แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมที่มาปฏิบัติ ก็ตั้งใจปฏิบัติกันเต็มที่ หวังว่า ก็คง คงได้รับประโยชน์มากกว่าที่ไม่ได้ปฏิบัติ และแบบว่า เรารีบปรุงอาหารให้เขารับประทาน เรานั่งดู เขาจะรู้สึกอย่างไร เราก็ไม่รู้ รสอาหารจะดี จะไม่ดี จะอิ่ม จะไม่อิ่ม ผู้ที่นั่งดูก็จะไม่รู้ แต่ว่าคนที่รับประทานอาหาร เขาก็รู้ว่ารสอาหารเป็นอย่างไร
จริงๆการปฏิบัติธรรมเนี่ย อยู่ในชีวิตประจำวัน ก็ต้องเข้าใจว่า ธรรมะคือมันทุกสิ่ง ไม่มีอะไรเลยที่ไม่ใช่ธรรมะ ชีวิตของเรา โดยสรุป ก็มีร่างกาย มีจิตใจ
ร่างกายมีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ที่สวดมนต์นั่นน่ะ เป็นส่วนของร่างกาย และยังมีอื่น อีกมากมาย ที่เป็นส่วนของร่างกาย ไอ้ที่สำคัญที่สุด คือ จิตใจ ที่อาศัยอยู่ในร่างกายเนี่ย นี่คือตัวธรรมะ และยังมีอารมณ์ต่างๆ กิเลสต่างๆ นี่ก็เป็นธรรมะทั้งนั้น ฝ่ายกุศล ฝ่ายโพธิ กองมากพอๆ กัน นี่ก็ธรรมะทั้งนั้น
ทีนี้ธรรมชาติ เป็นแผ่นดินที่เราอยู่อาศัย ต้นไม้ ภูเขา ทะเล ท้องฟ้า อากาศ บุคคล สัตว์ สิ่งของ ธรรมะทั้งนั้น
แต่ว่าธรรมะจะมีกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้าน สรุปลงเพียงสองอย่าง คือ สังขตธรรม ธรรมมะก็คือสิ่ง สิ่งที่มีเหตุ มีปัจจัยปรุงแต่ง เรียกว่าสังขตธรรม แต่มันมีอยู่อีกสิ่งหนึ่ง ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีใครสร้างมันขึ้นมา มันเป็นธรรมชาติของมันอย่างนี้ เรียกว่า อสังขตธรรม ได้แก่ พระนิพพานนั่นเอง พระนิพพาน และมันอยู่ด้วยกัน ในที่ทุกหนทุกแห่ง ในชีวิตของเราก็มีสิ่งนี้อยู่ แต่ว่าทำไมคนถึงไม่พบ ทำไมคนถึงไม่เจอ ก็เพราะว่า จิตใจของเราถูกห่อหุ้มด้วยกิเลสทั้งหลาย พระนิพพานก็สัมผัสกับจิตใจของผู้นั้นไม่ได้
ชีวิตของทุกคนที่มีปัญหา เพราะกิเลสทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แล้วที่น่าสนใจที่สุด คือ จิตเดิม จิตดั้งเดิมของทุกคนเป็นจิตผ่องใส เป็นจิตประภัสสร บางเวลาคนก็รู้สึกสบายเพราะอาศัยจิตชนิดนี้ เพราะบรรดาสังขารธรรมทั้งหลาย ไม่ใช่ว่ามันจะเทียบ จะเป็นอย่างนี้อย่างเดียว มันมีการเกิด มีการดับ อย่างกิเลสที่มันเข้ามาในจิตใจของเรา ไม่ใช่มีอย่างนั้นตลอดเวลา เช่นว่า ความโกรธ ความไม่พอใจ บางเวลามันก็เกิดขึ้น แต่พอเวลาผ่านไปๆ หลายๆวัน มันก็ค่อยๆหาย ค่อยๆจางไป เรารู้อย่างนี้ ก็ต้องใช้ฝ่ายที่มาขจัดกิเลสเหล่านี้ เขาเรียกว่าฝ่ายโพธิ ซึ่งมีมากมาย
ทีนี้การปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา มันแล้วแต่วัยของคน แล้วแต่หน้าที่การงานของคน ทีนี้พุทธศาสนานี้มีความหมายกว้าง ไม่ใช่เฉพาะคน คนใดคนหนึ่ง แต่หมายถึงพุทธบริษัท ทั้งเป็นนักบวช จาก ๒ ประเภท ภิกษุ ภิกษุณี และอุบาสก อุบาสิกา ก็เป็นพุทธบริษัท ทำหน้าที่รักษาพระศาสนา
