แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลาย ญาติโยมที่ไม่เคยมาปฏิบัติธรรมที่ ทีปภาวัน ซึ่งอยู่บนภูเขาที่เรียกว่า โคกทรวย อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏ์ธานี คำว่าโคกทรวย โคกคือภูเขา เป็นแผ่นดินที่มันสูงขึ้น เป็นโคก เป็นควน ตรงนี้เขาเรียกว่า โคกทรวย เพราะสมัยโบราณ มีต้นไม้ตะเคียนทรวยขึ้นอยู่มาก เป็นไม้เนื้อแข็งตระกูลตะเคียน ตระกูลตะเคียนนี้มีหลายชนิด ตะเคียนทอง ตะเคียนทราย ตะเคียนครวย ตะเคียนหิน
สมัยโบราณ เขามาตัดเอาไม้ตะเคียนครวยนี้ ไปทำบ้านทำเรือ แต่เดี๋ยวนี้ถูกโค่นไปหมดแล้ว อาจจะยังเหลือต้นสองต้น ทีนี้พอเรามาตั้งสถานที่ปฏิบัติธรรม ชื่อมันมีอยู่ อาตมาก็ไปหาคำในพจนานุกรม ซวย ซ โซ่ ว แหวน ย ยักษ์ แปลว่า ไม่มีลาภ ขาดทุน โชคร้าย แต่พอไปดูอีกคำหนึ่ง ทอ รอ วอ ยอ ออกเสียงเหมือนกัน ทรวย แปลว่า ปัญญา แปลว่าความรู้ พอดีกับสถานที่ปฏิบัติธรรม ที่เรามีขึ้นมาก็เพื่ออบรมให้มีปัญญา มีความรู้
ญาติโยมขึ้นมาอยู่บนนี้ ก็เพื่อพัฒนาจิตใจ ให้มีความรู้ทางพระพุทธศาสนา
ทีปะ มีความหมายหลายอย่าง ทีปะแปลว่าเกาะ ทีปะแปลว่าแสงสว่าง แสงไฟ ประทีป
ทีปะแปลว่าที่พึ่ง ทีปะแปลว่านิพพาน นิพพานเป็นสิ่งที่สูงสุดในพุทธศาสนา ไม่มีอะไรสูงไปกว่านิพพาน
พระพุทธเจ้าได้เป็นพระพุทธเจ้า ก็เพราะพระองค์ได้ค้นพบพระนิพพานที่ถาวร ชาวพุทธคนไทยเราเนี่ย ก็มีเป้าหมายเพื่อจะได้นิพพาน โดยเฉพาะผู้ที่บวช กุลบุตรที่บวชในครั้งพุทธกาล มาได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ศรัทธาออกบวช สละทรัพย์สมบัติ ครอบครัว ออกบวช เพื่อแสวงหานิพพาน พระพุทธเจ้าก็ทรงบวชให้
บวชครั้งแรก เขาเรียกว่า เอหิภิกขุ อุปสัมปทา พระพุทธเจ้าใช้คำว่า มาเป็นภิกษุ มาประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์ ที่สุดแห่งทุกข์ก็คือนิพพาน คำขอบรรพชาอุปสมบทแบบมหานิกาย นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ ว่าขอให้ท่านรับผ้าไตรจีวรเพื่อบวชให้แก่กระผม เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน สำหรับฆราวาสทั่วไป เวลาถวายทาน ออกชื่อ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ การให้ทานของข้าพเจ้านี้ จงเป็นปัจจัยเพื่อบรรลุนิพพาน
นิพพานนี่เป็น อสังขตะคือไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง นอกจากพระนิพพานแล้ว ก็เป็นสังขตะ ก็สิ่งที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง ธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่สาวกของพระองค์รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้ามารวมอยู่ในพระไตรปิฏก
