แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เรื่องวัดคุณาราม ซึ่งเป็นแหล่งที่ฝรั่งมาดูกันมาก คือมาดูศพของอาจารย์ใหญ่ที่เก็บไว้ตั้งหลายปีแล้ว เป็นศพที่ไม่เน่า อาจารย์แดงรูปนี้ ที่อาตมาเคยไปอยู่กับท่าน ไปฝึกกรรมฐาน เมื่อพรรษาที่ ๒ ท่านอยู่บนภูเขา เรียกว่าภูเขาคลองเรียง ตรงข้ามกับหมู่บ้านเฉวง อาตมาเคยไปอยู่กับท่านประมาณ ๑ ปี
วัดของท่านเรียกว่าวัดบุณฑริการาม อยู่ใกล้กับสนามบิน ต่อมาท่านก็ย้ายมาอยู่ที่วัดคุณาราม แล้วก็มรณภาพที่นั่น เขาก็เก็บศพเอาไว้ ปีหนึ่งๆ มีรายได้เข้าวัดได้ยินว่า ๗ - ๘ ล้านบาท เพราะคนมาดูศพของท่านนั้นเอง อย่างนี้ก็เป็นเรื่องที่น่าคิด
พ่อหลวงแดงท่านมีครอบครัวแล้ว มีลูกไม่แน่ว่า ๔ - ๕ คน บ้านของท่านอยู่ติดกับบ้านของโยมพ่อโยมแม่อาตมานี่เอง ท่านเป็นคนขยันมาก ในการทำมาหากิน สร้างสวน ลงทะเล ลงทะเลจะไปจับปูจับปลานั้นเอง แต่ว่าไม่ได้เอามาขาย ไม่ใช่เป็นอาชีพ ทางการประมง แต่ท่านก็ไปหาปูหาปลาเอามาเลี้ยงครอบครัว พออายุเข้าใจว่าอาจจะ ๕๐ หรือว่า ๖๐ ท่านก็บวช บวชแล้วตั้งใจปฏิบัติ สุดท้ายก็ไปอยู่ที่เฉวง บ้านของท่านอยู่ที่หาดละไม
ท่านเคยอยู่ถ้ำ ตอนที่บวชใหม่ๆ เข้าไปอยู่ในถ้ำที่ละไม เขาเรียกถ้ำยาย ถ้ำยายนี้เป็นถ้ำที่ไม่มีอากาศถ่ายเท ท่านเข้าไปอยู่ ปรากฎว่าท่านเครียด เครียดมากถึงกับว่าคนทั่วไปเขาหาว่าวิปริต เพี้ยนเลย ท่านก็ออกมา แล้วก็มาอยู่กับอาจารย์แดง ปิยะสีโล อาจารย์แดง ปิยะสีโล นี้เป็นญาติของอาตมา ท่านอยู่ที่แหลมสอ ก็มาอยู่ความไม่ปกติในจิตใจก็ค่อยๆหาย
ต่อมาท่านมาอยู่ที่วัดชิ้นงูตรงนี้ ตรงข้ามกับที่ปากอ่าว ท่านเป็นพระที่อยู่นิ่งไม่ได้ ต้องปรับปรุงพัฒนา อาตมาก็เคยมาหาท่าน ตอนนั้นอาตมายังเป็นเด็กๆ ไม่เด็กมากน่ะ เป็นหนุ่มแล้ว ต่อมาท่านก็มีคนให้ที่ดินที่เฉวง หมู่บ้าน
เฉวงสมัยนั้นไม่มีคน เดี๋ยวนี้หมู่บ้านเฉวง อ่าวเฉวง เต็มไปด้วยโรงแรม สถานที่ทำมาค้าขาย ไม่มีทางลงทะเล อ่างเฉวงกว้างหลายกิโลเมตร เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยผู้คน เต็มไปด้วยฝรั่ง ที่ดินราคาแพงมาก แถวๆ อ่าวเฉวง คำว่าอ่าวๆ นี้ คือทะเลมันเว้าเข้ามาเป็นชายหาด ก็มีคนถวายที่ดินแก่ท่านที่นั้น ท่านก็ไปอยู่
