี้คงงอกงามไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราต้องอาศัยสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง เช่น อาหารที่เรารับประทาน
นอกจากอาหารแล้วก็ยังมีเสื้อผ้าที่เราสวมใส่ ได้มาจากไหน ก็ได้มาจากธรรมชาติบ้าง จากการสงเคราะห์ ใยสังเคราะห์บ้าง ที่เราสวมใส่กันอยู่ แม้แต่แมลงที่เป็นตัวไหม ที่เราเอาใยของมันมาทำเป็นด้าย เป็นเส้นไหมทอเป็นผ้าสำหรับใช้ ทีนี้เราก็ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้
ที่อยู่อาศัยบ้านเรือน บ้านเรือนที่ทำด้วยไม้ ไม้ก็เป็นธรรมชาติของต้นไม้ เราก็ไปเอาไม้มาทำเป็นบ้านเรือนที่อยู่อาศัย หลังคาบ้าน โบราณก็ใช้จากมุง ใช้ใบไม้มุง ก็ต้องพึ่งธรรมชาติเหล่านี้
ปัจจุบันนี้สร้างเป็นอาคารคอนกรีต เป็นเหล็ก เป็นปูน เป็นหิน เป็นทราย เราก็ต้องพึ่งสิ่งเหล่านี้ ที่มันมีอยู่บนโลกนี้ ทรายเอามาจากไหน ก็เอามาจากโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ หินเอามาจากไหน เอามาจากก้อนหินที่มันมีอยู่บนโลกนี้ แล้วเป็นเหล็ก เป็นปูน อะไรต่างๆ มันก็เป็นทรัพยากรที่มันอยู่บนโลกนี้ เราก็อาศัยมัน ได้สิ่งเหล่านี้มาเป็นที่พึ่ง ให้เรามีชีวิตอยู่ได้ ธรรมชาติเรียกว่าต้องพึ่งอาศัย แม้แต่ฝนฟ้า เราก็ต้องพึ่งอาศัย มีอยู่สิ่งหนึ่ง ถ้าไม่มีสิ่งนี้ มนุษย์ทุกคนอยู่ไม่ได้ คือแสงพระอาทิตย์ ถ้าไม่มีแสงอาทิตย์อย่างเดียว โลกจะมืด คนจะอยู่ไม่ได้ จะขาดอะไรหลายๆอย่าง โดยเฉพาะอากาศที่เราหายใจ อากาศก็เพี้ยน ที่เราหายใจอยู่นี่ เพราะอาศัยต้นไม้ที่มันสังเคราะห์ พอแสงพระอาทิตย์ขึ้น มันทำให้อากาศก็เพี้ยน สิ่งเหล่านี้อยู่บนโลกนี้ อยู่ร่วมกับเรา เราได้พึ่งพาสิ่งเหล่านี้ ถ้าไม่มีสิ่งเรานี้ เราก็ขาดแคลน ขาดแคลนปัจจัยสี่ ถ้าไม่มีอาหารกิน ไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ไม่มีบ้านเรือนอาศัย และสิ่งสำคัญคือยารักษาโรค สมุนไพรต่างๆ ที่เป็นยา ก็เอามาผสมผสาน ผลิตเป็นยาตัวใหม่ขึ้นมา จะเป็นยาที่มีสารเคมีอะไรต่างๆ ที่มาทำเป็นยา สิ่งเหล่านี้มันก็อยู่บนโลกนี้นั่นเอง
ทีนี้ มนุษย์เราเกิดมาอยู่คนเดียวไม่ได้ เราเกิดมาจากบิดามารดาสองคน ก็มีญาติ มีพี่น้อง มีเพื่อนฝูงรวมกันเป็นชุมชน รวมกันเป็นสังคม รวมกันเป็นประเทศชาติ รวมกันเป็นสังคมโลก อยู่ร่วมกันเกี่ยวข้องกันตลอดเวลา เพราะมนุษย์เรามันต้องการปัจจัยสี่ที่สำคัญ อาหารการกิน เสื้อผ้าที่เราสวมใส่ บ้านเรือนที่เราอยู่อาศัย แล้วก็ยารักษาโรค เราก็พึ่งพาสิ่งเหล่านี้ แต่ว่ายังเป็นที่พึ่งอย่างธรรมดา เรามีสิ่งเหล่านี้สมบูรณ์ แต่ว่าจิตใจของเรายังมีปัญหา เราสร้างบ้านสร้างเรือนขึ้นมา เรานอนไม่หลับในบ้านในเรือนที่เราสร้างขึ้นมา เรือนนั้นก็ไม่ช่วยให้เรามีความสุข