พระไตรปิฏกนี่ เป็นที่รวบรวมคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้มีขึ้นหลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วราว ๓ - ๔๐๐ ปี ที่ได้รวบรวมเขียนเป็นตัวอักษรภาษาบาลีที่ทำขึ้นในประเทศศรีลังกา สังคายนา รู้สึกว่าเป็นครั้งที่ ๔ แรกๆ สาวกของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระอรหันต์ โดยเฉพาะพระมหากัสสัปปะ ซึ่งเป็นพระสาวกองค์ที่สำคัญมีอายุถึง ๑๒๐ ปี สำหรับพระพุทธเจ้าเองทรงมีพระชนม์ชีพเพียง ๘๐ พรรษาเท่านั้น ครั้งดับขันธ์ปรินิพพาน
ทีนี้พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ไปเที่ยวโปรดสัตว์ เสด็จเดินไปที่นั้นที่นี่ ทีแรกๆ ก็ไปสอนพวกนักบวชก่อน เพราะธรรมะที่พระองค์ตรัสรู้มันลึก ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แม้พระพุทธเจ้าเอง พระองค์ก็จะคิดว่าจะไม่สอน เพราะว่ายากที่คนจะเข้าใจได้ ถึงสอนไปก็เหนื่อยเปล่า แต่อาศัยพระมหากรุณาธิคุณ พระองค์ทรงพิจารณาว่า มันอาจจะมีบุคคลบางคนที่เข้าใจได้ พระองค์ทรงประมาณเหมือนอย่างดอกบัวในสระน้ำซึ่งมีอยู่หลายๆชนิด
ดอกบัวบางชนิดมันโผล่ขึ้นเหนือน้ำแล้ว พอต้องแสงพระอาทิตย์ มันก็บาน ดอกบัวบางชนิดพอเริ่มจะโผล่ ดอกบัวบางชนิดอยู่ใต้น้ำ ดอกบัวบางชนิดเป็นเหยื่อเต่าเหยื่อปลาโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำไม่ได้
เมื่อพระองค์พิจารณาอย่างนี้ พระองค์ตัดสินพระทัยที่จะโปรดสัตว์ ก็ทำให้คนเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้ามากขึ้นๆ จึงเป็นเหตุทำให้เกิดพุทธบริษัท
พุทธบริษัทมีอยู่ ๔ ประเภท เป็นนักบวช เป็นภิกษุ เป็นนักบวชผู้ชาย ภิกษุณีหรือ ภิกขุณี เป็นนักบวชผู้หญิง ภิกขุณีเนี่ย เกิดขึ้นในโลก ตอนแรกๆที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานแล้ว โดยเฉพาะพระนางปชาบดีโคตรมี ที่พาพวกศากยานี พวกศากยะ พระนางปชาบดีโคตรมีเคยขอร้องให้พระพุทธเจ้าทรงบวชให้ พระพุทธเจ้าไม่ยอมไม่อนุญาตหลายครั้งด้วยกัน ต่อมาพระนางปชาบดีโคตรมีซึ่งเป็นพระน้านาง ก็ได้พาพวกศากยานี หรือพวกศากยะที่เป็นผู้หญิงเดินทางไกลมาก มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ยืนร้องไห้อยู่ เท้าระบมไปหมดเลย พระอานนท์มาเห็นเข้า ก็ถามว่าทำไมจึงมายืนกันอยู่ที่นี่ พระนางปชาบดีบอกว่าอยากจะมาบวช ก็เลยทูลขอพระพุทธเจ้ามาหลายครั้งแล้ว ก็ไม่สำเร็จ แต่ก็ตั้งใจที่จะบวช