ตอนที่อาตมาอายุเกือบ ๒๐ ปีนั้น เขาคัดเลือกทหาร อาตมาก็ไปหาพ่อหลวงแดงนี้ว่า ให้ช่วยทำอย่างไรไม่ต้องติดทหาร ท่านก็เสกหมากให้กิน อาตมาเรื่องกินหมากนี้ไม่เคยกิน หมากนี้มีใบพลู มีหมาก มีปูน เรื่องกินหมากเคี้ยวหมาก อาตมาไม่เคย แต่ก็รับมา และวันที่เขาคัดเลือกทหารก็เคี้ยวหมากพวกนี้ ฝืนๆที่จะกลืน แล้วก็คัดเลือกทหาร อาตมานี้ก็ตัวสูง ตัวใหญ่ แต่ก่อนก็ติดน่ะ เข้าเกณฑ์ที่ต้องไปติดทหาร แล้วก็จับฉลาก ก็ไม่ติด แล้วก็โชคดีไม่ต้องเป็นทหาร
ต่อมา พออาตมามาบวชแล้ว อยู่ที่วัดละไม เป็นหมู่บ้านละไม แถวบ้านญาติโยมของอาตมา ในคราวนั้น พรรษาที่บวชได้ช่วยสร้างกุฏิ ชวนเพื่อนพระหลายรูป ขึ้นไปเลื่อยไม้บนภูเขา ต้นไม้ขนาดใหญ่ได้โค่นลงขนาด ๓ - ๔ คนโอบ เอาไปเลื่อยไม้มาสร้างกุฏิในวัดละไมนั้นเอง อาตมามีย่าเป็นแม่ชี ชื่อแม่ชีมี บวชจนกระทั่งเสียชีวิตเป็นแม่ชี มีหลายคนผู้หญิงคนไทย พอสามีเสียแล้วก็บวชชี ญาติสนิทของอาตมาก็ทำนองเดียวกัน พอคุณปู่เสียชีวิตแล้วก็บวชชี ก็อยู่ที่วัดละไม ย่าของอาตมานี้เป็นคนใจดีมาก มีคนมานอนกันในวัด อาตมาก็ไปนอนกับย่า ตอนที่เป็นเด็กๆ โยมแม่ให้เอาของไปให้ย่า เป็นอาหารข้าวสุก ข้าวสาร ผลไม้ อาตมาได้อะไรๆ จากธรรมะ จากย่ามากที่สุด โยมแม่ของอาตมาไม่ค่อยมีความรู้ทางธรรมะ ก็กวดขันมาก ลูกทุกคนจะเกเรไม่ได้ เรื่องคำสอนอาตมาจำไม่ได้ว่า โยมแม่ของอาตมาเคยสอนเรื่องอะไร
โยมแม่อาตมามีลูกตั้ง ๙ คน อาตมานี้เป็นคนหัวปลี และก็มีน้องๆ ติดๆ กันเป็นผู้ชาย ๓ คน แล้วก็เป็นผู้หญิง แม้อาตมาบวชแล้ว โยมแม่ก็ยังมีลูกอีก ๒ คน ผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง น้องชายคนนี้เขาเพิ่งเกษียณปีนี้ เป็นข้าราชการทำงานกระทรวงกรมทรัพยากร น้องสาวก็ยังเป็นครูอยู่ ส่วนคนอื่นๆ ไม่ได้เรียน
อาตมาตอนที่เด็กๆ ย่าเล่านิทานหลายๆ เรื่อง เรื่องดีๆทั้งนั้น เช่น เรื่องสามเณรสุบิน เรื่องพระมหาชนกที่ว่ายทะเล เรื่องสุบินก็น่าสนใจมาก เป็นหนังสือที่เขียนขึ้น ปักษใต้นี้เอง ใจความว่า ครอบครัวหนึ่ง พ่อเป็นนายพราน แม่ก็เป็นแม่บ้าน และก็มีลูกเล็กๆ คนหนึ่งชื่อสุบิน พระเจ้าแผ่นดินก็โปรดปรานคนนี้มากเพราะมีความชำนาญ ในการล่าเนื้อล่าสัตว์ เอาเนื้อมาถวายพระเจ้าแผ่นดิน จนกระทั่งได้รับการแต่งตั้งเป็นท่านขุน ชื่อว่าขุนเนสาท