พุทธศาสนาอยู่ยั่งยืนมาก็เพราะพุทธบริษัท ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา แม้อุบาสิกาจะไม่มี แต่ประเทศไทยเรามีนักบวช คือแม่ชี และแม่ชีทั้งหลายก็สามารถรักษาพระพุทธศาสนาไว้ได้อย่างดี คนไหนมีความรู้ มีการศึกษาดี มีความตั้งใจดี มีจิตใจดี มันก็ทำก้าวหน้า เราเป็นพระ และเป็นฆราวาส ทีนี้แม้จะบวชเป็นพระแล้ว แต่มันมีข่าวไม่ดีเกิดขึ้นเรื่อยๆ วัดนั้น วัดนี้ ก็เพราะจิตใจมันไม่ดีนั่นเอง
เพราะฉะนั้น เสื้อผ้า เครื่องแต่งตัว ช่วยเหลือไม่ได้ คุ้มครองไม่ได้ ทีนี้พุทธศาสนาที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนจำนวนมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
ตอนที่พระพุทธเจ้าได้อรหันตสาวก ๖o รูป พระองค์ก็แนะนำให้สาวกของพระองค์ไปประกาศพระศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสว่า บัดนี้ พวกเธอทั้งหลายก็ดี เราก็ดี พ้นแล้วจากบ่วงทั้งหลาย ทั้งที่เป็นของทิพย์ และเป็นของมนุษย์ พวกเธอจงไปประกาศพรหมจรรย์ ให้ไพเราะในเบื้องต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด เพื่อช่วยเหลือให้คนได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข
แม้พระองค์ก็เสด็จไปรูปเดียว พระองค์เดียว พระสาวกของพระพุทธเจ้าก็แยกย้ายไปเผยแพร่พระพุทธศาสนา ชีวิตพรหมจรรย์ ทางเดียว รูปเดียว ก็ทำให้พระพุทธศาสนาขยายออกไปๆ จากพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ ก็ได้สาวก ก็ได้อุบาสก อุบาสิกา เพิ่มขึ้นๆ
ทำไมพระพุทธศาสนาขยายกระจาย ไปอินเดีย ขอม ขนาดพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว พระสาวกของพระองค์ เช่น พระมหากัสสปะ พระโมคคัลลานะ ก็พระนิพพานไปแล้ว แล้วก็มีพระสาวก ก็ช่วยกันสืบต่อๆ
เข้าใจว่าพระเจ้าอโศกมหาราช ก็เป็นฆราวาสนี่เอง แต่ก็ได้ช่วยเผยแพร่พุทธศาสนาไปกว้างไกล ฉะนั้นคำสอนของพระพุทธเจ้าเนี่ย ที่ยังมีในโลก ถือว่า นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด เป็นมรดกธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงประธานไว้ให้ เราก็มาปฏิบัติเพื่อให้ได้รับประโยชน์ ได้รับความสุข ทีนี้ประโยชน์และความสุข มันมีหลายระดับ อย่างน้อยต้อง ๒ ระดับ ระดับทั่วๆไป ก็ โลกียสุข ระดับสูง โลกุตรสุข
สำหรับฆราวาสครองเรือนก็ต้องแสวงหาทรัพย์ โภคทรัพย์ ทรัพย์สินเงินทอง เพราะว่าความสุขระดับนี้ สุขเกิดเพราะมีทรัพย์ มีทรัพย์สินเงินทอง ความสุขเกิดเพราะการจ่ายทรัพย์ที่ถูกต้อง สุขเพราะไม่เป็นหนี้ ไม่เป็นหนี้ สุขเพราะการงานไม่มีโทษ
เพราะฉะนั้นหลักธรรมะสำหรับฆราวาสปฏิบัติครองเรือนก็มีมากมาย เทียบกับการแสวงหาทรัพย์ เช่นต้องเว้นอบายมุขให้ได้ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน นี่ต้องปิดเด็ดขาด เปิดทางมาแห่งโภคทรัพย์ คือ ขยันหา ไม่เห็นแก่หนาว แก่ร้อน ได้ทรัพย์มาต้องรักษาให้ทรัพย์มันอยู่ได้ ถ้าได้ทรัพย์มาต้องรู้จักแบ่งเป็นส่วนๆ ส่วนที่หนึ่ง เอามาใช้เอง มาสงเคราะห์ใคร แม้แต่ช่วยเหลือบิดามารดา ครอบครัว ก็อยู่ในส่วนนี้ สองส่วนเอาไปลงทุน ให้เกิดกำไร ให้เกิดผลมากขึ้น อีกส่วนหนึ่ง เก็บไว้ สมมติเราได้เงินมา ๑๐๐ บาท ใช้จ่ายไป ๒๕ บาท ลงทุน ๕๐ บาท เก็บไว้ ๒๕ บาท