ทีนี้พระอานนท์ก็ไปทูลเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็บอกว่าอย่าขวนขวายเลย พระองค์ไม่ต้องการให้ผู้หญิงบวชในธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์มองเห็นปัญหานั่นเอง แต่ว่าพระอานนท์ก็พยายามรบเร้า แล้วก็ถามว่าผู้หญิงบวชในธรรมวินัย สามารถจะเข้าใจธรรมะมั้ย พระพุทธเจ้าบอกว่าได้ พระอานนท์ก็ได้โอกาสก็ทูลขอพระพุทธเจ้าทรงบวชแก่ภิกษุณี
พระพุทธเจ้าก็ได้วางข้อแม้ วางระบบที่เรียกว่า คุรุธรรม เป็นการปฏิบัติที่ลำบากมาก เพราะภิกษุณี ๑๐๐ ปี ก็ต้องเคารพภิกษุแม้บวชวันเดียว ภิกษุณีต้องอยู่ในวัดที่มีภิกษุอยู่ อยู่ตามลำพังไม่ได้ เผื่อมาเกิดอันตรายถูกเบียดเบียน มีอะไรหลายๆอย่างเรียกว่าคุรุธรรม ก็เกิดภิกษุณีขึ้นมาในพุทธศาสนา ละต่อมา
สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชที่ปกครองอินเดีย พระเจ้าอโศกเป็นกษัตริย์ที่มีความสามารถมาก สามารถรวบรวมแคว้นต่างๆในอินเดียให้เป็นหนึ่งเดียว แต่ต้องทำสงคราม คนตายเยอะมาก และพระองค์ก็บรรทมไม่ได้ นอนไม่หลับ ทุรนทุรายเพราะฆ่าคนตายมาก แต่อาศัยสามเณรซึ่งเป็นหลานของพระองค์เป็นพระอรหันต์ ก็ได้พูดให้เบาใจ
ต่อมาพระเจ้าอโศกก็หันมานับถือพระพุทธศาสนา ทำอะไรมากมาย เช่นเสาหินสลักในประเทศอินเดียที่ปักไว้ในที่ต่างๆ ก็อาศัยพระเถระที่มีความรู้ มีชื่อเสียง พระโมคคัลลีบุตร เราก็เรียกว่า พระอุปคุต ทางพม่าเรียกพระอุปคุต ก็ได้เที่ยวพาพระเจ้าอโศก ได้เห็นสถานที่ต่าง ๆ
ต่อมาพระเจ้าอโศกก็ถามพระโมคคัลลีบุตรว่า ที่โยมพยายามบำรุงศาสนาถึงขนาดนี้ ได้เป็นญาติกับพระศาสนาแล้วหรือยัง? พระโมคคัลลีบุตรบอกว่า ยัง พระเจ้าอโศกก็ถามว่า ทำอย่างไรถึงจะเป็นญาติกับพระศาสนา พระเจ้าว่าต้องอนุญาตให้ราชบุตร ราชธิดาออกบวช
ต่อมาพระเจ้าอโศกตอนที่เผยแพร่พุทธศาสนาไปต่างประเทศ อย่างประเทศแถบนี้สุวรรณภูมิ ที่พระโสณะ พระอุตตระ พร้อมคณะสงฆ์เข้ามาเผยแพร่ คงหลังจากพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้วสองสามร้อยปี ที่ศรีลังกา เป็นบุตรของพระเจ้าอโศกคือพระมหินทะ กับนางสังฆมิตตะ ก็ได้มาบวชเป็นภิกษุณี หมายความว่าภิกษุณีก็ยังคงมีอยู่คงสามร้อยปี แต่หลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏว่ามีภิกษุณีเหลืออยู่ ขาดตอนไปแล้ว ต้องเข้มแข็งจริงๆ จึงเป็นภิกษุณีได้สมบูรณ์ แต่ก็มีโยมผู้หญิงก็อยากจะเป็นภิกษุณีกัน ก็พยายาม แต่ว่าทางเถระสมาคมไม่เห็นด้วย