ต่อมา พอขุนเนสาทตาย ครอบครัวนี้ก็ยากจน คนที่เคยเคารพนับถือก็ห่างหายกันไป ยากจนมาก ยังเหลือแต่ภรรยาชื่อนางสุภาคี ก็มีลูกคนหนึ่งชื่อสุบิน บ้านอยู่ไม่ไกลกับวัด เอาไม้เคาะขว้างไป ๓ ครั้งก็ถึงวัด แต่ไม่เคยเข้าวัดเลย เขาแต่งเป็นกลอนไพเราะมาก อาตมายังจำได้บางตอนว่า “ บ้านอยู่ใกล้วัด ไกลสามชั่วชัก กลับบ้านพรานไพร จะไปจะมา ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นที่อาศัยทำบุญให้ทาน” (ต้นฉบับคำกลอนกล่าวว่า “ที่นั่นมีวัด ราวสามชั่วชัก กับบ้านพรานไพร ไม่ใกล้ไม่ไกล เป็นที่อาไศรย ทำบุญให้ทาน” )
เป็นหนังสือเล่มหนึ่ง แต่ไม่เคยเข้าวัดเข้าวาเลย ตื่นเช้าก็ไปหาผัก หาฟืน หาผลไม้ป่า มาเลี้ยงครอบครัว วันนั้นสุบิน ลูกของนางสุภาคีเข้าไปในวัด อยากจะบวช อยากจะบวชเป็นสามเณร อาจารย์บอกว่าได้ ไม่มีปัญหา แต่ว่าต้องไปลาพ่อลาแม่เสียก่อน สุบินบอกกว่าพ่อตายไปแล้ว ยังเหลือแต่แม่ อาจารย์ก็บอกว่า งั้น ก็ไปลาแม่เสีย ตอนนั้นสุบินดีใจมาก แม่ออกไปเข้าป่า เอาผลไม้ในป่ามาที่บ้าน สุบินก็ไปต้อนรับ ให้แม่สบายใจแล้ว ก็บอกว่าจะบวช แม่โกรธทันทีเลย เขาแต่งเป็นกลอนว่า “ ก ข ก ข ง เรียนไว้ทำอะไร ทำสวิงดักไก่ แม่พลอยได้กิน” ก ข ง เป็นตัวพยัญชนะ ก ข ง เรียนไว้ทำอะไร ทำสวิงดักไก่ แม่พลอยได้กิน คือมันทำบ่วงดักไก่ มีหอก มีปืน แม่ก็เก็บไว้ ต่อไปข้างหน้าจะให้ทำงานเหมือนพ่อ และจะขอภรรยาให้ ลูกสาวก็รุ่นๆเดียวกัน พอโตขึ้นมา ขอให้มาเป็นภรรยา
สุบินก็อ้อนวอน นางสุภาคีก็ปฏิเสธเลย ไปบวชก็ไปบวช ไม่ต้องเลี้ยงหลาน สุบินก็มาบวช บวชเป็นสามเณรอยู่ในวัด วันหนึ่งนางสุภาคีก็เหมือนเดิม ไปหาไม้ฟืน หาผลไม้ แล้วก็เหนื่อย พบต้นไม้มีร่มเงา ก็นอนใต้ร่มไม้ไทรใหญ่ แล้วฝันไปว่าลูกนิรยบาลเป็นทหารของยมบาล มาจับเอาวิญญาณไป พาไปหายมบาล ยมบาลถามว่า แกนี้อยู่เมืองมนุษย์ เกิดเป็นมนุษย์ เคยทำบุญทำทานบ้างไหม บอกไม่เคย ไม่เคยทำบุญให้ทาน ยมบาลก็บอกว่า แกเกิดเป็นมนุษย์ได้พบพระพุทธศาสนาไม่เคยทำบุญทำทาน ให้เอาไปใส่ในนรก ลูกนิรบาลทหารของยมบาล ก็เอานางสุภาคีจะมาโยนในหม้อทองแดงที่กำลังลุกโชนอยู่ นางสุภาคีแทนที่จะตกใจ กลับดีใจ พอโยนลงไปแทนที่จะเป็นไฟ กลับเกิดเป็นดอกบัวขึ้นมารองรับ ไฟนรกมันดับ พวกลูกนิรยบาลก็ตกใจ ก็พานางสุภาคีกลับมาหายมบาล ยมบาลบอกว่าตะกี้ถามว่าเคยทำบุญอะไร บอกไม่ได้ทำ ให้นึกดูสิ ก็บอกว่าลูกที่บวชเณร ขอให้กลับมา ตื่นขึ้นมาก็ตกใจ มาหาลูกในวัด ก็เล่าให้ฟัง สามเณรสุบินก็บอกว่า ต่อไปนี้ไม่ต้องไปไหนแล้ว ไปอยู่ในวัด แล้วมาบวชเป็นชี ก็อยู่ในวัด สามเณรได้อาหารก็มาแบ่งมาปัน