เนี่ยเศรษฐกิจของชาวพุทธเขาทำกันอย่างนี้ เนี่ยทำอย่างนี้ จะไม่มีทางที่จะเป็นหนี้สิน ถ้าใครปฏิบัติอย่างนี้ ๑๐ ปี ก็ตั้งตัวแล้ว แต่ต้องทำเมื่อแต่วัยหนุ่ม ถ้าแก่แล้วทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าก็สอน ในชีวิตของคนเรามันผ่านวัย วัยเด็ก ก็อยู่ในความดูแลของบิดามารดา เชื่อฟังบิดามารดา เคารพครูบาอาจารย์ เด็กคนใดไม่เชื่อฟังบิดามารดา ครูบาอาจารย์ มันก็ยากที่จะไปรอด ยากที่จะก้าวหน้า ฉะนั้นการเชื่อฟังเนี่ย มันจะเป็นทางแห่งความสำเร็จ ก็หัดเชื่อฟัง การที่เราจะเชื่อฟัง เราก็ต้องมีเหตุผล ที่เขาพูด เอามาใคร่ครวญพิจารณา ไม่ใช่ไม่ฟัง ถ้าไม่ฟังก็ก้าวหน้าไม่ได้
ในธรรมชาติที่ศีรษะของเรามีหูถึงสองข้าง มันจะฟังอย่างเดียวและเชื่อ มันไม่ได้ ฟังหูไว้หู เดี๋ยวนี้คนถูกหลอกถูกลวงเยอะมาก โดยเฉพาะวัยรุ่นติดต่อกันทางโทรศัพท์มือถือ ทางอะไรก็ตาม ถูกหลอก ถูกลวง ถูกต้ม ไม่มีอะไรเหลือ เพราะว่าไปฟังคำพูดที่เขาต้องการจะเอาประโยชน์ คำพูดหวานๆ เนี่ยต้องระวังให้มาก คำเตือนเนี่ย มันดูเหมือนจะเจ็บปวด แต่มันมีประโยชน์ ถ้าคนเตือน เตือนด้วยความหวังดี ถ้าเราไม่เชื่อฟังคำตักเตือน หรือไปเชื่อคำหวานๆ อันเนี้ยต้องระวัง เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ในวัยต้น ก็ต้องอยู่ในความดูแลของบิดา มารดา พอโตเป็นหนุ่มเป็นสาว ที่ยิ่งต้องบังคับใจโดยธรรมชาติ วัยนี้เป็นวัยที่ต้องบังคับจิตใจมาก
งั้นธรรมะของพระพุทธเจ้า จึงสอนธรรมะสำหรับฆราวาส สัจจะ ธรรมะ ขันติ จาคะ
สัจจะ ต้องมีความจริงใจ ตั้งใจ ให้ชีวิตของเราจะไปทางไหน จะไปทางต่ำหรือไปทางสูง ถ้าไปทางต่ำมันก็ปล่อยไปตามอารมณ์ มันก็ต่ำจริงๆ ให้ประกอบ ให้เดือดร้อน???16.00 จะเป็นทุกข์ เกิดมาทั้งที ตัวเองก็ไม่ได้รับประโยชน์ ผู้อื่นก็ไม่ได้รับประโยชน์ แต่ถ้าเราตั้งใจที่จะไปทางสูง เพื่อเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น ก็ต้องมีสัจจะ ธรรมะบังคับใจให้ได้ อารมณ์ กิเลสต่างๆ เกิด รู้จักแก้ไข เพราะกิเลสเหล่านี้ มันไม่ใช่ของถาวร
ฉะนั้นคนที่ผ่านชีวิตมาสำเร็จ เขามีอะไรหลายๆอย่าง ที่เอาชนะอารมณ์เหล่านี้ เช่น เพลิดเพลินกับการศึกษา หาความรู้ เพราะความรู้มันมีเยอะมาก สนใจที่จะศึกษา สนใจที่จะเรียนรู้ อย่างนักบวช เป็นพระหนุ่มๆ เป็นเณรหนุ่มๆ ที่มาบวชเนี่ย ก็เรียนบาลี เรียนพระไตรปิฎก จึงกล่าวว่าพระไตรปิฎกเป็นวารี เป็นนางฟ้าก็ได้ เพลินอยู่กับศึกษา อยู่ไปๆ จนวัยมันผ่าน ปัญหาที่รบกวนจิตใจ มันก็เบาลงๆ แม้แต่ทำงานช่วยเหลือผู้อื่น ด้วยจิตอาสา เสียสละทำอย่างนั้น อย่างนี้ มันก็ทำให้เพลิดเพลิน ทำให้ลดอารมณ์ร้อน อารมณ์ได้
และสำคัญที่สุด ต้องรู้จักคบคน ถ้าคบกับคนที่ไม่บังคับจิตใจ มันก็ไป ชวนกันไป สัจจะธรรมะบังคับตัวเอง แล้วก็ต้องขันติ อดทน หัดปล่อยอารมณ์ร้อน อารมณ์ได้ในจิตใจ และชีวิตก็ผ่านไปๆ
เรื่องการหาทรัพย์ ก็ต้องเว้นอบายมุขเหล่านี้ ดื่มน้ำเมา เที่ยวกลางคืน ดูการละเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่วเป็นมิตร เกียจคร้านทำการงาน ได้ทรัพย์มารู้จักแบ่งเป็นส่วนๆ ชีวิตก็ผ่านไป