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายทิ้งบ้านทิ้งเรือนมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อจะสร้างที่พึ่งอันประเสริฐ คือที่พึ่งทางใจนั่นเอง ทางเรื่องจิตใจนี้มันเป็นเรื่องสำคัญมาก มันเกี่ยวเนื่องกับทางร่างกายด้วย สิ่งที่ญาติโยมมาฝึกนี่ คือฝึกคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ โดยเฉพาะคือมีสติ
สติเป็นธรรมะที่ขาดไม่ได้เลย สติแปลว่าระลึกอยู่กับธรรมะ อยู่กับสิ่งที่จะช่วยให้เรามีความสงบ เพื่อให้จิตใจของเราไม่มีปัญหา ระลึกอยู่กับสิ่งเหล่านี้ตลอดเวลา
สติมีหลายระดับ ระดับธรรมดามันก็มีประโยชน์อยู่แล้ว อย่างปัจจุบันนี้คนใช้ยวดยานพาหนะ จะเป็นรถมอเตอร์ไซค์ก็ตาม เป็นรถยนต์ก็ตาม ลองไม่มีสติดู จะเกิดปัญหาขึ้นมาทันทีเลย
ทีนี้ ญาติโยมมาอยู่ที่นี่มาฝึกสติ สตินี่สำคัญที่สุด โดยเฉพาะถ้าทำให้เราขาดสติ เช่น เสพของมึนเมา โดยเฉพาะศีลข้อที่ห้านี่ เสพสุราและเมรัย คือสิ่งมึนเมาทุกชนิดที่เราเสพเข้าไป จะเป็นดื่ม เป็นฉีด หรือว่าทำด้วยวิธีไหนเข้าไปสู่ร่างกาย จะทำให้คนขาดสติ พอขาดสติมันจะทำผิดหมดเลย ศีลแต่ละข้อๆ มันก็ทำผิด โดยเฉพาะไปฆ่าคนก็ได้ ลักของของคนอื่นก็ได้ ไปล่วงเกินของรักของคนอื่นก็ได้ โกหกก็ได้ ลองขาดสติสัมปชัญญะแล้วปัญหามันเกิด
ทีนี้ ถ้าเรามาอบรมให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ เราก็รู้จักว่าอะไรผิด อะไรถูก สิ่งที่ผิดเราก็ไม่ทำ เราทำในสิ่งที่ถูกที่ควร ชีวิตของเรามันก็ไม่มีปัญหา ความทุกข์มันก็มีน้อย ยิ่งไปกว่านั้น เราอบรมจิตใจให้มันมีความสงบขึ้นภายใน เราจะได้ที่พึ่ง เป็นที่พักผ่อนของจิตใจ จิตใจของเรามันดิ้นรนอยู่ตลอดเวลา มันไม่หยุด มันไม่หย่อน คนจึงเหนื่อย เหนื่อยใจ หนักใจ เพราะจิตมันไม่เคยหยุดได้เลย
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายมาฝึกสมาธิ เพื่อให้จิตได้มีที่พึ่ง ที่พึ่งทางจิตอันเป็นที่พึ่งอันประเสริฐ โดยเฉพาะลมหายใจเข้าออกนี่ ญาติโยมทั้งหลายก็ได้พึ่งลมหายใจเข้าออกมาตลอดเวลา
ญาติโยมอาจจะไม่มองเห็นความสำคัญของลมหายใจเข้าออก คนส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของอาหารการกิน เสื้อผ้าอาภรณ์ บ้านเรือนที่อยู่อาศัยเห็นว่าสำคัญ มุ่งที่จะมี มุ่งที่จะหาในสิ่งเหล่านี้ ส่วนลมหายใจ ลืมไป เราลองไม่มีลมหายใจเพียงไม่กี่นาที อยู่ไม่ได้ ต้องตายแน่นอน