ทีนี้คืนหนึ่งเป็นเปรตตัวใหญ่เข้ามาในวัด พระในวัดตกใจ ปิดประตูหน้าต่าง กลัว มันเดินอยู่ในวัด สูงเท่าต้นตาล สามเณรก็ไปถามอาจารย์ว่า เปรตเข้ามาทำอะไร อาจารย์บอกว่า เปรตเนี่ยคือพ่อของสามเณรนั้นเอง ต้องการมาขอส่วนบุญ สามเณรบอกว่า ถามว่าจะทำอย่างไร ถึงให้ส่วนบุญแก่พ่อได้ ซึ่งเป็นเปรต ตายไปเป็นเปรต บอกว่าต้องบวชพระ อยู่จนครบ ๒๐ ปี แล้วบวชพระ สามเณรก็อยู่ต่อมาก็ได้บวชพระ
เพราะฉะนั้น หนังสือเล่มนี้ มันทำให้คนอยากบวชเป็นเณร อยากบวชเป็นพระ บวชเป็นสามเณรได้โปรดแม่ บวชเป็นพระได้โปรดพ่อ อาตมาก็ไปอยู่กับย่า ย่าก็สวดให้ฟัง อย่างเรื่องอื่นๆ อีกหลายเรื่อง ชาดกต่างๆ เรื่องดีๆ เช่นเรื่องพระมหาชนกก็เช่นเดียวกัน
พระมหาชนกไปกับเรือสำเภา ไปค้าไปขาย เสี่ยงโชค แล้วไปเจอคลื่น เจอลม เรือกำลังจะล่มจะจม พวกลูกเรือทั้งหลาย คนในเรือ ก็ไม่ได้เตรียมตัวอะไร ไม่ได้ทำอะไร ก็เตรียมใจ ต้องตายอย่างเดียว พระมหาชนกนี้เป็นพระโพธิสัตว์ ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเอามาทรงนิพนธ์เรื่องพระมหาชนก พระมหาชนกเป็นลูกกษัตริย์เมืองมิถิลา จำได้ไหม พระมหาชนกก็เอาน้ำมันมาทาตัว กินอาหาร อิ่มแล้วก็ขึ้นบนเสากระโดง พอเรือกำลังเอียงจะจม ก็กระโดดไปไกล พ้นฝูงปลาฉลาม ฝูงปลาฉลามก็มากินลูกเรือในเรือจนหมดเลย ส่วนพระมหาชนกกระโดดว่ายพ้นฝูงฉลาม ว่ายมหาสมุทร ว่ายไปเรื่อยๆ ไม่เห็นฝัง ไม่เห็นแผ่นดิน และนางเมขลาซึ่งเป็นเทพธิดาเฝ้ามหาสมุทร ก็มาทดสอบ ทดลองดู มาถามว่าจะว่ายไปทำไม มหาสมุทรมันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างนี้ พระมหาชนกก็บอกว่า ขึ้นชื่อว่าบุญไม่ยอมแพ้ แม้จะไม่เห็นฝั่ง ไม่เห็นตลิ่ง
ก็จะอยู่เฉยๆไม่ได้ นางเมขลาเทพธิดา ก็มายกพาเหาะ เรื่องนี้ก็เรื่องสำคัญเหมือนกัน ก็สอนให้มีความเพียรพยายามไม่ยอมแพ้กับปัญหาต่างๆ
อาตมาได้สิ่งเหล่านี้จากย่า มีหลายๆ เรื่อง เมื่ออาตมาบวชแล้ว ก็ช่วยทำอะไรต่ออะไร ย่าก็บอกว่าคุณเจ้าๆ อย่าเอาแต่บุญอย่างเดียว ให้เอากุศลด้วย อาตมาถามย่าว่า บุญกับกุศลมันต่างกันอย่างไร ย่าบอกว่าทำบุญทำแบบนี้ ให้ทาน รักษาศีล สร้างศาลา กุฎิวิหารเรียกว่าบุญ กุศลต้องไปฝึกกรรมฐาน ฝึกภาวนา ตอนนั้นพ่อหลวงแดงอยู่บนภูเขา อยู่คลองเลียงที่เล่าให้ฟัง อาตมาก็ขึ้นไปทำกรรมฐานอยู่ในป่า บนภูเขา มีโยมพ่อด้วย เพื่อนด้วย ก็หาบจากกันไป เอาจากมุงหลังคา ขึ้นไปก็ไปทำกุฎิบนนั้น ตัดต้นไม้ในป่ามาเป็นเสา กั้นด้วยจาก มุงจาก วันเดียวเสร็จ อาตมาก็ขอกรรมฐานจากอาจารย์ อาจารย์ก็บอกกรรมฐานให้อาราธนาพระปิติ พระขณิกา พระผรณา พระอุพเพคา ปิติ ๕ แล้ว อยู่กุฎิห่างจากกุฎิอาจารย์พอสมควร นี่ คงจะขนาดนี้ไป อาตมาไปอยู่คนเดียวในป่า แล้วก็ฝึกสมาธิ มันก็เห็นปิติ แล้วความศรัทธา แล้วก็สบายมาก ไม่เคยมีอย่างนี้มาก่อน