ในชีวิตฆราวาส เป็นชาวพุทธมันก็น้อยคนที่จะไม่ผ่านชีวิตครอบครัว มีครอบครัว พระพุทธเจ้าก็ยังสอนในการเลือกบุคคล ไม่ใช่ว่าทุกคนจะดีหมด พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า บุคคลแต่ละคนเป็นกำลังสามอย่าง กำลังรูป กำลังทรัพย์ กำลังศีล ถ้าใครรูปสวยรวยทรัพย์ มีศีล คนนั้นก็ดี มาอยู่กับเราก็ก้าวหน้า ถึงรูปสวย รวยทรัพย์ แต่ไม่มีศีล ใช้ไม่ได้ รูปไม่สวย ทรัพย์ไม่รวย แต่มีศีล มีคุณธรรม ก็ใช้ได้ แล้วทรัพย์สินเงินทองเนี่ย ไม่ใช่ใครเอามาตั้งแต่เกิด มาแสวงหากันทั้งนั้น ถ้ามีคุณธรรมมันก็ตั้งตัวได้ ฉะนั้นคุณธรรมจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ปัจจุบันนี้ ชีวิตของฆราวาสที่มีครอบครัวแตกแยก หย่าร้างเยอะมาก เพราะมันขาด ขาดส่วนนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ใดต้องการจะมีชีวิตอย่างครอบครัว ก็ต้องเลือก ทีนี้พอมีครอบครัว มันก็มีภาระตามมา มีลูก มีเต้า มีอะไรต่างๆ ก็ต้องเลี้ยงดู เหมือนอย่างพ่อแม่ของเรา มันก็เหนื่อย มันก็หนัก
แต่ว่าถ้ามีธรรมะ มาคอยช่วย ให้ไม่มีปัญหา จริงๆ ฆราวาสครองเรือนต้องมีธรรมะมาก ต้องมีความอดทนมาก อาชีพทุกชนิดที่ไม่เหนื่อย ไม่หนักเนี่ย มันไม่มี ไม่ว่าอาชีพชนิดไหน แม้แต่อยู่ในห้องแอร์ อยู่กับคอมพิวเตอร์ มันก็หนักทั้งนั้น
ถ้าเรารู้จักจัดสรรชีวิต เวลาไหนควรจะทำอะไร ให้มันไปพร้อมๆกัน โดยเฉพาะการเจริญสมาธิภาวนาเนี่ย มันจะมีประโยชน์มาก มันเป็นการพักผ่อน ทำให้จิตใจมันสงบ ถ้าจิตใจมีสมาธิแน่วมั่น มีกำลัง ถ้าไม่มีสมาธิ กำลังมันไม่มี มีแต่ความฟุ้งซ่าน มีแต่ความวุ่นวาย จะเรียน จะศึกษา มันก็ก้าวหน้ายาก
อาตมาก็พยายามที่จะใช้สมาธิ เปลี่ยนจิตใจของเยาวชน เด็กนักเรียนที่มาอบรม ให้เขาเป็นคนดี ๕ ขั้น เป็นบุตรที่ดี เป็นศิษย์ที่ดี เป็นเพื่อนที่ดี เป็นพลเรือนที่ดี เป็นสาวกที่ดี ก็ได้ผล ที่ได้อบรมนักเรียนไปแล้วหลายๆ ปี
ในการปฏิบัติธรรมจริงๆ เนี่ย ต้องทำในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ การที่นอนหลับก็ทำอะไรไม่ได้ แต่เราตื่นขึ้นมา ทำประโยชน์ตัวเอง ทำประโยชน์ผู้อื่น ทำประโยชน์ส่วนรวม นักเรียนก็ต้องพัฒนาการศึกษาเล่าเรียน การอบรมจิตใจให้สงบ ทำทุกวัน เพื่อได้มีโอกาสช่วยเหลือผู้อื่นได้ เสียสละช่วย การที่ไม่คิดช่วยเหลือใครเนี่ย ต่อไปจะไม่มีใครช่วยเหลือเรา ถ้าเราคิดจะช่วยเหลือผู้อื่น ผู้อื่นก็จะช่วยเหลือเรา เช่นเดียวกัน การที่เราจะต้องทำให้ชีวิตมีอายุยืน ต้องให้ชีวิตแก่ผู้อื่น สัตว์อื่น เป็นนก เป็นสัตว์ เป็นอะไร เรียกว่า มีเมตตา แล้วชีวิตก็จะยืน การจะได้ชีวิต ทำให้ชีวิต เราไม่คิดให้ชีวิต ให้เขาอยู่รอด ตัวเองก็ยากเหมือนกัน ที่จะได้ชีวิต อายุยืน เนี่ยเป็นคุณธรรมทั้งนั้น
ทีนี้การศึกษา การเรียนรู้ เรื่องเรียนจากตำรา หนังสือ มันเยอะมาก อ่านกันไม่หมด ตลอดชีวิตก็อ่านกันไม่หมด แต่ว่าเอาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ เรียนรู้จากคนอื่น พฤติกรรมของคนแต่ละคน มันสอนให้เรารู้ เขาเดือดร้อน เขามีปัญหา ว่าเขาขาดอะไร แล้วมาปรับปรุงตัวเองว่าเขาขาดอะไร จึงเกิดปัญหาอย่างนี้