ฉะนั้น เราพึ่งลมหายใจมาตลอด สำหรับร่างกายอยู่ได้ แต่เพียงแค่นี้มันยังอยู่ในระดับต้นเท่านั้น
ทีนี้ เมื่อญาติโยมทั้งหลายมาฝึกอานาปานสติ ที่มีทั้งหมดแต่ละขั้นๆ ๑๖ ขั้น ญาติโยมได้ฟัง ก็ลงมือปฏิบัติ ท่านก็ยกตัวอย่างว่า เราแต่ละคนนี้ มีอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้ายในชีวิตประจำวัน ความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความตื่นเต้น ความวิตกกังวล ความหึง ความหวง อาลัยอาวรณ์พวกนี้ แต่ละอย่างมันเป็นอารมณ์ร้อน มันเป็นอารมณ์ร้าย
ทีนี้ โลกปัจจุบันนี้มันชวนให้เกิดอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้ายมันมากมายเหลือเกิน อย่างไรก็ดี ถ้าเราได้ฝึกจิตตภาวนา เราก็มีที่พึ่งทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะเราฝึกสมาธิให้ได้
หนึ่ง เราจะมีความสุขทันตาเห็น ต้องการจะอยู่อย่างเป็นสุขสงบ มันก็ทำได้ ถ้าทำให้หูตาสามารถรับรู้ได้เป็นพิเศษ ที่สำคัญที่สุดทำให้กิเลสมันเกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อเราทำให้กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้ นี่ละคือที่พึ่งอันเกษม นี่ละที่พึ่งอันสูงสุด
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทิ้งบ้านทิ้งเรือนมาอยู่อย่างนี้ อย่าคิดว่าเป็นการขาดทุน อย่าคิดว่าเป็นการเสียเวลา บางเวลาเราจำเป็นต้องทิ้งบ้านทิ้งเรือน เช่น เกิดภัยพิบัติตามธรรมชาติ บ้านตัวเองอยู่ไม่ได้ เกิดภาวะสงครามอยู่ไม่ได้ ถ้าขืนอยู่ก็จะเสียชีวิต อพยพหลบหนี หรือว่ามีความจำเป็น เป็นทหาร เป็นตำรวจต้องไปดูแลความปลอดภัยของประเทศชาติ ของประชาชน ก็ต้องไป ไปช่วยเหลือ
ความจริงเรื่องการทิ้งบ้านทิ้งเรือนก็มีอยู่เป็นประจำ เช่น เมื่อเราเป็นเด็กๆ บางทีก็ไปเรียนหนังสือ ทิ้งบ้านไป ไปอยู่บ้านญาติบ้าง หรือไปอยู่หอพักบ้าง ไปเรียนหนังสือก็ทิ้งบ้านทิ้งเรือนของตัวเอง ไม่ได้อยู่กับพ่อกับแม่ อย่างปัจจุบันนี้ที่ส่งลูกให้ไปเรียนต่างประเทศ ก็ไปอยู่กับบ้านคนอื่น เขาไม่ได้อยู่บ้านตัวเอง แต่ว่าการที่ลูกหลานของเราไปเรียนเพื่อไปหาความรู้ จะได้สร้างที่พึ่งให้กับตนเองนั่นเอง เพราะว่าถ้ามีความรู้ก็มาประกอบอาชีพการงาน ได้เงินได้ทอง ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องใช้เรี่ยวใช้แรงอย่างเดียว ใช้ความรู้ ใช้สติปัญญาหาเงินหาทรัพย์ แต่ได้เงินได้ทรัพย์มาแล้ว จิตใจไม่เข้าใจธรรมะ มันก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง ฉะนั้นอย่าคิดว่าคนร่ำคนรวย เขาจะเป็นสุขนี่ ไม่จริง ถ้าเขาไม่เข้าใจธรรมะ จะไม่มีความสุข ไม่มีความสงบ