พุทธบริษัทที่อยู่ที่บ้านที่เรือน คืออุบาสก อุบาสิกา บางทีการเข้าใจธรรมะ บรรลุธรรมะ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเพศ ไม่ว่าภิกษุ ภิกษุณี บวชเข้ามาแล้วไม่ปฏิบัติ มันก็ไม่ได้อะไร บางทีให้โทษด้วย เพระว่าไปบิณฑบาตฉัน แต่ไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ก็ถือว่าเป็นการหลอกลวงสังคม ให้โทษ เหมือนพระพุทธเจ้ารับสั่งว่า คนเอาหอกมาแทงที่อกกับให้เขายกมือไหว้เนี่ย อันไหนจะดีกว่า ภิกษุทั้งหลายก็บอกว่า ขอยกมือไหว้ดีกว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า ถ้าไม่ปฏิบัติธรรมให้ถูกต้อง ขอเอาหอกมาแทงที่อกให้ตายดีกว่าให้เขายกมือไหว้อย่างนี้เป็นต้น ฉะนั้นถ้าเข้ามาบวชต้องปฏิบัติ ถ้าไม่ปฏิบัติถือเป็นการหลอกลวงสังคม
คำข้าวที่เป็นก้อนแดงๆ ที่ญาติโยมเขาให้เอามาฉัน หมายความว่าคำข้าวกับก้อนเหล็กแดง กลืนก้อนเหล็กแดงดีกว่ากินข้าวของชาวบ้าน ถ้ากินข้าวของชาวบ้านแล้วไม่ปฏิบัติธรรม มันจะทนทุกข์ตกนรก กินก้อนเหล็กแดง ก้อนเหล็กแดงก็ละลายลำไส้ กระเพาะให้ตายดีกว่า กินข้าวของประชาชน อย่างนี้เป็นต้น
ฉะนั้นการเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา ถ้าไม่ปฏิบัติธรรม มันก็ไม่มีอะไร ญาติโยมที่ไม่ได้บวช ภิกษุ ไม่ได้บวชเป็นภิกษุณี ไม่ต้องกังวล ให้สนใจเรื่องปฏิบัติธรรม เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นพุทธบริษัท เป็นอุบาสก อุบาสิกา เป็นสาวกของพระพุทธเจ้าแล้ว ภิกษุเกิดขึ้นก่อน ต่อมาก็เกิดอุบาสก เกิดอุบาสิกา ต่อมาจึงเกิดจึงภิกษุณี
เพราะฉะนั้น ญาติโยมทั้งหลายมาอยู่นี่ในฐานะเป็นอุบาสก อุบาสิกา ทำหน้าที่รักษาพระพุทธศาสนา ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ ชีวิตของเราที่เกิดขึ้นมานี่ มันมีสองด้าน การเกิดเป็นมนุษย์เรียกว่าเป็นโชคเป็นลาภอันประเสริฐ ยาก การได้ชีวิตที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่พระพุทธเจ้าทรงอุปมาว่า เต่าตาบอดอาศัยในมหาสมุทร ร้อยปีจะโผล่หัวขึ้นมาครั้งนึง มาหายใจ ในมหาสมุทรมีแอก ที่เป็นไม้ ท่อนไม้ที่เจาะรู สำหรับใส่ลูกแอกครอบคอเต่า ที่ว่าลากแอกลากไถ มันมีรูเล็กๆอยู่ในตัวแอก พระพุทธเจ้าถามว่า แล้วเต่ามันโผล่หัวขึ้นมามันจะสอดหัวเข้าไปในช่องแอกได้ไหม ภิกษุทั้งหลายก็กราบทูลว่า มันยากเหลือเกินพระเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้าก็บอกว่า ฉันใดก็ฉันนั้น การเกิดมาเป็นมนุษย์มันยาก
เราเกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ควรจะสนใจ คิดว่าเป็นลาภ แต่มองอีกด้านหนึ่ง การเกิดมาเป็นทุกข์ เวลาเราทำบุญ ชาติปิตุขา การเกิดมาเป็นทุกข์ ทั้งในชีวิตของเรามันมีทั้งทุกข์ มีทั้งความดับทุกข์ หรือมีทั้งความสุข ทุกคนต้องการความสุข แต่ทำไมจึงมีไม่ได้ ความทุกข์คอยเกิดขึ้นมาแทรกแซงตลอดเวลา เพราะว่า เราขาดการปฏิบัติ
ในชีวิตของเราที่สำคัญที่สุดคือ จิตใจนี่เอง ไอ้จิตใจของเรานี้ มันเป็นจิตผ่องใส จิตประภัสสร มันมีในชีวิตของเรา ที่ท่านอาจารย์พุทธทาสพูดว่า เรามีเดิมพันมีทุนรอนอยู่แล้ว แต่เราขาดการปฏิบัติ ปล่อยให้บาปอกุศล กิเลสทั้งหลาย มันเข้ามาอยู่อาศัย จิตใจของเราจึงเศร้าหมอง จึงมีปัญหา ถ้าเราไม่สนใจปฏิบัติพัฒนา ชีวิตนี้ก็มีแต่ทุกข์ เกิดมาแล้วก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความเกิด ทุกข์เพราะความแก่ ทุกข์เพราะความเจ็บ ทุกข์เพราะความตาย และก็ยังวิบัติ พลัดพรากจากสิ่งที่เรารัก ยังพบกับอารมณ์ต่างๆ ที่เราไม่พอใจในชีวิตประจำวันนะ
อย่างไรก็ดี ถ้าได้ปฏิบัติธรรม คำสอนของพระพุทธเจ้า ก็อาศัย รูป นาม เบญจขันธ์ที่เรามีเนี่ย เป็นเครื่องมือเพื่อทำให้ทุกข์ดับ ชีวิตของเราโดยรวมคือ รูปกับนาม พอขยายออกไปก็เป็น เบญจขันธ์ เป็นรูป เป็นเวทนา สัญญา สังขาร แล้วก็วิญญาณ และก็มีอินทรีย์ ๖
อินทรีย์ คือความเป็นใหญ่ในหน้าที่ของตน มีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ ??????21.35 โสตอินทรีย์เป็นต้น และก็อายตนะ ที่ติดต่ออยู่ ภายในชีวิตของเรา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นสิ่งสำคัญมาก
ถ้าเราไม่สนใจที่จะอบรม ที่จะควบคุมอินทรีย์เหล่านี้ ชีวิตก็จะเกิดปัญหา เพราะว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คือประตู เพราะฉะนั้นมีชื่ออื่น อีกชื่อหนึ่งคือ ทวาร ทวาร ทะวาระ แปลว่าประตู ก็มี ๖ ประตู คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รับอารมณ์ เป็นที่เข้าออกของอารมณ์ คือประตู
ทีนี้ถ้าเราไม่รู้ ก็รับแต่อารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย คือ กิเลสทั้งหลาย มันเข้าไม่หยุด และจิตใจก็เศร้าหมอง ทำให้เกิดกิเลสต่างๆ โดยเฉพาะกิเลสที่สำคัญที่สุด คือ อวิชชา
อวิชชา แปลว่าไม่มีความรู้ ที่ทำให้จิตใจพ้นจากทุกข์ได้ ความรู้ที่เรียนกันเป็นสถานที่ต่าง ๆ เป็นความรู้ธรรมดา เป็นความรู้เพื่อประกอบอาชีพการงาน หาเงินหาทอง เพื่อชีวิตอยู่ได้ ถ้ามีความรู้เพียงแค่นี้ ก็มีชีวิตอยู่ก็เพื่อ ทนทุกข์ทรมานไปกว่าจะตาย ฉะนั้นไม่พอ