คนที่เขาประสบความสำเร็จ เขามีอะไร ก็ศึกษาเรียนรู้ เนี่ยสำหรับฆราวาสทั่วๆ ไป
ทีนี้สำหรับผู้ที่ต้องการก้าวหน้าทางโลกุตรสุข มันอีกระดับหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่เรื่องเกียรติยศชื่อเสียง แต่เป็นเรื่องความหลุดพ้นทางจิตใจ ไม่ว่าเราจะไปเห็นที่ไหน ไปเห็นใครทำอะไร มันก็อยู่ที่เรานี่เอง
ทีนี้มนุษย์เราเนี่ย มีอุปนิสัยต่างๆ ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์หนึ่ง ชอบคนที่เขาทำอะไรสวยๆ งามๆ “รูปัปปมาณิกา” มันก็มีอีกประเภทหนึ่ง ชอบประเภทนี้ สอง “โฆสัปปมาณิกา” ชอบคนที่พูดเสียงเพราะๆ พูดหวานๆ ก็จูงคนไปได้เยอะเหมือนกัน คนที่พูดเก่งๆ พูดหวานๆ คนก็ชอบ แต่บางคนไม่ชอบแบบนี้ เขา ชอบ “ลูขัปปมาณิกา” ชอบอยู่ปอนๆ เคร่งๆ และก็มีอีกพวกหนึ่งเหมือนกัน แต่สำคัญที่สุดต้องธรรมะ “ธัมมัปปมาณิกา” ต้องถูกต้องเป็นธรรม การอยู่เคร่งๆ ปฏิบัติเคร่งๆ เนี่ย ก็ทำได้ชั่วคราวเท่านั้น ไม่มีใครทำได้ตลอดชีวิต อาจจะปฏิบัติระยะหนึ่ง สามเดือน สี่เดือน หรือหลายๆ ปี ท่านที่ว่าปฏิบัติเคร่งๆ เนี่ย เราเคยเห็นบ้างครั้งบางคราวเท่านั้น อาตมาก็ได้สัมผัสประเภทแบบนี้มาเยอะมาก อยู่ถ้ำ อย่างท่านกวง ๑๙ ปี ไม่มีใครทำได้ ไม่ไปไหนเลย อยู่ถ้ำเขาพลู ในที่สุดก็ต้องออกมา พาออกมาอยู่ที่สวนโมกข์ ๑๙ ปี ฟังเทปท่านอาจารย์พุทธทาสไม่ได้ ไม่ชอบ เพราะคิดว่าท่านอาจารย์พุทธทาสมีแต่สอน แต่ไม่ปฏิบัติ ตอนหลังป่วยพามาโรงพยาบาล จะไม่ยอมกลับ จะสึก บอกว่าถ้ากลับ จะสึก อาตมาก็วางแผนกับท่านทรวย?? 27.25 ไปบอกหมอ หมอบอกว่าโรคตาย หายแล้ว ยังเหลือแต่โรคจิต ต้องส่งโรงพยาบาลโรคจิต อาตมาก็บอกว่าจิตใจเป็นของท่าน ร่างกายเป็นป่วย??? 27.50 อาตมาก็พามาอยู่ที่สวนโมกข์
จนกระทั่งท่านอาจารย์พุทธทาสมรณภาพ ทีนี้พอท่านอาจารย์มรณภาพไปแล้ว คนก็มากันเยอะ พวกคนที่เข้าใจธรรมะ ท่านก็เริ่มเข้าใจ แล้วก็มาสารภาพกับอาตมาว่า “เสียดาย ต้องขออภัยที่เข้าใจผิด ว่าท่านอาจารย์พุทธทาสไม่มีการปฏิบัติธรรม มีแต่สอนอย่างเดียว” ตอนหลังก็ใจสงบ อยู่ประมาณปีหนึ่ง ก็มรณภาพ ก็จัดการเผาศพ เนี่ยปฏิบัติเคร่งมาก ก็มีหลายๆคน ที่เคร่งๆเนี่ย มันชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น อาตมาก็เคยปฏิบัติมาแล้วเหมือนกัน ที่เคร่งๆแบบนี้ มันก็มีประโยชน์ มันทำให้มีกำลังใจ อยู่ถ้ำคนเดียว ฉันอาหารมื้อเดียว ร่างกายผอม มันก็ทำได้ระยะหนึ่ง แต่พออายุมากจะทำอย่างนั้นมันไม่ได้ ถ้าขืนทำอย่างนั้นก็ตายเร็ว แต่ที่สำคัญที่สุด จะต้องเป็นธัมมัปปมาณิกา เพราะธรรมมะเป็นประมาณ
การบรรลุธรรม เข้าใจธรรมะนี่มันไม่แน่ อย่างพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์ ก็อยู่บนเตียงนอนนี่เอง พระพุทธเจ้าก็ได้ไปสอน ไปแสดงธรรม ตอนที่พระองค์ทรงพระปชวร ก็ได้บรรลุธรรม