ฉะนั้น การที่ญาติโยมมาอยู่ที่นี่ มาฝึกจิตใจฝึกภาวนา มาทำที่พึ่งให้แก่ตัวเอง ญาติโยมทั้งหลายเข้าใจธรรมะ จะเอาไปใช้แก้ปัญหาได้ทุกปัญหา ไม่ว่าปัญหาอะไร ถ้ามีปัญญา แก้ไขปัญหาได้ โดยเฉพาะปัญหาที่ยาก ยากที่จะแก้ไข แต่ถ้ามีปัญญา มีเมตตา มีสติ มีสัมปชัญญะ แก้ปัญหาได้
ฉะนั้น ญาติโยมมาอยู่ที่นี่ มาแสวงหาสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าต้องตั้งใจที่จะปฏิบัติ มันมีน่าเห็นใจอยู่เรื่องหนึ่ง นี่เป็นเรื่องจริง เคยมีนายทหารที่เขาไปรบในสงคราม แล้วก็ทำให้ข้าศึกนั้นตายไปหลายคน แกบอกว่าเวลานั่งสมาธิ มันนั่งไม่ได้ พอนั่งสมาธิมันเกิดภาพเกิดภาพหลอน อาตมาก็แนะนำว่า พอมันเกิดภาพหลอนขึ้นมา เห็นภาพก็ให้แผ่ส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ แล้วก็พยายามทำกรรมที่สาม กรรมมันมีอยู่ ๓ กรรม ๑. กรรมชั่ว ๒. กรรมดี ๓. กรรมเหนือชั่วเหนือดี
กรรมชั่วที่เราทำไว้นี่ ถ้าเราไม่แก้ไข มันจะฝังอยู่ในจิตใจ แล้วก็ให้ผลไปถึงลูกถึงหลาน กรรมชั่วที่ทำเอาไว้นี่
ทีนี้ เราก็ต้องแก้ด้วยทำกรรมดี มันแก้ไขได้ อย่าปล่อยไว้โดยไม่คิดแก้ไข ที่โยมมาปฏิบัติอย่างนี้ มาปฏิบัติกรรมที่สาม กรรมที่สามคือฝึกกรรมฐาน ฝึกสมาธิภาวนา ยกตัวอย่างว่า ในครั้งพุทธกาลอย่างองคุลีมาล ตามประวัติแล้วฆ่าคนตายเป็นร้อย ในที่สุดก็บรรลุพระอรหันต์ได้ ก็เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า
นั้นก็ขอให้โยมตั้งใจที่จะปฏิบัติ เพราะว่าจะช่วยเหลือให้โยมมีที่พึ่งทางด้านจิตใจ โดยเฉพาะฝึกสมาธิ ถ้าเราฝึกสมาธิ จิตมันยังฟุ้งซ่าน ก็ไม่เป็นไร ฝึกไปเรื่อยๆ มันก็ค่อยดีเอง
พยายามฝึกให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ มีเมตตา อย่างคนไปรบในสงคราม ทำไปตามหน้าที่ เพราะว่าเขาสั่งให้ไปรบ ก็ต้องรบ แต่จิตใจยังคิดว่าจะไปฆ่าคน ไว้ทำใจเอาไว้ หรือเพชฌฆาตที่ยิงเป้าคน ตัดคอคน ทำใจไว้ยังไง ฆ่าคนตาย ก็ต้องทำใจ ว่าทำตามหน้าที่ ฉะนั้น จิตใจของเราก็ต้องแก้ไข อย่าให้ความเศร้าหมองมันอยู่ในจิตใจ