ความรู้ที่มีในโลกทั่วไป ที่เรียนกันทั่วไป ต้องมีความรู้ของพระพุทธเจ้าด้วย
ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงสอน ไม่มาก ก็รู้ว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน อย่างที่เรา????กลัว เนี่ย
ถ้ามีใครมีความรู้นี้จะดับทุกข์ได้ สัพเพสังขารา นิจจา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา ที่สวดกันทุกวัน เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายทั้งปวง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน เมื่อนั้นจะเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ตนทุกข์ สิ่งที่เป็นที่ตนหลง นั่นแหล่ะคือ นิพพาน
เมื่อเบื่อหน่ายจากทุกข์ที่ตนหลงนั่นแหล่ะคือ นิพพาน นั้นความหมายของนิพพาน คือมันดับกิเลส ดับทุกข์ นิพพานไม่ใช่เป็นบ้าน ไม่ใช่เป็นเมือง ถ้าทำให้กิเลสมันหมด นิพพานก็ปรากฎทันทีเลย ทีนี้ทำให้นิพพานปรากฏไม่ได้เพราะว่ากิเลสมันท่วมทับอยู่ในจิตใจ การปฏิบัติธรรมก็คือการขจัดกิเลสในใจ ซึ่งมันมีอยู่หลายๆชั้น กิเลสอย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด
กิเลสอย่างหยาบๆ ที่มันแสดงออกมาเป็นการกระทำทางกาย เช่น การฆ่า การลัก การล่วงเกินของรัก เป็นกิเลสหยาบที่อยู่จิตใจ ถ้าเราขจัดมันไม่ได้ มันก็บังคับให้ร่างกายของเราทำชั่ว ทำบาป ทำอกุศล ทางวาจาก็พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ ปัญหาสังคมทะเลาะวิวาทบาดหมาง รบราฆ่าฟัน สงคราม มาจากกิเลสทั้งนั้น ถ้าเราต่อสู้มันไม่ได้เพราะมันเข้ามาในอยู่ในจิตใจ มันเข้ามาๆที่จิตใจก่อน มันไม่มีรูป ไม่มีร่าง ไม่มีสีไม่มีสรร มองไม่เห็นก็เลยเข้ามาอยู่ที่ใจ
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมสังเกต โดยเฉพาะพอตื่นนอน ดู พอตอนตื่นนอน ปกตินี่ คนได้พักผ่อนรู้สึกสบาย แต่ไม่นานประเดี๋ยวเดียว ได้รับอารมณ์ ทางตา ทางหูบ้าง ก็มาปรุงแต่งให้จิตใจคิดอย่างนั้น คิดอย่างนี้ ทำให้มันเศร้าหมองให้เดือดร้อน อย่างที่ท่านอาจารย์พุทธทาสยกตัวอย่างความรัก ความโกรธ ความเกลียด ความหลง เหล่านี้กิเลสทั้งนั้น พอเข้ามาอยู่มันเป็นยังไง ฉะนั้นต้องพยายามปฏิบัติให้ โพธิ มันเกิด
กิเลสมันทำให้เกิดปัญหา แต่ โพธิ คือการตรัสรู้ ก็ทำให้กิเลสมันลดลงๆ การถือศีล ปฏิบัติศีล กำจัดกิเลสอย่างหยาบ มาฝึกสมาธิกำจัดกิเลสอย่างกลาง คือพวกนิวรณ์ทั้งหลายที่มาคอยเกลือกกลุ้มรุมในจิตใจ อารมณ์รัก อารมณ์โกรธ อารมณ์เบื่อ ฟุ้งซ่าน ลังเล สงสัยคอยเกิด รบกวนจิตใจตลอดเวลา พวกนิวรณ์ ก็ฝึกสมาธิน่ะ พอฝึกสมาธิสำเร็จก็กำจัดนิวรณ์เหล่านี้ได้ แต่กิเลสชั้นลึก ชั้นละเอียด ชั้นเคยชิน เป็นอนุสัยยังมีอยู่ ก็เจริญวิปัสสนา ก็เอาอารมณ์ของวิปัสสนามาศึกษา ก็คือชีวิตของเรานี่เอง เรียก อารมณ์วิปัสสนา
เป็นรูปก็ดี เป็นนามก็ดี เป็นเบญจขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
อายตนะ ๖ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ทวาร ๖ ทวารตา ทวารหู ทวารจมูก ลิ้น กาย ใจ อินทรีย์ เอามาตามนี้
สิ่งเหล่านี้เขาเรียกว่า สังขตธรรม เป็นสิ่งปรุงแต่ง ข้างนอกทุกอย่าง เพียงแค่เรารู้ได้ด้วยการเห็น ด้วยการฟัง ด้วยการลิ้น ด้วยการสัมผัสทางกาย ทั้งนั้น มันก็สังขาร มันก็ไม่เที่ยง ไม่เที่ยงคือ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป สิ่งใดไม่เที่ยงมันก็เป็นทุกข์ ???? สิ่งนั้นมันไม่ใช่เรา
ถ้าจิตมีปัญญา ก็น้อมจิตเพื่อสละ ความยึดมั่นถือมั่น ความทุกข์ในจิตใจ มันก็ลดลงๆ โดยเฉพาะ ถ้าเข้าใจเรื่องไม่มีตัวตน ความเกิดมันก็ไม่มี แต่ว่าชาติมันดับ
การเกิดมันมี ๒ ความหมาย การเกิดทางเนื้อหนัง ภาษาธรรมดาเรียกว่าเกิดมา ลูกเกิดมาจากครรภ์มารดาในภาษาธรรมดา แต่การเกิดในจิตใจมีตลอดเวลา เมื่อใดเกิดความรู้สึกว่าตัวตน นั่นล่ะชาติมันเกิด พอเกิดรู้มันก็มีตัวตน ปัญหาก็ตามมา ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อะไรต่างๆ ก็ตามมา พอเข้าใจธรรมะ จริงๆ มันไม่มีตัวตน ความเกิดมันก็ไม่มี ก็ดับ ความเกิดดับเนี่ย เรียกว่า นิพพาน ดับความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย นั้นญาติโยมทั้งหลายมีโอกาสแล้ว ขอให้ใช้ชีวิตเดินทางสู่พระนิพพาน อย่าเดินทางวนเวียนในวัฏสงสาร จะประกอบอาชีพการงานก็ทำไป เพื่อร่างกายอยู่ได้ด้วยปัจจัยต่างๆ ก็ต้องรู้จักพอดี เป็นอยู่ให้พอดี รู้จักพอใจในการประกอบอาชีพการงาน แต่ละวันๆ ชีวิตของเรามีเกิด มีตาย มีเกิด มีตาย ทางร่างกายเนี่ย หายใจเข้า หายใจออก หายใจเข้า หายใจออก ที่เขาพูดกันว่า วันหนึ่งๆ เซลล์ชีวิตรวมตัวกันเป็นล้านๆ มันก็เกิดแล้วก็ตาย มากลายเป็นขี้ไคลที่เราต้องสีออกหลังอาบน้ำ ผิวหนังที่มันเสื่อมมันชรา พวกเซลล์ชีวิตที่มันตาย เกิดแล้วก็ตาย ส่วนตายจริงๆ เอาไปเผาไปฝังเนี่ย มันยังไม่มี แต่มันจะถึงครั้งหน้า เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เนี่ย เกิดตายที่สำคัญ คือ จิตใจเนี่ย ก็เกิดเพราะว่ามีตัวตน ก็ขึ้น แต่มันก็ลืมไป หายไป เกิดจิตใหม่ คิดใหม่ ก็มีการเกิดการตาย เนี่ยแต่ละวันๆ เรามีการนอนหลับ
การนอนหลับก็เหมือนกับตาย ไม่รู้สึกอะไรเลย พอตื่นขึ้นมาก็เกิดใหม่อีก ก็ระวัง ว่าเกิดแต่ละครั้งๆ ให้มันสูงขึ้นๆ เดินทางไปหานิพพานตลอดเวลา ทำให้การปฏิบัติธรรมเกิดวนเวียนอยู่ในวัฏสงสารเนี้ย ในกองทุกข์เนี่ย
ขอให้สนใจใช้ชีวิตให้มีคุณ ให้มีประโยชน์ สามารถจะพัฒนาได้ และต่อไปนี้ก็ขอให้ตั้งใจปฏิบัติกัน อาศัยสิ่งที่เรามีได้เองไม่ต้องไปหาที่ไหน ลมหายใจเข้า หายใจออก เกิดมาก็มีแล้ว แต่ไม่ได้มีเฉพาะลมหายใจเท่านั้น ยังมีอย่างอื่น มีเวทนา มีสัญญา มีสังขาร มีวิญญาณ ก็มาเป็นเครื่องมือเสีย
เวทนานี่สำคัญมาก เป็น อานาปานสติหมวดที่ ๒ แล้วหมวดที่ ๓ คือเรื่องจิตใจ ก็ในชีวิตของเราเนี่ย แล้วก็ ธรรมชาติ ที่ว่าธรรมะ คือ ธรรมชาติ รูป นาม เบญจขันธ์ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นธรรมชาติ ได้สมาธิมา ก็มาตามดูๆ พิจารณาดู ก็จะเห็นว่าสิ่งเหล่านี้เกิดดับไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เรา ความทุกข์ก็ดับ นิพพานก็ปรากฏ นั้นสิ่งสูงสุดในพุทธศาสนาคือพระนิพพาน
ขอให้สนใจในจิตใจ ว่าจิตใจมันเย็น ทำไป นิพพานนี้มันก็ชั่วครั้งชั่วคราว ก็พยายามที่จะเข้ามาเปรียบเทียบ เวลามีความทุกข์ มีวัฏสงสารเกิดขึ้น มาเปรียบเทียบวัฏสงสารมันก็ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป เหมือนกัน วัฏสงสารก็เป็น สังขตธรรม ยังมิใช่ นิพพาน นิพพานก็เป็น อสังขตธรรม ไม่มีการเกิด ไม่มีการแก่ ไม่มีการเจ็บ ไม่มีการตาย
ขอให้สนใจพระนิพพานให้มากๆ ชีวิตจะได้ก้าวหน้า ต้องเข้าใจความหมายของนิพพานให้ถูกต้อง คือเมื่อใดไม่มีกิเลส ไม่มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่มีความยึดมั่นถือมั่น ไม่มีความทุกข์ นิพพานก็ปรากฏ
ถ้าหวังบรรลุนิพพาน ถึงไม่ได้ อย่าไปหวัง อย่าไปอยาก ปฏิบัติให้มันถูกอย่างเดียว คือ มีสติ มีสัมปะชัญญะ มีความเพียร อันแรก ควบคุมจิตให้อยู่กับลมหายใจ
หายใจเข้าก็ตามไป หายใจออกก็ตามมา ๕ นาที ๑0 นาที ต่อมาหัดสร้างมโนภาพ
เห็นอะไรเคลื่อนไป เคลื่อนมากับลม ทำได้อย่างนี้ สมาธิก็สูงขึ้น เรียกว่าองค์ประกอบของสมาธิคือ ปีติ อิ่มใจ สุขสบายใจก็ก่อขึ้นๆ ใจก็สบาย พอได้สมาธิมาก็เจริญวิปัสสนา มาดูลมหายใจบ้าง ดูเวทนาความรู้สึกบ้าง ดูความคิดนึกบ้าง อะไรต่างๆ สังขารทั้งนั้น
ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีเรา ไม่มีของเรา ตั้งใจปฏิบัติกันต่อไปนี้.