มีการกล่าวไว้ในคัมภีร์เยอะมาก เช่น ภิกษุณีนางหนึ่งปฏิบัติตลอดเวลาเป็นปีๆ ไม่บรรลุ แต่วันหนึ่งตอนที่จะเข้านอนเอาน้ำมาล้างเท้า พอล้างแล้วน้ำก็หายไป ล้างหายไป ก็พิจารณาก็ได้บรรลุพระอรหันต์ เพราะจิตมันเหมาะสม มันพอดี จิตก็หลุดพ้นจากกิเลสได้ แล้วก็มีพระอรหันต์รูปหนึ่ง เรียนกรรมฐานจากพระพุทธเจ้า ไปปฏิบัติเต็มที่เลย แต่ไม่บรรลุ ก่อนจะเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ขณะเดินทางมาผ่านแดดร้อน เห็นพยับแดดระยิบระยับ เพราะอากาศมันร้อน มาริมฝั่งแม่น้ำคงคา ก็มาอาบน้ำ ก็มานั่งพัก เห็นดอกน้ำเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับ พิจารณาก็ได้บรรลุพระอรหันต์กันตรงนั้น
เพราะฉะนั้นมันไม่แน่ ว่าจิตจะเข้าใจธรรมะได้เมื่อไหร่ เพราะฉะนั้นทุกอย่างมันเป็นธรรมะ ธรรมะอยู่ในคน ธรรมะอยู่ในสัตว์ ธรรมะอยู่ในสถานที่ แต่ธรรมะอยู่ในเรา แต่ว่าในจิตใจของเราเนี่ย ตัวปัญหาจริงๆ เนี่ย ตัวอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ยังมีความ ยังมีความรู้สึกว่าเรา ของเราเนี่ย เขาเรียกว่า มันยังไม่สำเร็จ สูงสุด สังโยชน์นั้นเป็นเครื่องวัด
สักกายทิฐิ เห็นว่าร่างกายไม่เป็นของตน วิจิกิจฉา ลังเลสงสัย สีลัพพตปรามาส เชื่องมงาย พระโสดาบัน ละอันนี้ได้ อันนี้พวกโมหะทั้งนั้น ความเห็นว่ากายนี้เป็นของตน ลังเล สงสัย เชื่องมงายเนี่ย เป็นพวกโมหะ พระโสดาบันละได้ ฆราวาสครองเรือนทุกบ้านๆ ก็บรรลุกันเยอะ
สกิทาคามี ละได้มากกว่าโสดาบัน ทำลายราคะ โทสะ โมหะ มากกว่าโสดาบัน แต่ว่ากิเลสที่จะนำไปสู่นรก พวกอบายภูมิ มันไม่มีแล้ว แต่มันยังละไม่หมด ขึ้นมาถึงพระอนาคามี ละรูปราคะ ละกามราคะ ละปฏิฆะ ความกำหนัดในกาม กามราคะ ปฏิฆะ ความหงุดหงิดในใจ ต้องถึงขั้นอนาคามี อย่างกามราคะ มันเกี่ยวกับสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่จะละมันง่ายๆ ปฏิฆะ หงุดหงิด
ไม่พอใจเนี่ย
เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังไม่ก้าวหน้า มันรู้สึกรำคาญเรื่องนั้น รำคาญเรื่องนี้ หงุดหงิดในใจ ให้รู้ว่านั่นเป็นกิเลสประเภทปฏิฆะ พวกโทสะ กามราคะนี่เป็นราคะ กิเลสแม่ คือ ราคะ โทสะ โมหะ
ก็พยายามที่จะปฏิบัติ ไปลดตัวตนนี่เอง ต้องลดตัวตน จริงๆ กิเลสเหล่านี้ก็เป็นสังขารธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัว ไม่มีตน พอมันเกิดแล้ว ก็มีสติสัมปชัญญะไปจัดการกับมัน อย่าคิดว่ากิเลสเหล่านี้ เป็นเรา เป็นของเรา มันเป็นธรรมชาติที่เกิดขึ้นในจิตใจ ถ้าเราสติสัมปชัญญะมันยังไม่พอ ในขณะที่ตั้งใจปฏิบัติ เราก็มีสติสัมปชัญญะอยู่ ยืน เดิน นั่ง นอน แต่พอไปทำงานธรรมดา มันขาด ขาดสติสัมปชัญญะ
ทีนี้ฆราวาสครองเรือนมันต้องทำงาน บางทีทำงานอย่างเร็วๆ ทำงานอย่างรีบๆ เช่น ขับรถอย่างนี้ มันจะไปทำเล่นๆ ช้าๆ มันไม่ได้ เดี๋ยวก็อุบัติเหตุมันเกิด ขับรถบนถนน ขับรถช้าก็ไม่ได้ เพื่อนจะชนท้ายเอา ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะ มันมากขึ้น เร็วขึ้น การปฏิบัติธรรมจึงต้องใช้ ทุกแห่ง ทุกกรณี มันต้องมีสติสัมปชัญญะเร็วขึ้น