ทีนี้ กรรมที่สำคัญที่สุดคือกรรมฐาน กรรมฐานเป็นกรรมที่ล้างกรรม ล้างมันไปเรื่อยๆ ความเศร้าหมองของจิตใจ มันก็ค่อยเบาบาง ยกตัวอย่างว่า ถ้าโยมนั่งสมาธิมันเกิดภาพหลอนขึ้นมา ขอให้มีสติสัมปชัญญะ ก็แผ่ส่วนบุญ ส่วนกุศลไปให้ ขออโหสิกรรม ว่าในใจ เราทำอย่างนี้ไม่ได้เจตนาที่จะไปฆ่าให้คุณตาย แต่มันเป็นหน้าที่ แล้วก็อบรมวิปัสสนา เห็นว่าอารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้ เป็นเรื่องของจิต เป็นเรื่องสัญญา ที่มันจำไว้ในจิตใจมันโผล่ขึ้นมา ให้พิจารณานี้ว่ามันเป็นสังขาร มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าทำอย่างนี้เรื่อยๆ ใจก็ค่อยสงบ ใจก็ค่อยสะอาด
ฉะนั้น โยมมาอยู่ที่นี่ มาสร้างที่พึ่งอันประเสริฐ นั้นก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ชีวิตของฆราวาสเป็นชีวิตที่หนัก มีภาระมากต้องดูแล ทีนี้ ถ้าเราไม่อบรมจิตใจให้มันสงบ จิตใจของเราก็เครียด
นั้นขอให้โยมพอใจว่ามาปฏิบัติอย่างนี้ มาแสวงหา เดินตามรอยพระพุทธเจ้า มาทำที่พึ่งให้แก่ตัวเองตามหลักพระพุทธศาสนา ขอให้เชื่อกรรม ทำกรรมอะไรไว้ก็ต้องรับผลของกรรม กรรมมันมีหลายชนิด รับผลในปัจจุบันนี้ รับผลในกาลต่อไป
กรรมนี่สามารถล้างกรรมได้ แต่ไม่ใช่ทำพิธี ไปล้างกรรมตามวัดตามวา ล้างกรรมอย่างนั้น ล้างกรรมไม่ได้ ต้องฝึกจิตใจด้วยตนเอง อย่างที่โยมมาฝึกนี่ ฝึกภาวนาๆไปเรื่อย มันก็ล้างกรรม จิตใจก็ค่อยๆสงบ ค่อยสงบ นี่มาทำที่พึ่งให้แก่ตัวเอง มาทำที่พึ่งอันประเสริฐ
อาชีพอื่นก็เหมือนกัน ยกตัวอย่างว่า ปัจจุบันคนร่ำคนรวย โยมไปสังเกตดูว่าอาชีพทำอะไร เลี้ยงหมู เลี้ยงไก่ เลี้ยงกุ้ง รายได้ดี แต่ว่าทำลายชีวิตของคนอื่นจำนวนมากมาย นั่นถือว่าเป็นกรรม เป็นกรรมชั่วอย่างหนึ่ง ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แต่ว่าน้ำหนักมันยังไม่มาก ฆ่าบิดามารดา ฆ่าอรหันต์ เขาเรียกว่า อนันตริยกรรม ถ้าทำกรรมอันนี้แล้ว ต้องได้รับผลทันทีเลย จนกว่าจะหมดผลของกรรมที่ทำเอาไว้
ฉะนั้น ชีวิตของเรานี้ ก็จะเห็นว่ามันว่ายเวียนไปในวัฏสงสาร
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายมาฝึกอย่างนี้ มาทำที่พึ่งให้แก่ตัวเอง เราต้องพึ่งสิ่งต่างๆ เช่น เราเดินทางในที่มืดอย่างนี้ ต้องมีไฟฉาย หรือมีเทียนต่อไฟ ถึงจะเดินไปได้
ฉะนั้น ชีวิตมนุษย์เรา มันต้องมีที่พึ่ง พึ่งวัตถุบ้าง พึ่งปัจจัยสี่บ้าง พึ่งบุคคลที่ช่วยเหลือเรา บิดามารดา ปู่ย่า ตายาย ญาติพี่น้อง ที่โยมทุกคนมาอยู่มากินมาอยู่มาปฏิบัติร่วมกันอย่างนี้ มันสร้างกัลยาณมิตร สร้างมิตรภาพ
ทีนี้ มาอยู่อย่างนี้เรื่องอาหารการกิน มันไม่ได้อย่างใจ นี่คือการฝึก กินอาหารมังสวิรัติ กินอาหารพออยู่ได้ ให้โยมเอาไปปรับใช้ในชีวิต ก็ประหยัดเงินได้มาก ฉะนั้นก็ขอให้มองเห็นประโยชน์