วันหลัง โยมพ่ออาตมาก็ขึ้นไปเยี่ยม อาตมาตอนหนุ่มๆ มีเรือสำเภาเล็กๆ เคยช่วยเหลือทางครอบครัว บรรทุกสินค้าจากเกาะสมุยไปขายถึงปากพนัง เคยไปถึงปัตตานี เรื่องเกเรไม่เคยมี เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ ผู้หญิงอะไรก็ไม่ยุ่ง ช่วยเหลือทางบ้านอย่างเดียว ตอนที่อาตมาจบ ป. ๔ อยากจะไปเรียนมัธยม เกาะสมุยสมัยนั้น โรงเรียนมัธยมอยู่ที่หน้าเกาะ ถนนแบบนี้ไม่มีต้องเดินกันไป หมายความว่า ถ้าไปเรียนก็ต้องทิ้งบ้านไป พอดีแม่อาตมาเกิดลูกฝาแฝดน้อง
๒ คน แม่ก็บอกว่า อย่าไปเรียนเลยลูก ไม่มีคนเลี้ยงน้อง อาตมาสงสารแม่ ก็ไม่ได้ไปเรียน เลยไม่ได้เรียนหนังสือจบ ป. ๔ ก็แค่นั้นเอง นักเรียนที่เรียนโรงเรียน อาตมาเรียนโรงเรียนวัดละมัย อาตมาสอบได้ที่ ๔ ของโรงเรียน คนที่หนึ่ง เขาได้ไปเรียนที่จุฬา จบจุฬา คนที่สองเป็นผู้หญิงไปเรียนที่อเมริกา ไปจบพยาบาล อีกคนหนึ่งสอบได้ที่ ๓ ไม่ได้เรียน แต่งงาน คนนี้ก็คือป้าของโยมชีวันนั้นเอง เป็นป้าของโยมชีวัน พี่ของน้องแดง ไม่ได้เรียนแต่งงานแล้ว ก็มีลูก แล้วก็ตาย โยมชีวันก็น้องแดง น้องสะใภ้ก็เลี้ยงดูมา
อาตมาไม่ได้เรียน จนกระทั่งไปบวช ตอนนี้มาคิดว่า ถ้าสมมุติว่าอาตมาได้เรียน เรียนทางโลก อาจจะไม่ได้มาบวชอย่างนี้ก็ได้ ก็คงได้เรียนเหมือนกับเพื่อน ก็มีครอบครัว มีเหย้ามีเรือน เป็นฆราวาส แต่เพราะอาตมาไม่ได้เรียน มาบวชเป็นพระ อาตมามีคนรู้จักเยอะ อาตมาก็สนใจเรียนด้วยตนเอง ถึงได้ทำงานกับฝรั่งได้ ก็ต้องการจะเผยแพร่ธรรมะของพระพุทธเจ้าไปต่างประเทศ อุตส่าห์เรียน ให้พอพูดให้ฝรั่งเข้าใจได้ แล้วก็ทำอย่างนี้ ชีวิตมันเป็นเหตุเป็นปัจจัย แต่ย่าอาตมา เรียกว่าสำคัญที่สุด อาตมาจึงเขียนชื่อกุฎิหลังที่ท่านสัณฐานอยู่ว่า กุฏมยมี มยแปลว่าสำเร็จ มีก็คือย่าอาตมา กุฎมยมี เอารูปของย่ามาติดไว้ในกุฎิ เพื่อเป็นเครื่องระลึก อาตมาก็ขึ้นไปอยู่กับอาจารย์แดง ทำให้อาตมาตัดสินใจอยู่เป็นพระ เมื่อโยมพ่อไปเยี่ยมก็บอกว่าเรือสำเภา โยมจะจัดการอย่างไรก็ได้ อาตมาคงไม่ออกมา โยมพ่อก็บอกไม่แน่ อาตมาก็ไม่ว่าอะไร ก็อยู่เรื่อยๆมา เหตุปัจจัยมันมาอย่างนี้
ที่นี้ สำหรับพ่อหลวงแดงท่านเป็นพระกรรมฐาน ท่านมรณภาพไปแล้ว ก็เก็บศพไว้ที่วัดเขาโป๊ะหรือวัดคุณาราม วันนี้ก็พาญาติโยมไปดูด้วย จะเห็นว่าคนเรามันอยู่ที่พัฒนา พ่อหลวงแดงก็มีครอบครัวมีลูกมีเต้า มีฐานะกันทุกคนน่ะ ลูกพ่อหลวงแดง ท่านก็มาบวชเมื่ออายุมากแล้ว มรณภาพไปแล้ว เก็บศพเอาไว้ยังทำประโยชน์ สร้างรายได้ให้วัดนั้นมากมาย อาตมาก็ไปเยี่ยม ก็ระลึกนึกถึงบุญคุณของท่าน แล้วเอาซากศพของท่านเป็นอารมณ์กรรมฐาน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ชีวิตของเราที่เกิดมาก็เหมือนๆ กัน มีแต่รูป มีแต่นาม เราจะจัดการชีวิตของเราให้มันไปทางไหน ถ้าเรามีเป้าหมายมันก็ไปได้ ค่อยๆไป ค่อยๆเป็น สรุปแล้วเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่ทำให้ทุกข์มันหมด ทำให้ทุกข์มันเบาบาง วันหนึ่งๆ คนในโลกนี้ ทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ แสวงหาสิ่งที่เขาต้องการ มนุษย์ที่แสวงหาก็มีเหมือนๆกัน สำหรับคนทั่วๆไป
หนึ่ง แสวงหาอาหาร สิ่งมีชีวิตต้องกินอาหาร ก็แสวงหาอาหาร ตื่นขึ้นมา ก็เอาอะไรมากินแก้หิว บรรเทาความหิว ก็แสวงหาอาหาร แม้แต่เป็นพระ ก็ต้องไปบิณฑบาตร เพื่อได้อาหาร ฆราวาสก็ปรุงอาหาร หุงหาอาหาร แสวงหาอาหาร แสวงหาธรรมดา สัตว์เดรัจฉาน สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็กก็แสวงหาอาหารกัน แล้วแต่สัตว์นั้นจะกินอาหารชนิดไหน กินพืชกินผัก วัวควายช้างม้าก็กินหญ้ากินพืชกินผัก นกก็บินไปหาผลไม้ นกที่กินผลไม้ นกที่กินสิ่งมีชีวิต เป็นเหยี่ยวเป็นอะไรก็เที่ยวจับสัตว์อื่นกินเป็นอาหาร นกกระยางพวกนี้ แสวงนี้ แสวงหาธรรมดา
ที่สูงกว่านั้นคือแสวงหากาม กามสิ่งที่น่ารัก น่าพอใจ พอร่างกายโตขึ้นเป็นหนุ่มเป็นสาว มุ่งมั่นที่จะได้ ที่ตนชอบก็เรื่องกามารมย์ มีครอบครัว มีเหย้ามีเรือน ก็ได้มา แต่ว่าไม่ใช่ความสุขสูงสุด มันมีปัญหาตามมามากมาย เพราะการแสวงหากาม ต้องเหน็ดต้องเหนื่อย ทำมาหากิน หาเงินหาทอง เลี้ยงครอบครัวเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้า มันเหนื่อยมันหนัก ได้มาก็ไม่ใช่สิ่งสูงสุด เพราะชีวิตมันต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย หนีไม่พ้น
นอกจากกามแล้วก็แสวงหาภพ ความมีความเป็น อยากมีอยากเป็น นักการเมืองทั้งหลาย ที่เขาเป็นนักการเมืองต่อสู้กันอะไรกัน แข่งขันกัน นั้นแสวงหาภพ ถึงไม่เป็นนักการเมืองก็เหมือนกัน คนทั่วๆ ไป อยากจะเป็นอย่างโน้น อยากจะเป็นอย่างนี้ ได้เป็นแล้วก็ดับทุกข์ไม่ได้
แสวงหาสิ่งสูงสุดคือแสวงหานิพพาน ถ้าได้นิพพานคือได้สิ่งสูงสุด แสวงหานิพพานไปแสวงหาที่ไหน นิพพานอยู่ไหน นิพพานจริงๆ อยู่ในชีวิตของเราแล้ว นิพพานอยู่ในชีวิตของเราแล้ว แต่มันปรากฎแก่จิตใจของเราไม่ได้ เพราะกิเลสมันปิดบังอยู่ นั้นการแสวงหานิพพานก็คืออบรมจิตใจนี่เอง ถ้าจิตใจมีสมาธิ แล้วก็พิจารณา เจริญวิปัสสนา เอารูป เอานาม เอาเบญจขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มาพิจารณาดู มาติดตามดู มันจะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ มันเป็นสิ่งปรุงแต่ง มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ กิเลสก็จะลดลงๆ นิพพานก็เปิดเผย นิพพานนี้สร้างขึ้นมาไม่ได้
ความหมายของนิพพาน คือธรรมชาติที่ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ธรรมชาติที่ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น เรียกว่านิพพาน ธรรมชาติที่ไม่มีความทุกข์ก็เรียกนิพพาน เพราะฉะนั้นญาติโยม ก็ได้มีโอกาสมาแสวงหานิพพานกัน ก็ขอให้พอใจ ขอให้ยินดี เพราะเรื่องอื่นๆ ก็แล้วแต่ อยู่ในโลก อยู่ในสังคมก็ต้องมีทรัพย์สินเงินทอง รวมอยู่ในกาม มีครอบครัว มีเหย้ามีเรือนก็ต้องการ ก็ไม่มีปัญหา ถ้ามีธรรมะคอยคุ้มครองจิตใจ ความทุกข์ก็มีน้อย แต่ถ้าไม่มีธรรมะคอยช่วยเหลือ มีทรัพย์สินเงินทอง ครอบครัว ภรรยาสามี มันก็จะมีแต่ความหนัก ความเหนื่อย ความทุกข์ เนี่ย คนทั่วไปที่เขามี เพราะฉะนั้น การมีธรรมะ มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา มันจะช่วยเป็นเครื่องคุ้มครองป้องกัน ให้ปัญหามันไม่มากเกินไป แล้วก็ต้องทนอย่างนี้ ทนหนัก ทนเหนื่อย อย่างนี้ไปเรื่อยๆ
จนกระทั่ งอายุมาก แก่ชรา แต่ถ้าไม่เคยปฏิบัติธรรมมาก่อน พอเข้าวัยแก่ วัยชรายิ่งทำอะไรไม่ได้ เพราะต้องแสวงหาโภคทรัพย์ อยู่ในโภคกาม เพราะภพนี้ จะแสวงหาอายตนะ คือคุณธรรม ก็ได้แก่สมาธิ ปัญญา ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติ
และต่อไปนี้ขอให้ปฏิบัติกัน ลมหายใจเข้าออก มันเป็นรูป รูปธรรม ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้าออกได้ จิตก็มีสมาธิ วิธีปฏิบัติก็เข้าใจกันอยู่แล้ว วิ่งตาม เฝ้าดู สร้างมโนภาพ ปรับปรุงมโนภาพ พอจิตมีสมาธิ ก็พิจารณา ตามดู ติดตามดู หายใจเข้า หายใจออก รู้ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน เวทนาต่างๆ รู้สึกเป็นสุข รู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกเฉยๆ มันก็เป็นเวทนา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ความคิดนึกต่างๆ คิดดี คิดชั่ว ก็เป็นสังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ไม่ใช่เรา ไม่ใช่องเรา นี่เห็นอะไร ฟังอะไร รู้อะไรข้างนอก ตาเห็นคน เห็นสัตว์เห็นธรรมชาติ ก็มีสติสัมปชัญญะ รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสังขาร ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ใจก็สบาย ใจก็ไม่เป็นทุกข์ นี้คือการแสวงหานิพพาน เพราะฉะนั้น ตั้งใจปฏิบัติกันต่อไปนี้
<จบเสียงการบรรยาย>
หมายเหตุ :
(๑) วัดคุณาราม (วิหารหลวงพ่อแดง) วัดคุณาราม เรียกอีกชื่อนึงว่า วัดเขาโป๊ะ อยู่บริเวณกิโลเมตรที่ ๑๓ ใกล้น้ำตกหน้าเมือง มีพระซึ่งชาวบ้านเรียกว่า หลวงพ่อแดง หรือ หลวงพ่อแดง ปิยะสีโล (ท่านพระครูสมถกิตติคุณ) มรณภาพไปแล้วแต่ศพไม่เน่าเปื่อย บรรจุอยู่ในโลงแก้ว ในท่านั่งวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งในระยะสุดท้ายท่านสั่งให้คนใกล้ชิดเตรียมหีบศพแบบนั่งสมาธิ ท่านตั้งใจจะเข้าไปนั่งสมาธิในหีบนั้นจนตาย แต่ไม่มีใครทำให้เพราะความรักหวงแหน ไม่อยากให้ท่านจากไปและเห็นว่าท่านยังมีสุขภาพแข็งแรงอยู่ แต่เมื่อเดือน ๕ ข้างแรม ท่านบอกย้ำอีกครั้งว่า ถึงเดือน ๖ ท่านจะตาย ก็ไม่มีใครเชื่อ ในที่สุดท่านก็ได้ละสังขารเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๑๖ แรม ๕ ค่ำ เดือน ๖ ปีฉลู อายุ ๗๙ ปี ๘ เดือน
(๒) สุบินสามเณร เป็นหนังสือคำกลอน ชื่อ สุบินกลอนสวด เป็นร้องกรองที่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา ไม่ปรากฎชื่อผู้แต่ง เป็นหนังสือหายากมีคุณค่าต้นฉบับวรรณกรรม หอสมุดวชิรญานจัดพิมพ์ ไม่ปรากฎปีพิมพ์ที่แน่ชัด
สุบินสามเณร ที่มาปรากฎอยู่ในปัพพชาสูตร สุตตนิบาต มหาวรรคว่าด้วย การบรรพชาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา เว้นขาดจากบาปนอกุศลทางกาย วาจา ใจ ปัจจัยให้ได้เข้าเข้าถึงพระนิพพาน เริ่มเรื่องนกด้วยพุทธภาษิตคำสอนว่า
อุทะกัญฺหิ นะยันฺติ เนตฺติกา
อุสุการา นะมยันฺติ เตชะนํ
ทารุง นะมะยันฺติ ตัจฺฉะกา
ตะตานัง ทมยนฺติ ปณฺฑิตา.
แปลความว่า คนไขน้ำทั้งหลายย่อมไขน้ำ ช่างศรทั้งหลายย่อมดัดรก ศรช่างถากทั้งหลายย่อมถากไม้ บัณฑิตทั้งหลายย่อมฝึกตน.