ทีนี้เมื่อ มาอยู่ในท่ามกลางอารมณ์อย่างนี้ จิตใจมันเป็นอย่างไร ก็เป็นเครื่องวัดดู ถ้ามันเบื่อ มันเซ็ง มันฟุ้ง แสดงว่ายังไม่ก้าวหน้า ยังยึดถือตัวตนอยู่ลึกๆ ท่านพระอรหันต์จึงละได้หมด สังโยชน์ชั้นบน รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ อวิชชา ละกามราคะได้ เป็นราคะ ในรูป ก็มาติดอยู่ในความสุขระดับรูปฌาน มาติดอยู่ในความสุขระดับอรูปฌาน มันเป็นความสุขพิเศษ เป็นความสุขกว่าคนธรรมดาสามัญจะรู้ได้ แต่ที่ไหน มันยังก็ไม่ มันดับทุกข์สิ้นเชิงไม่ได้ แล้วก็มานะ เอาไปเปรียบเทียบ เราดีกว่าเขา เราเสมอเขา เราดีกว่าเขา มันมีตัวตนเปรียบเทียบ อันนี้ละยาก
สังเกตดูว่าเอาตัวเข้าไปเปรียบเทียบกับคนอื่นหรือเปล่า ยังเห็นว่าเป็นเรา เป็นเขาอยู่ กิเลสที่มันละเอียด กิเลสโมหะ อุทธัจจะ ถ้ายังไปทึ้ง ไปสนใจ แล้วก็มีของแปลก พระอรหันต์ท่านไม่มี ไม่รู้สึกว่าอะไรมาก สนใจเป็นแปลกพิเศษไม่มี ท่านมองเห็นว่าสักว่าธาตุเท่านั้น สักว่าสังขาร แต่เกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้ ก็เกี่ยวข้องตามหน้าที่ ใครจะแต่งตัวสวยๆ งามๆ เป็นนางฟ้ามาจากไหน ท่านไม่สนใจ จะเกิดอะไรมหัศจรรย์แปลก ก็ไม่สนใจ เพราะมันเป็นสังขารทั้งนั้น เป็นอวิชชา เมื่อชาติเกิด ไม่รู้ เรื่องทุกข์เกิด ความดับทุกข์ ทางถึงทางดับทุกข์ เขาเรียกอวิชชา ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้ ไม่เข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตามปฏิจจสมุปบาท อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันอยู่กับเรา แต่ไม่เข้าใจ ไม่เห็น ไม่แจ่มแจ้ง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจริงๆ อยู่ที่จิตใจนี้เอง ส่วนสถานที่ พิธีปฏิบัติมันก็หลากหลาย แล้วแต่ใครจะชอบ ให้เอาธรรมะเป็นประมาณ อย่าเอารูป อย่าเอาเสียง อย่าเอาวิธีปฏิบัติที่เคร่งๆ มาเป็นประมาณ ธรรมะของพระพุทธเจ้า มันเป็นประโยชน์แก่ทุกคน ทุกวัย วัยเด็ก วัยหนุ่ม วัยสาว พ่อบ้าน แม่เรือน แก่เฒ่าชรา เป็นพระ เป็นฆราวาส ปฏิบัติได้ทั้งนั้น อยู่ที่ใจนั่นเอง ก็หัดเดินทางกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าประกอบด้วยปัญญาธิคุณ บริสุทธิคุณ เมตตาธิคุณ อบรมให้เกิดปัญญา อย่างเมตตาก็พยายามอบรมให้มันมีมากขึ้นๆ จะไม่เบื่อ จะไม่เครียด
ที่สมพงษ์เวฬุวัน ???39.21อยู่ใกล้สนามบิน เครื่องบินขึ้นลงๆ ตลอดเวลา มันหนวกหู เราก็แนะนำญาติโยม ถ้าโยมคอยเครียดอยู่ จะอยู่ได้ไง เพราะบ้านอยู่ที่นี่ ก็ต้องหัดอบรมจิตใจ เครื่องบินขึ้น ลงๆ ก็คือพาคนมา พาคนไป ก็หัดแผ่เมตตาไป เมตตาพอมันมี ก็สบายใจ เมตตาคือความสุขนั่นเอง อบรมเมตตา มันตื่นขึ้นมาแล้ว ก็หัดแผ่เมตตา
อาตมาก็พยายามแนะนำเด็กๆ ให้มาฝึกลมหายใจเข้า หายใจออกก่อน พอจิตสงบก็แผ่เมตตาออกไป ใจจะได้สบาย ถ้ามีเมตตาคนก็จะเชื่อฟัง ถ้าเมตตาต่อพ่อ ต่อแม่ ต่อครู ต่ออาจารย์ ต่อเพื่อน เราก็จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตัว ก็จะเป็นคนเชื่อฟัง ถ้าเราไม่มีเมตตาในจิตเนี่ย จะเป็นคนกระด้าง เป็นคนหัวดื้อ เพราะจิตไม่มีเมตตา ไม่มีกรุณา ไม่มีมุทิตา
เพราะฉะนั้น หัดอยู่กับพรหมวิหาร ที่พระพุทธเจ้าสอนสำหรับฆราวาสทั่วไป เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บางเวลาก็ต้องวางเฉย เมื่อเราแก้ไขเขาไม่ได้ ก็วางเฉย อย่าไปเดือดเนื้อร้อนใจ อย่าไปเสียใจ เช่นว่า สัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกรรมของตัว ตัวทำกรรมใดไว้ ก็ได้รับผลอย่างนั้น อาจจะทำไป ปีก่อน เดือนก่อน ชาติก่อนก็ได้ แต่ก็ทำให้เกิดปัญหา สรุปแล้วอยู่อย่าง อย่างไม่ประมาท พระพุทธเจ้าสอนปัจฉิมโอวาท อย่าประมาท “ปมาโท มจฺจุโน ปทํ” ความประมาทเป็นทางแห่งความตาย “อปฺปมาโท อมตํ ปทํ” ความไม่ประมาทเป็นทางแห่งความไม่ตาย” ผู้ใดประมาท เมื่อนั้นคุณตายแล้ว
ผู้ใดไม่ประมาท ผู้นั้นชื่อว่าไม่ตาย
ฉะนั้นอย่าประมาท พัฒนาทุกวันๆ ให้วัยมันผ่าน ทีนี้ถ้ามันเกิดไปพลาดไปอย่างใดอย่างหนึ่งเนี่ย มันก็กู้ขึ้นมายาก ฉะนั้นเดินอย่างไม่ประมาท พัฒนาชีวิตให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเอง ให้เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น และก็ต้องขวนขวาย แสวงหาความรู้เพิ่มเติมๆ ทำได้ทุกวัน อาตมาเนี่ย มาเรียนทุกวัน เพิ่มเติมความรู้ หาเรียนภาษาต่างประเทศ ทบทวน อ่านตำรา อ่านพระไตรปิฎก อ่านธรรมชาติ ศึกษาธรรมชาติ แต่ให้พอใจ อารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็พยายามที่จะแก้ไข สลัดมันออกไป ก็ทำอย่างเนี้ย มันก็ดีเอง
โดยเฉพาะกัลยาณมิตร เพื่อนฝูงเนี่ยสำคัญมาก ถ้าไม่มีคนช่วยเหลือ เราก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างมาสร้างทีปภาวันก็ดี ก็อาศัยเพื่อน อาศัยกัลยาณมิตร ก็พยายามที่มันมีเมตตาจิต มีน้ำใจกับคนทุกคน ได้มีโอกาสๆ ช่วยๆทันทีเลย ไม่รอโอกาส เราก็ใช้ชีวิตให้มันเป็นประโยชน์ เพราะอาตมานี่ก็อายุมันมากแล้ว ก็ทำได้แค่นี้ ฉะนั้นสำหรับเรา พวกเราที่ยังอายุไม่แก่มากเกิน ก็ให้พัฒนา พัฒนาชีวิต ถ้าเป็นฆราวาสต้องมีสัจจะ ต้องมีธรรมะ ต้องมีขันติ ต้องมีจาคะ อารมณ์ต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เมตตารักผู้อื่น กรุณาสงสารผู้อื่น มุทิตายินดีเมื่อผู้อื่นได้ดี อย่าไปอิจฉาเขา คนอิจฉาเขาเนี่ย มันเผาตัวเอง ก้าวหน้าไม่ได้
คนที่อิจฉาคนอื่นก็ไม่เข้าใจ ที่ว่าเขาสวย เขารวย มันของสมมติ ไม่ใช่ของจริง คนรวย ไม่ใช่กินมากกว่าเรา ไม่ใช่นอนมากกว่าเรา เวลาเขาตายไป เอาอะไรไปไม่ได้ มันสมมติทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าเขาไม่กลัวเหนื่อย ไม่กลัวหนัก ก็ทำกันไป บริษัทต่างๆ ที่เขาทำ บริหารต่างๆ มันเหนื่อย แล้วคนจะได้รับประโยชน์ คนอื่นได้รับประโยชน์ ก็ต้องจัดการต้องดูแล และคนทั่วไปที่จะขอบใจเจ้าของบริษัท น้อย ส่วนใหญ่เขาคิดว่าเขาได้กำไร เป็นเงินเป็นทอง เป็นของสมมติ ไม่ใช่ของจริงอะไร ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราไม่อิจฉาใคร สบายใจ ฝึกจิตใจทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องอื่น ฉะนั้นต่อไปนี้ก็นั่งสมาธิกันนิดหน่อย