การที่มาอยู่ที่นี่มาทำที่พึ่งอันประเสริฐ คือที่พึ่งทางจิตใจ เมื่อจิตใจมันดี ทุกอย่างมันจะดีหมด ทางร่างกาย สุขภาพอนามัยก็จะดี ครอบครัวก็จะดี ถ้าใจดี ถ้าใจมันเสีย ทุกอย่างก็จะเสียไปหมด พระพุทธเจ้าอุปมาว่า บ้านเรือนที่มีหลังคา ถ้าฝนมันรั่ว ข้าวของภายในเสียหายหมด จะเป็นพื้นบ้าน พื้นเรือน ฝาผนัง สิ่งของที่มีในบ้าน ถูกฝนทำลายหมด ถ้าหลังคามันไม่รั่ว ทุกอย่างมันปลอดภัยหมด
ทีนี้ จิตของเรา กิเลสมันคอยรั่วเข้ามาเรื่อย อะไรป้องกันได้ ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ สัมปชัญญะคือปัญญา ไม่มีสมาธิ ไม่มีคุณธรรมเหล่านี้ มันรักษาใจไม่ได้ กิเลสก็รั่วรดตลอดเวลา ถ้าเราพ่ายแพ้ต่อกิเลส ปัญหาจะเกิด จะทำให้เราเครียด ทำให้เราเป็นทุกข์ ทำให้มีปัญหา
ฉะนั้น ขอให้โยมตั้งใจฝึก อย่าคิดว่าฝึกไม่ได้ ฝึกกรรมฐานนี่ กรรมฐานเป็นกรรมเหนือกรรม ทำให้กรรมชั่วตามไม่ทัน เหมือนทำกรรมดีไว้มาก กรรมชั่วก็ตามไม่ทัน ในที่สุดมันก็หมดไปเอง กรรมฐานเป็นกรรมที่สาม มันจะล้างกรรม ขอให้โยมลองตั้งใจปฏิบัติ
เอาล่ะ ต่อไปนี้เราก็มาฝึกกัน หนึ่ง ฝึกก็ได้สมาธิ เมื่อได้สมาธิเพิ่มขึ้นๆ พอได้สมาธิมา มันจะพบความสุข ความสุขระดับสมาธิ ความสุขระดับสมาธิ มันซื้อด้วยเงินไม่ได้ ท่านได้กล่าวไว้ว่า ถ้าเรามีสมาธิเพียงชั่วลัดนิ้วมือเดียว เอานิ้วมือลัดไปทางข้างหน้า หรือเหมือนช้างปรบหู ช้างมันกระพือหู เพียงขณะหนึ่ง ก็ยังมีอานิสงส์มีประโยชน์มาก ก็พยายามฝึกให้มีสมาธิเพิ่มขึ้นๆ
ทีนี้ พอได้สมาธิมา ถ้าเราต้องการจะแผ่เมตตา เมตตาก็จะเป็นกำลัง พระพุทธเจ้าพระองค์ประกอบด้วยปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระเมตตาธิคุณ เราเป็นชาวพุทธ เรามีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เพราะว่าต้องสร้างคุณธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ทรงมีอยู่ คือให้มีปัญญา อบรมนี่ แล้วก็มีความบริสุทธิ์ มีเมตตาอยู่ในจิตใจ ก็เพราะอาศัยมีสมาธิเป็นกำลัง สมาธิเป็นตัวกำลัง พอได้สมาธิมา จะทำอะไรมันสำเร็จหมด
ถ้าจิตไม่มีสมาธิ จิตมันฟุ้งซ่าน จิตมันวอกแวก จิตไม่สงบ ทำอะไรยาก ทำให้ดีได้ยาก นั้นฝึกสมาธิให้ได้ก่อน นี่พอหายใจเข้า แล้วเราก็พึ่งลมหายใจมาตั้งแต่เราเกิด เพื่อร่างกายอยู่ได้ ตอนนี้เราใช้ลมหายใจเป็นที่พึ่งของจิตใจ หายใจเข้า จิตเกาะกับลม แล้วก็ตามไป แล้วมาฝึกที่นี่ ก็ให้มีสติ ระลึกถึงธรรมะ ลมหายใจเข้า ก็เป็นธรรมะ แล้วก็มีสัมปชัญญะคือปัญญา มาอยู่ในปัจจุบันขณะ รู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วก็มีสมาธิ พอมีสมาธิเพิ่มขึ้นๆ จิตใจก็มีกำลัง ก็ได้พบความสุขของสมาธิ ก็ได้พักผ่อน คลายเครียด
ต่อไปก็อบรมปัญญา ปัญญาที่สำคัญ คือรู้สิ่งต่างๆ ตามที่เป็นจริง ภาษาพระเขาเรียกสังขาร สังขารคือสิ่งปรุงแต่ง ถ้าอธิบายง่ายๆว่า อาหารที่โยมรับประทาน มันมาจากสิ่งปรุงแต่ง หุงกันขึ้นมา ปรุงกันขึ้นมา เป็นผัก เป็นเกลือ เป็นน้ำตาล เป็นพริก เป็นอะไรต่างๆ มาปรุงเป็นอาหาร สังขารคือลักษณะอย่างนี้ หลายๆอย่างมันมาปรุงกันขึ้นมา เรียกว่าอย่างรถคันหนึ่ง มันมีหลายส่วนประกอบกันขึ้นมา ข้างล่างก็เป็นยาง ยางรถยนต์ เป็นอะไรต่างๆ เป็นเครื่องยนต์ เป็นอะไรต่างๆ มันประกอบมาเป็นคันรถ อันนี้เขาเรียกว่าสังขาร
ฉะนั้น ชีวิตของเรานี่ประกอบกัน มาปรุงแต่งกันเป็นสังขาร ทีนี้สังขารนี่ มันต้องเป็นไปตามกฎของสังขาร คือมันเกิดขึ้น แล้วมันก็ตั้งอยู่ แล้วมันก็ดับไป เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป นี้คือสังขาร
สิ่งใดที่มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันจะว่าเป็นของเรา มันไม่ได้ ถ้าเป็นของเรา ไม่ต้องการเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่เป็น ต้องการเป็นอย่างนี้ มันก็เป็น
ทีนี้ ต้องการปรารถนาให้ได้ตามใจหวังไม่ได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า สิ่งใดที่มันไม่เที่ยง สิ่งนั้นมันเป็นทุกข์ ทุกข์นี้เขาเรียกว่าทุกขลักษณะ คือทนอยู่ไม่ได้ ก้อนหินก็มีลักษณะที่ทนอยู่ไม่ได้ อาคารสถานที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็ทนอยู่ไม่ได้ เป็นอาการของความทุกข์ แต่มันเป็นธรรมชาติ เมื่อพอเรายึดถือเอาสิ่งใดว่าเป็นของเรา ตอนนี้จะทุกข์ใจ จะทุกข์ในใจ
โยมมาพักที่นี่ โยมไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่บ้านเรา เรามาอยู่ชั่วคราว ๒-๓ วัน เดี๋ยวก็กลับไปแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า เราก็พยายามที่จะฝึก ให้รู้ว่าสิ่งต่างๆ นี่มันเป็นของสมมติกันชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น จริงๆมันเป็นของธรรมชาติ เป็นสังขาร เป็นสิ่งปรุงแต่ง ก็พยายามดู ดูไปๆ
ต่อไปจิตที่คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็รู้ว่าเป็นสิ่งปรุงแต่ง มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา อย่างกลางคืนนี้ โยมนอน นอนแผ่เมตตาไป เรียกว่านอนปฏิบัติธรรม บางทีเรานั่ง มันเมื่อย มันปวดเข่า ปวดหลัง ก็นอน ก็นอนใคร่ครวญพิจารณาธรรมะ ก็เป็นโอกาสได้ปฏิบัติธรรมในขณะที่นอน แต่ว่าพิจารณาว่าในชีวิตของเรา ถ้าจิตไม่ทำงานก็เหมือนกับซากศพ เมื่อนอนหลับแล้วก็ไม่รู้อะไร
ตอนนี้เรายังไม่ตาย จิตมันยังทำงานได้อยู่ พอมันตื่นก็รู้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่วันหนึ่งมันอยู่ไม่ได้จริงๆ เมื่อวิญญาณไม่มีแล้ว ร่างกายของเราก็เป็นท่อนไม้ท่อนฟืน เป็นคนรวยเป็นคนจนเหมือนกันหมด นั่นคือของจริง นี่คือที่พึ่งทางด้านจิตใจ ที่พึ่งอันประเสริฐ ที่ทำให้ทุกข์มันดับ
ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน นั่งดูลมหายใจ หายใจเข้าก็ตามไป ไม่ต้องบังคับ เวลาปฏิบัติจริงๆ ไม่ต้องบังคับ มันจะรู้ การที่เราบังคับ คือบังคับทีแรก เพื่อที่จะรู้ว่าลมมันยาวอย่างไร สั้นอย่างไรเท่านั้น เวลาปฏิบัติจริงๆ ขอให้มีแต่สติ มีแต่สัมปชัญญะ สัมปชัญญะแปลว่ารู้สึกตัวทั่วพร้อม อย่างที่เกาะติดกับลมไม่ได้ ก็ตามลมไป ทำความรู้สึกว่าหายใจเข้าก็ตามเข้าไป ไปจบที่ท้องหรือที่สะดือ หายใจออกก็ตั้งต้นจากสะดือมาที่ปลายจมูก คือตามไปข้างหนึ่งก็ได้สมาธินิดนึง ติดตามอย่างนี้ จิตใจของเรา ถ้ามีการขึ้นการลงอยู่ มันก็ไม่ไปไหน
ฉะนั้น ถ้าเราไม่ควบคุมมัน เป็นยักษ์ที่มันจะมากัดกินหัวใจของเรา โยมก็หายใจเข้า ปล่อยลมมา ขึ้นลงๆ ให้ติดอยู่กับลมหายใจเข้าก็ตามไป หายใจออกก็ตามมา จิตใจของเรานี่ มันต้องอยู่กับอารมณ์ของสมาธิ หายใจเข้า จิตก็ติดกับลมก็ได้สมาธินิดนิง หายใจออกก็อยู่กับลมได้สมาธินิดนึง เพิ่มมากขึ้นๆ ก็เป็นกำลัง พอมีกำลังก็ใช้สมาธิเจริญเมตตา ก็มีผลทำให้ใจมีคุณธรรมมากขึ้น แล้วโดยเฉพาะที่เจริญวิปัสสนา
คำว่าวิปัสสนา คือเห็นแก่นแท้ เห็นว่าสังขารที่ได้กล่าวไปแล้ว ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน นี่เป็นกรรม เขาเรียกกรรมที่สาม กรรมไม่ดำไม่ขาว กรรมนี้จะล้างกรรม
เพราะฉะนั้นเราทุกคนไม่มีคนไหนเลยที่ไม่เคยทำกรรมชั่วเอาไว้ จะมากจะน้อยมันต้องมี ทีนี้ก็พยายามทำกรรมดีให้เพิ่มขึ้นๆ โยมมาอยู่ที่นี่ ก็ได้ทำกรรมดี มาถือศีล มานั่งสมาธิเป็นกรรมดี
ทีนี้ ก็สมถะวิปัสสนาวิปัสสนา เขาเรียกว่าเป็นทางสายกลาง เป็นกรรมที่สาม ต่อไปกลับไปที่ทำงานที่บ้านที่เรือนฝึกสมาธิเป็นประจำ ถ้าโยมทำอย่างนี้ ชีวิตจะก้าวหน้า และต่อไปจะเป็นผู้ที่มีประโยชน์ สามารถที่จะอบรมสั่งสอนใครก็ได้ มาอยู่ที่นี่มาเรียนรู้ มาสร้างที่พึ่งให้แก่ตัวเอง ขอให้ตั้งใจทำ ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน