แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
เอาล่ะ ญาติโยมทั้งหลายได้มาพักแรมอยู่ ได้มาสัมผัสเรียนรู้กับธรรมชาติที่มีอยู่ที่ทีปภาวัน ทีปภาวันอยู่บนภูเขา ถ้าตัวมาอยู่ที่นี่ ก็ต้องเดินขึ้นเดินลง ต้องใช้สติ สัมปชัญญะ นี่ก็เป็นธรรมะที่ญาติโยมได้ปฏิบัติ ต้องมีความเพียรพยายาม ที่จะเดินขึ้นมา ที่จะเดินลงไป ได้อบรมธรรมะ สติสัมปชัญญะ และความเพียร เราทำหยาบๆ สะเพร่าๆไม่ได้ ถ้าประมาทขาดสติ ก็จะล้มได้ แต่ความจริงไม่ใช่เฉพาะที่อย่างนี้ ที่คนหกล้มในห้องน้ำ และเสียชีวิตหัวฟาดพื้นก็มีอยู่บ่อยๆ เพราะว่าขาดสติ ไม่มีสัมปชัญญะ
คนนั่งรถขับไปบนถนนหลวง ขาดสติสัมปชัญญะ เกิดอุบัติเหตุก็ตายกันบ่อยๆ แต่ละปีๆ คนล้มตายกัน โดยอุบัติเหตุต่างๆมากมาย ถ้านับกันทั่วโลก คงจะเป็นแสนๆ สติสัมปชัญญะเป็นธรรมะที่สำคัญ เราต้องฝึกในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าอยู่ที่ไหน ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นแก่ตัวเอง และเกิดขึ้นแก่สังคม เกิดขึ้นแก่โลก มาจากการขาดสติ ไม่มีสัมปชัญญะทั้งนั้น
ถ้าเราไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ควบคุมจิตใจไว้ไม่ได้ คนก็บันดาลโทสะ
ก็มาเป็นกระทำคือเบียดเบียนผู้อื่น ชก ต่อย ยิง ฟันเขาตาย ขาดสติสัมปชัญญะ ควบคุมคำพูดไม่ได้ ก็ใช้คำพูด ใช้คำพูดที่มันไม่ดี เป็นเหตุให้เกิดปัญหา
การอยู่กันในสังคมมากๆ ส่วนใหญ่เนี่ยมาจากควบคุมคำพูดไม่ได้ พูดไปตามอำนาจของกิเลส เรื่องไม่ควรพูดก็มาพูด เรื่องไม่ใช่ของตัวเองก็มาพูด
ก็เกิดปัญหาขึ้นมา ไม่ว่าที่บ้าน ที่วัด ที่ออฟฟิศ ทำงาน ที่อยู่กันมากๆ
มาจากคำพูดนี่เอง คำพูดเนี่ย ไม่ใช่เป็นของเล็กน้อย มันเป็นการแสดงออกที่มาจากจิตใจที่เราควบคุมไม่ได้ คำพูดเท็จ คำพูดหยาบ คำพูดส่อเสียด คำพูดที่ไม่มีประโยชน์
วันหนึ่งถ้าไปแอบฟังคนธรรมดาที่เค้าพูดกัน มีเรื่องอะไรบ้าง เป็นเรื่องที่ไร้สาระประโยชน์เกือบทั้งนั้น พูดเรื่องคนอื่น คนนั้น คนนี้ วิจารณ์ การบ้าน การเมือง เมืองไทยไม่พอ ก็ต่างประเทศ โลกเจริญก้าวหน้า เดี๋ยวนี้คนเอาเรื่องของโลกมารู้ทุกหนทุกแห่ง ก็ยิ่งทำให้จิตใจวุ่นวายไม่สงบมากขึ้น ถ้าไม่มีสติ สัมปชัญญะ ก็ทำให้ใจเอง ใจเขาเองเกิดปัญหาก่อน
ญาติโยมทั้งหลายได้ฟัง พระอาจารย์พูด อัดเทปเอาไว้ ว่าความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความกลัว ความหึง ความหวง ความอาลัยอาวรณ์ อิจฉาริษยา มันเป็นพวกกิเลสที่มันเข้ามา จิตเดิมแท้ๆ มันไม่มีสิ่งเหล่านี้อยู่ก่อน มันเข้ามาทีหลัง ที่มันเข้ามาได้ เพราะเราไม่มีเครื่องมือที่จะป้องกันจิต ไม่มีสติ ไม่มีสัมปชัญญะ ในการที่จะคิด ในการที่จะนึก ในการที่จะพิจารณา
จิตก็สั่งงานให้เป็นกระทำทางกาย คำพูดทางวาจา สถานที่ต่างๆ ที่เราอยู่กัน มันมีหลากหลายไม่เหมือนกัน เป็นป่า เป็นเขา เป็นตลาด เป็นบ้าน เป็นเมือง เป็นบาร์ เป็นคลับ คนเข้าไปที่นั่น ก็เพราะใจของเขาเห็นว่าดี เข้าป่า เข้าคลับ เข้าโบสถ์ เข้าซ่อง มาจากจิตของเขาทั้งนั้น แม้แต่ไปเที่ยว ไปทัวร์ ก็มาจากจิตของเขาทั้งนั้น
เมืองท่องเที่ยวอย่างเกาะสมุยน่ะ คนมากันทั่วโลก คนฝรั่ง คนจีน คนญี่ปุ่น มาเที่ยวที่นี่ มาจ่ายเงินกัน ลงไปดำน้ำในทะเล ดูปะการัง เดินเล่น นอนเล่น บนชายหาด เที่ยวบนภูเขา เช่ารถจักรยาน เช่ารถมอเตอร์ไซด์ เที่ยวขับ เที่ยวขี่ มีรถบริการเกาะสมุย คนหารายได้ อุบัติเหตุที่มาตายบนเกาะสมุย พวกฝรั่ง แต่ละปีๆ ก็มีหลายๆ คน บาดเจ็บก็เยอะมาก ก็ขาดสติสัมปชัญญะนั่นเอง
การที่คนอยากจะไปในที่ต่างๆเนี่ย ก็เพราะจิตคิดฝันไป ว่าถ้าไปที่นั้น มันน่าจะดี น่าจะสบาย ความจริงพอไปถึงแล้วมันก็ไม่มีอะไร ไปอยู่ที่ไหน ถ้าใจยังไม่สงบจะพบความสุขไม่ได้ ตัณหามันก็จูงไปเรื่อยๆ ทำไมต้องเสียเงิน ทำไมต้องเหน็ดเหนื่อย มาจากจิตทั้งนั้น ทีนี้ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ มันก็ควบคุมไม่ได้
การปฏิบัติธรรมนี่ ก็คือการฝึกให้มีสติ ให้มีสัมปชัญญะ ซึ่งเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ ที่เรามีปัญหาเพราะมันมีกิเลสเข้ามาอยู่ สติ สัมปชัญญะ เป็นโพธิ โพธิคือการตรัสรู้ ตรงกันข้ามกับกิเลส กิเลสนี่เป็นวัฎสงสาร ที่ทำให้คนหมุนวนเวียนในกองทุกข์ เรียกวัฎสงสาร ก็คือกิเลสเป็นต้นเหตุ และทำให้เกิดการ
กระทำ เรียกว่ากรรม พอทำกรรม มันก็เกิดผลเรียกว่าวิบาก ก็เกิดผลทำให้เกิดกิเลสอีก ก็เวียนอยู่อย่างนี้
วัฎสงสารมันอยู่ในใจก่อน ทำให้คนวนเวียน วุ่นวาย ทางร่างกาย ทนทุกข์ทรมานกัน แต่พุทธศาสนาเขาไม่ได้สอนเพียงชีวิตปัจจุบันนี้ หมายถึงชีวิตข้างหน้าด้วย
ถ้าคนยังมีกิเลสอยู่ มันก็ให้วนเวียนอยู่ในสัมปรายภพ คือภพหน้าด้วย เวียนเกิด เวียนตาย เวียนแก่ เวียนเจ็บ มาจากกิเลส กิเลสที่เข้าสู่คน มาหาคน ไม่ใช่มาที่ร่างกาย มันมาที่จิตใจ เข้ามาจับหัวใจ มายึดหัวใจของคน มาครองหัวใจของคน เพราะว่าใจนี้มันเป็นนาย กายเป็นบ่าวเป็นผู้รับใช้จิตใจ แล้วคนก็วุ่นวายไปโน่นไปนี่ สถานที่ต่างๆ ร้านค้า ร้านขาย ห้างร้าน บาร์ คลับ บ่อน ซ่องอะไรต่างๆ มาจากความคิดของคนนั่นเอง
ที่นี้ถ้าไม่มีสติสัมปชัญญะ มันก็เหนื่อยหนัก เดือดร้อน จ่ายเงินจ่ายทอง ในสิ่งไม่จำเป็น ก็ต้องแสวงหากัน แสวงหาโดยสุจริตไม่ได้ ก็หาโดยวิธีง่ายๆ
ลักขโมย ปล้น จี้ หลอกลวง คนอื่นเค้าก็ยอมรับไม่ได้ จะกระทั่งก็เกิดกฎหมายบ้านเมือง ว่าทำอย่างนี้ผิดกฎหมาย ตำรวจก็จับมาลงโทษ ยึดทรัพย์ จับมาลงโทษ ติดคุก ติดตารางกัน นี่คนก็ทั่วๆไปก็เป็นอยู่อย่างนี้ เป็นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอยู่เรื่อย คนเคยทำมาในอดีต ปัจจุบันก็ยังทำอยู่เช่นเดิม ว่าประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ทำให้เราได้เห็น ได้รู้ เพราะฉะนั้นการฝึกสติสัมปชัญญะ เป็นเรื่องสำคัญ
พระพุทธเจ้าได้สอนเอาไว้ว่า จะอยู่ที่ไหน จะทำอะไร จะคบกับใคร ให้ใคร่ครวญพิจารณา แล้วมีสติ มีสัมปชัญญะ ใคร่ครวญพิจารณา หาเหตุ หาผล
ว่าอยู่นี่ ไปที่ไหน ทำอะไร คบกับใคร มีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ ถ้ามีประโยชน์ก็ให้ทำ แม้จะเดินทางไกลเป็นร้อยโยชน์ พันโยชน์ ก็ควรจะไป
ญาติโยมอุตส่าห์มาที่นี่ ญาติโยมบางคน อาจจะมาจากกรุงเทพ มาจากต่างจังหวัด ถ้ามาแล้วได้ประโยชน์ก็ควรจะมา โดยเฉพาะมาแล้วจิตใจสงบขึ้น สบายขึ้นก็ควรจะมา เราใคร่ครวญพิจารณาแล้ว ไปที่ไหน อยู่ที่ไหน คบกับใคร ทำอะไร มันไม่มีประโยชน์เกิดโทษ ไม่ทำดีกว่า นี่เป็นเรื่องของสติสัมปชัญญะทั้งนั้น
ญาติโยมได้มาอยู่ที่ทีปภาวัน อาตมาเชื่อว่าญาติโยมได้ฝึกสิ่งนี้ สติ สัมปชัญญะและความเพียร โดยเฉพาะมาควบคุมจิตใจให้อยู่กับอารมณ์อันประเสริฐ เรียกว่าอริยะ อริยะแปลว่าประเสริฐ แปลว่าไกลจากข้าศึก คือการเจริญอานาปานสตินี่เอง เพราะพระพุทธเจ้าเรียกอานาปานสติว่า อริยวิหารบ้าง พรหมวิหารบ้าง ตถาคตวิหารบ้าง
ความจริงไม่ใช่ว่าเรามีลมหายใจเข้าออกเฉพาะที่นี่ โยมอยู่ที่ไหน แล้วยังไม่ตาย มันก็ยังมีลมหายใจเข้า หายใจออกกันทั้งนั้น แต่เราไม่ได้สนใจที่จะฝึก ก็เลยไม่พบสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ ได้ทรงสอนให้เราพบเช่นเดียวกับพระองค์ เราไม่ได้ปฎิบัติอานาปานสติ
ทีนี้เมื่อญาติโยมมาอยู่ที่นี่ได้ฝึกอานาปานสติ ก็ได้พบสิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้บอกให้เราได้พบ ต่อไปกลับไปที่บ้าน อาตมาเชื่อว่า ญาติโยมคงไม่ทิ้งการอบรมจิตภาวนาหรือสมาธิภาวนา การที่เรามาอบรมสมาธิภาวนาหรือจิตภาวนา ก็เพื่อจะทำให้ชีวิตของเรามันมีประโยชน์ และก็มีความสุขที่พระอริยเจ้าท่านสรรเสริญ สุขธรรมดา สุขของปุถุชน พระอริยเจ้าไม่ได้สรรเสริญว่าเป็นสิ่งที่มีค่า เป็นสิ่งที่มีคุณ มันเป็นความสุขธรรมดา เรียกว่าอามิสสุข เป็นความสุขที่เจือไปด้วยความทุกข์ เจือไปด้วยกิเลส เหมือนอย่างปลากินเหยื่อหรือติดเบ็ด ความสุขที่คนแสวงหามันมีลักษณะอย่างนั้น
พระอริยเจ้าจึงไม่สรรเสริญ พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญความสุขที่ไม่เจือด้วยกิเลสเรียกว่า นิรามิสสุข จะทำอย่างไร จะได้พบสุขชนิดนี้ ก็ด้วยฝึก ก็ด้วยการปฏิบัติ หัดจิตใจนี่เอง ฝึกให้มีสติ ฝึกให้มีสัมปชัญญะ ฝึกให้มีความเพียร ชีวิตของเรามันเป็นของกลางๆ ไม่ดี ไม่ชั่ว ไม่บุญ ไม่บาป เป็นของ
กลางๆ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา มันมีจิตนี่เอง
ท่านอาจารย์พุทธทาสได้พูดว่ามันมีเดิมพัน เราเกิดมามีเดิมพัน มีทุน มีรอน สำหรับที่จะพัฒนาให้ก้าวหน้า ฉะนั้นการที่บางคนพูดว่ามาอยู่ที่นี่ ไม่ได้อะไร ก็คงไม่เข้าใจ ก็ต้องการอย่างอื่น หวังอย่างอื่น หวังให้มีโชค มีลาภ อย่างโลกๆ มันคนละอย่าง อย่างมาฝึกเนี่ย ฝึกให้มีคุณธรรม มีสติ มีสัมปชัญญะ มีความเพียร ต่อไปก็มีสมาธิ มีปัญญา
สมาธิ ปัญญาเนี่ย มันเป็นหนทางที่จะทำให้ทุกข์และปัญหามันลดลงๆ หรือว่าน้อยลง จนกระทั่งดับไปไม่มีเหลือ มาฝึกเนี่ย ฝึกจิตให้สงบเรียกว่าสมถะ พอจิตสงบ อบรมปัญญาเรียกว่าวิปัสสนา สมถะและวิปัสสนารวมเรียกว่า ภาวนา เป็นหนทาง เป็นทางสายกลางที่จะนำชีวิตให้มันสูงขึ้นๆ ไม่ใช่สูงทางร่างกาย ทางร่างกาย แม้แต่นั่งเครื่องบินสูงกว่าคนทั่วไป บินข้ามหัวคนทั่วไป บินข้ามวัดข้ามวา นั่งเครื่องบินเข้ากรุงเทพ เครื่องบินบินผ่านเหนือกรุงเทพ อันนี้ทางร่างกาย
คำว่าสูงทางด้านจิตใจ หมายถึงอยู่ที่ไหน แม้จะอยู่ในที่ต่ำ อยู่ในถ้ำ อยู่ในที่สกปรก ในนา ในสวน ในห้องส้วม แต่ถ้าจิตใจ มีสติ สัมปชัญญะ มีสมาธิ
มีปัญญา แต่ว่าใจมันสูง
ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงพูดว่า ห้องส้วมคือวิปัสสนาชั้นหนึ่ง ห้องวิปัสสนาชั้นหนึ่ง แต่คนไม่ใช้โอกาส ในขณะอยู่บนโถส้วม พิจารณาความจริงของชีวิต คนหาเงินหาทอง ซื้ออาหารมากิน กินเสร็จแล้วก็ไปถ่ายทุกวัน อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันตะโกนให้เราได้ยิน แต่เราเหมือนกับหูหนวก ไม่ได้ยิน ธรรมชาติ สังขารมันบอกว่า มันนี้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เพราะไม่มีตัวตน ถ้าสังขารเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาว ภูเขา ทะเล ต้นไม้ คน สัตว์ เป็นสังขารทั้งนั้น
สังขารเหล่านี้มันแสดงให้รู้ว่าตัวของมัน ตัวของสังขาร มันไม่เที่ยง เกิดดับ ทนอยู่ไม่ได้ มันเป็นทุกข์ เพราะไม่มีตัวตน แต่คนไม่ได้ฝึกจิตใจให้มองเห็นความจริง ไม่มียถาภูตญาณทัสสนะ ยถาภูตญาณทัสสนะคือการรู้ การเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นจริง นี่คือวิปัสสนา
ชีวิตของเราทุกส่วนทุกสิ่งเป็นสังขารทั้งหมด เราใช้ชีวิตเป็นเครื่องมือภาวนา คนทั่วไปอบรมน้อยมาก ฉะนั้นคนทั่วไปไม่มีภูมิคุ้มกัน จิตใจไม่เข้มแข็ง ต่อสู้กับโลกกิเลสไม่ได้ โลกของกิเลสก็มาบั่นทอนในจิตใจของคนทั่วไปเป็นทุกข์ จนกระทั่งฆ่าตัวตายกัน ปีหนึ่งๆ ทั่วโลกเป็นแสนๆคน แทนที่ตายโดยธรรมชาติ รีบฆ่าตัวตาย ก็เพราะว่าทนไม่ไหว มันทนทุกข์ทรมานจนทนไม่ไหว เค้าเรียกว่าฆ่าตัวตายให้พ้นๆ ไป อันนี้น่าสงสารมาก
เพราะฉะนั้นญาติโยมทั้งหลาย จงเข้าใจว่าชีวิตของเราเป็นของกลางๆ เราได้พัฒนาได้อบรม ชีวิตก็จะเจริญงอกงาม ในทางที่จะเข้าใจธรรมะ หรือทางที่จะตรัสรู้ การปฏิบัติธรรมไม่มีวิธีอย่างอื่น นอกจากมีสติ สัมปชัญญะ และความเพียร ฝึก หนึ่งให้จิตมีสมาธิ ความหมายของสมาธิ คือจิตไม่มีนิวรณ์ ไม่มีอุปกิเลส กามฉันทะ อารมณ์รักทางเพศ เรื่องกามอารมณ์ เกิดขึ้นรบกวนจิตใจ พยาบาท ความโกรธ ความไม่พอใจ ถีนมิทธะ เบื่อ ง่วงนอน อ่อนเพลีย
อุทธัจจกุกกุจจะ ฟุ้งซ่าน รำคาญ ฟุ้งด้วย รำคาญด้วย วิจิกิจฉา ลังเลสงสัย ไม่แน่ใจว่าจะเอาอะไรดี อยู่ที่ไหนดี ทำอะไรดี ลังเล ก้าวหน้าไม่ได้ ก็ฝึกให้จิตตั้งมั่น ให้จิตบริสุทธิ์ จิตบริสุทธิ์ไม่มีนิวรณ์ มันก็ตั้งมั่น ให้จิตใจอ่อนโยน ควรแก่การงาน
พระพุทธเจ้าอุปมาเหมือนอย่างช่างทองที่หลอมทอง เอาสิ่งที่ทำให้ทองมันไม่อ่อนออก เป็นเหล็ก เป็นตะกั่ว เป็นอะไร ถ้ามันผสมทำให้ทองมันไม่อ่อน ก็ไล่ออกเรื่อย หลอมไล่ไปเรื่อยๆ เหลือแต่ทองล้วนๆ เป็นทองคำล้วนๆ เนื้อมันอ่อน เอามาปรับ ทำให้เป็นเครื่องประดับ เป็นกำไลมือ เป็นแหวน เป็นอะไร ทำได้ ฉันใดเหมือนกัน
จิตที่ฝึกมีสมาธิแล้วควรแก่การงาน ควรที่จะเอาไปใช้งาน ใช้งานทางไหนก็คือใช้งาน ทำให้เกิดปัญญา ปัญญาธรรมดาที่เรียนรู้จากการอ่านหนังสือ จากมหาวิทยาลัย จากที่ไหน ยังเป็นความรู้ธรรมดาทั้งนั้น ยังไม่ใช่เป็นปัญญาที่สูงสุด อย่างดีก็โลกียปัญญา ปัญญาอย่างโลกๆ ปัญญาที่เรามาฝึกต้องการให้เกิดโลกุตตระปัญญา ปัญญาที่อยู่เหนือโลก โลกในที่นี้คือทุกข์นั่นเอง
เมื่อมีความรู้ มีปัญญาอย่างนี้ ก็อยู่เหนือทุกข์ ต่อไปอยู่ในโลก โดยไม่ต้องเป็นทุกข์ ก่อนนี้ที่ไม่มีปัญญา มีอะไร มาเพื่อ มีมาเพื่อทำให้เกิดทุกข์นั่นเอง หาเงินมาเสร็จแล้วก็ทุกข์เพราะมีเงิน มีครอบครัว ภรรยา สามี มีลูก แสวงหาได้มา เสร็จแล้วก็เป็นทุกข์ แม้แต่เกียรติยศ ชื่อเสียง ซึ่งเป็นของสมมติ คนก็ไปยึดก็เป็นทุกข์เหมือนกัน ได้ลาภ เสื่อมลาภ ได้ยศ เสื่อมยศ
เพราะนั้นถ้าอบรมให้มีปัญญาอยู่ในโลกที่สมมติ แต่จิตใจไม่ติดในสิ่งสมมติ จิตก็วิมุตติ วิมุตติคือมันหลุด ออกไปจากทุกข์ จากปัญหา อันนี้สิ่งที่ญาติโยมทั้งหลาย มาฝึก คือให้มีสมาธิเพียงพอ ให้มีปัญญา มีญาณ มีวิปัสสนาเพียงพอเรียกว่าการฝึก สถานที่ก็สำคัญเหมือนกัน สถานที่ที่มันวิเวก ที่มันสงบ มันทำให้เข้าใจธรรมะได้เร็ว ไม่ใช่อยู่กับชุมชน สถานที่ที่วุ่นวาย เสียงคนพูดด้วย เสียงอื่นๆ เสียงดนตรี เสียงเพลง เสียงการละเล่น อย่างนี้มันก็ทำยาก เว้นไว้แต่ว่าผู้ที่ฝึกมาแล้ว เค้าก็วางเฉยได้ คนทั่วไปยังเฉยไม่ได้
เอาล่ะต่อไปนี้ก็ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเตรียมตัวที่จะฝึกให้มีสติเพิ่มขึ้น สติคือระลึกอยู่กับธรรมะ ซึ่งมีอยู่หลายๆขั้น หลายๆชั้น ลมหายใจเข้าออกนี่ก็คือธรรมะ ธรรมชาติ สังขารธรรม ตามลม เริ่มต้นด้วยให้จิตอยู่กับลม ตัวจิตที่ว่าของเราๆนี้ มันเป็นคำพูดสมมติ จริงๆมันเป็นธรรมชาติ เป็นสังขตธรรม จิตรู้ พอลมหายใจเข้าก็ตามๆไป จากปลายจมูก มาที่ท้อง มาที่สะดือ แล้วก็ตามมาที่ปลายจมูก วิ่งตาม ติดตามตลอดเวลา 5 นาที 10 นาที แล้วก็หยุด เฝ้าดู แล้วก็หยุดที่ปลายจมูก
ทุกครั้งที่ลมกระทบที่จุดที่กำหนดไว้ๆ แล้วน้อมจิต สร้างนโมภาพ ให้จิตมันเห็นเป็นภาพปรากฏขึ้นมา อาจจะเหมือน เมฆ หมอก น้ำค้าง ดวงดาว แสงไฟ พระอาทิตย์ พระจันทร์ แล้วแต่อะไรมันเกิด พอเกิดมาก็ต้องสนใจสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้สนใจลมแล้ว สนใจแต่มโนภาพนี้ ปรับปรุงให้เล็กให้ใหญ่ เคลื่อนไป เคลื่อนมา ทำจนชำนาญ แล้วก็พยายามเลือกให้เล็ก ที่เป็นใหญ่คัดออกๆ แล้วเป็นจุดเล็กๆ ก็เพ่งๆลง วิตกเกิดองค์ของสมาธิ องค์ปฐมฌาณ เรียกว่าวิตก วิจาร ปิติ มันเกิด สุขก็เกิด จิตเป็นหนึ่งเดียว แค่นี้ก็พอแล้ว
หลังจากนี้ก็เจริญวิปัสสนา ก็มาตามดูให้เห็นความเป็นจริงของสิ่งเหล่านี้ คือ ลมหายใจเข้าออก มันก็ไม่เที่ยง เวทนาต่างๆ จะเป็นความรู้สึก เป็นสุข เป็นทุกข์ มันก็ไม่เที่ยง จะเป็นความคิดนึก จะเป็นจิต คิดดี คิดชั่ว มันก็ไม่เที่ยง
สิ่งใดก็ไม่เที่ยงมันเป็นทุกข์ เป็นทุกข์ขึ้นมา ไม่ใช่เรา ถ้าใครสลัดความรู้สึกว่าเรา ของเราได้ ความทุกข์ก็จะดับ พระอรหันต์ ถ้านั้นผู้ที่ขจัดอุปาทานได้หมดจบสิ้นเหตุ คนธรรมดายังทำไม่ได้ แต่ว่าถ้าว่างจากกิเลส ราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา อุปาทาน ใจก็เย็น อย่างน้อยก็ได้พบนิพพานชั่วขณะๆ ต่อไปก็ทำให้จิตใจสงบมากขึ้นๆ ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน