แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
แบบนี้ ท่านส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินได้ฟังมาแล้ว ก็พยามที่จะรักษาเวลาที่กำหนดเอาไว้ อาตมาก็เลยนึกว่า เออนี่ เพราะฝึกนี่เอง เพราะการฝึกมันจึงทำได้ มนุษย์เรานี่ ถ้าเรามีการฝึก มันก็จะก้าวหน้า เพราะการฝึกเรียกว่าสำคัญมาก นี่ทำอะไรนี่ อยู่ที่มองเห็น พยายามอาศัยธรรมชาติ ถ้าจิตใจมันตั้งใจทำ มองเห็น มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
ฉะนั้นพอโยมเทวัญบอก ให้ที่ดินอาตมาที่นี่ ให้ที่ดินแล้ว อาตมาคิดว่าจะทำอย่างไร ให้มันสำเร็จได้ เพราะสตุ้งสตางค์ก็ไม่มี เวลาก็ไม่มี อาตมาก็วางแผนว่า โยมเทวัญต้องรับผิดชอบ ถ้ามิฉะนั้นทำสำเร็จไม่ได้
อาตมาก็หาหนังสือที่คนเสียสละนี่ มาให้อ่าน เช่นมีหมอเป็นฝรั่งที่ไปอยู่ในประเทศที่ยากจน แอฟริกาพวกนั้นยากจนมาก หมอคนนี้เป็นนายแพทย์ที่มีชื่อเสียงมาก ได้รับรางวัลโนเบล เป็นหมอเยอรมัน รู้สึกจะเป็นอย่างนั้น แล้วก็ไปอยู่ ไปช่วยเหลือคนยากคนจน คนลำบาก แล้วก็ไปจัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นเองอย่างนี้ มันมีคนเสียสละ
อาตมาก็พยามที่ให้โยมเทวัญได้รู้ว่า คนเสียสละมันมี โยมเทวัญตั้งใจทำ ก็บอกไปโยมกรรณิการ์ พอมีฐานะ โยมกรรณิการ์ก็บริจาค โยมเทวัญพอได้ ก็เริ่มทำ คนนั้นช่วยคนนี้ช่วย ก็ทำให้เกิดศาลาปฏิบัติธรรมขึ้นมาได้ ฉะนั้นทำอะไรได้นี่ ก็มีคนเสียสละ ถ้าไม่มีการเสียสละ มันทำอะไรไม่ได้เลย อาตมาก็ต้องพยายามช่วยเหลือ พยายามพูด
พุทธศาสนาทั้งหมด มันมาสรุปรวมอยู่ในพระรัตนตรัยนี่เอง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระรัตนตรัยของชาวพุทธนี่ เรียกว่าสำคัญมาก คนจะเข้ามาบวช ก็ต้องถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็เป็นที่พึ่ง ฆราวาสจะมาเป็นอุบาสก อุบาสิกา ก็ต้องถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง
ทีนี้ พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี มันมีหลายชั้น คนทั่วๆไป เด็กๆเข้าใจพระพุทธเจ้าคือพระพุทธรูปองค์เล็ก องค์ใหญ่ พระเครื่องแขวนคอก็มี แต่ว่าถ้ามีรูปพระพุทธเจ้าแบบนี้ให้ผู้ที่แขวนพระเครื่องระลึกถึงพระพุทธเจ้า ก็มีประโยชน์เหมือนกัน ทำให้ไม่ลืม เอาพระพุทธเจ้ามาแขวนไว้ที่คอ นี่ถ้าแขวนพระพุทธรูปแล้วดื่มเหล้า ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ยกแก้วเหล้าข้ามหัวพระนี่ มันไปไม่รอด พระคุ้มครองไม่ได้ ฉะนั้นถ้ายังเลิกดื่มเหล้าไม่ได้ เวลาจะดื่มเหล้า เอาพระพุทธรูปมาไว้ข้างหลังดีกว่า ไม่ต้องยกแก้วเหล้าข้ามหัวพระ
แต่ว่าชาวพุทธไม่รู้ พระเครื่อง พระที่ว่าศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันอันตราย บางทีถูกยิงตายทั้งที่มีพระเครื่องอยู่ที่คอนั่นเอง ดังนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์แทนนี่ ยังช่วยอะไรไม่ได้มากนัก มีพระพุทธเจ้าที่มีร่างกาย มีพระวรกาย เรียกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์คน อาจารย์เรียกว่าพระพุทธเจ้าพระองค์คน ที่เป็นบุคคล เป็นพระโพธิสัตว์ เราก็ไม่เห็นแล้ว ไม่มีแล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ถ้าเราระลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรม ก็จะเกิดขึ้นในจิตใจของเรา
ดังนั้น ชาวพุทธนี่ จะทำอะไร เกิดปัญหาอะไร ให้ว่า นะโม สวดนะโมก่อน นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ นะโมนี่ เขาบรรจุพระคุณของพระพุทธเจ้าเอาไว้
นะโมแปลว่า ขอนอบน้อม ตัสสะ ภะคะวะโต แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคคือพระเมตตาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ คือพระพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวสั่งสอนประชาชน มหาชน เวไนยชน ไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย พยายามที่จะไปสอนให้คนเข้าใจ มันอยู่ในคำว่า ภะคะวะโต เป็นเมตตาธิคุณ มหากรุณาธิคุณ อะระหะโตแปลว่าไกลจากกิเลส นี่คือบริสุทธิคุณ สัมมา สัมพุทธัสสะ ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง เป็นปัญญาธิคุณ
ฉะนั้นชาวพุทธเรานี่ ถ้าเกิดปัญหาอะไรก็ สวดนะโม ว่านะโม ท่องนะโม และพยายามให้จิตใจน้อมถึง ระลึกนึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ใจก็สงบ เป็นสมาธิ ลักษณะเจริญ
พุทธานุสสติ เป็นอารมณ์กัมมัฎฐานอย่างหนึ่ง พุทธานุสสติ ใจก็เป็นสมาธิ พอใจมีสมาธิ ก็เอาปัญหามาดู ก็แก้ปัญหาได้
ที่นี้พระพุทธเจ้า ที่สำคัญก็คือพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมนี่ ที่ลึกไปกว่านี้ ลงไปกว่านี้คือพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็น
ปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมคือชีวิตของเรานี่เอง
ไอ้ชีวิตของเรานั้นมันมีสิ่งสำคัญอยู่ ๒ สิ่ง คือความทุกข์ กับความดับทุกข์ ทุกข์มันมีหลายอย่าง ทุกข์เจ็บปวด อันนี้คือทุกขเวทนา และทุกขลักษณะ อะไรก็ตามสิ่งมีชีวิต สิ่งไม่มีชีวิต ถ้ามันเปลี่ยนแปลง ไม่คงที่ ทนอยู่ไม่ได้ ในสิ่งนั้น ในที่นั้น มันเป็นความทุกข์ เป็นตัวของความทุกข์ ตัวทุกขลักษณะ
ชีวิตของเราก็มีนี้ มีทุกขลักษณะ และทุกข์ที่สำคัญที่สุด ทุกข์เพราะอุปาทาน เรามายึดถือ คำว่าเรานี่ คือคำสมมติเพราะจิตมันยึดถือ ชีวิตนี้ซึ่งประกอบด้วยรูปและนาม ขยายออกไปเป็นเบญจขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ขยายออกไปเป็นอินทรีย์ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ คืออายตนะ ๖ สิ่งเหล่านี้คือธาตุตามธรรมชาติ ธาตุนี่คือสภาพที่คงไว้ ซึ่งคุณลักษณะของตนๆ เรียกว่าธาตุ ธา-ตุ ไม่ใช่ ทา-สะ ถ้าทาส ทา-สะ แปลว่าผู้รับใช้ ธาตุ ธา-ตุ นี่คือธรรมชาติที่คงไว้ซึ่งสภาพของตนๆ ธาตุดินก็มีลักษณะอย่างนี้ ธาตุน้ำมีลักษณะอย่างนี้ ธาตุไฟ ธาตุลม เบญจขันธ์เหล่านี้สักว่าธาตุตามธรรมชาติ
ทีนี้จิตนี่ มันถูกกิเลสครอบงำ ถ้ามันเกิดความรู้สึกว่า มีตัวตน มีเรา มีเขา มีหญิง มีชาย มีสัตว์ มีบุคคล เรียกว่าสำคัญผิด เข้าใจผิด อำนาจของอวิชชา ทีนี้ อวิชชานี่ มันอยู่ทุกหนทุกแห่ง กลางวัน กลางคืน มีทุกหนทุกแห่ง เหมือนอย่างอากาศนี่ มันมีทุกหนทุกแห่ง อวิชชามันจะเข้ามาในจิตใจของเราได้ เมื่อเราตื่นนี่และนอนหลับนี่ มันก็ให้โอกาส มันไม่เข้ามาในจิตใจ แต่พอเราตื่นขึ้นมา ตาเห็นรูป มันเป็นธรรมชาติในชีวิตของเรา พอตาเห็นรูป วิญญาณก็เกิด วิญญาณก็คือจิตนี่ มันทำหน้าที่ พอวิญญานเกิดเขาเรียกผัสสะ นี่คือปฏิจจสมุปบาท
ผัสสะแปลว่ากระทบกันถึงกัน ระหว่างของ ๓ อย่าง คือ ตา กับ รูป และวิญญาณ ผัสสะก็เกิด ผัสสะมีถึง ๖ ผัสสะ ผัสสะทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็ทางใจ ยกตัวอย่างเพียงอย่างเดียว ทางตา พอผัสสะเกิด ต่อมามันจะเกิดเวทนา เวทนานี้คือตัวปัญหา สัตว์ทั้งหลาย คนทั้งหลาย ตกอยู่ในอำนาจของเวทนาเหล่านี้ คนที่ไปเที่ยวที่นั่น เดินทางไปโน้นไปนี้ เพราะตกอยู่ใต้อำนาจของเวทนาทั้งนั้น เวทนามันมีหลายอย่าง สุขเวทนา ความรู้สึกเป็นสุข สบาย พอใจ ทุกขเวทนา ความรู้สึกที่ไม่สบาย ไม่พอใจ อทุกขมสุขเวทนา กลางๆ
ทีนี้ เวทนาเหล่านี้ มันมีหลายชั้น ชั้นธรรมดานี่ เวทนาที่เกิดจากกามคุณ เกิดจากรูป จากเสียง จากกลิ่น จากรส จากโผฏฐัพพะ โผฏฐัพพะคือสิ่งที่มากระทบกับผิวหนังของร่างกาย เรียกว่าโผฏฐัพพะ ความสุขที่เกิดจากกามคุณเป็นความสุขธรรมดามาก สัตว์เดรัจฉานก็มี คนก็มี คนทั่วๆ ไปนี่ ก็หลงติดอยู่ที่นี่ ความสุขที่เกิดจากกามคุณ แต่มันไม่ยั่งยืน เพียงครู่เดียว เดี๋ยวมันก็หายไป ยกตัวอย่างง่ายๆ เห็นได้ชัด เรากินอาหาร ต้องหาเงินหาทอง เหน็ดเหนื่อยได้เงินมาไปซื้ออาหารภัตตาคาร บางทีแพงๆ อาหารเอาวางบนลิ้น เคี้ยวๆๆ ก็รู้สึกอร่อย พอใจ พอกลืนลงไป ไม่มีอะไร เลยลิ้นไปแล้ว ไม่มีอะไร นี่ถ้าอาเจียนออกมา อาเจียนอาหารที่กินเข้าไปนี่ ตอนนี้กินไม่ได้แล้ว เพราะจิตมันเปลี่ยนแล้ว มันสร้างให้รู้สึกว่ามันปฏิกูล มันน่าเกลียด กินไม่ได้แล้ว ทีนี้กินเข้าไปในร่างกาย สร้างตัวย่อยๆๆ ก็มาใช้ ได้ผล ใช้ได้ ที่เหลือก็เป็นกากคืออุจจาระถ่ายออกมา คนก็สะอิดสะเอียน รังเกียจ จานข้าวนี่ ถ้าใครถ่ายอุจจาระใส่จานข้าวนั้น คนจะไม่กิน เรียกว่าสกปรก นี่จิตคนธรรมดาจะเป็นแบบนี้
แต่ว่านักปฏิบัติ เขาไม่ยึดถืออะไร แต่เขาก็ไม่ทำ มันเป็นเรื่องของสังคม ที่เขาคิดกันอย่างนั้น ว่าพระอริยเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไร สติของท่านนี่เข้าใจธรรมะ มีตัวอย่างว่า พระมหากัสสปะไปบิณฑบาตร ครอบครัวที่ยากจนมาก เป็นโรคเรื้อน นิ้วเปื่อย แต่ว่ามีโยมคนนั้นเขาศรัทธา ก็หยิบข้าวมาจาก คล้ายๆ ข้าวเหนียวหรืออะไรไม่แน่ นิ้วด้วน นิ้วเปื่อยหลุดลงไปในบาตร ทั่วๆ ไปนี่ กินไม่ได้แน่นอน พระมหาก้สสปะก็หยิบเอานิ้วที่มันหลุดมา โยนทิ้งแล้วก็ฉันปกติ นั่นคือจิตพระอรหันต์ที่ฝึกดีแล้ว
เพราะฉะนั้น ความสุขนี่ไม่ใช่มีอย่างเดียว ความสุขที่เกิดจากกามคุณ จากรูป จากเสียง จากกลิ่น จากรส เวทนาที่เกิดระหว่างเพศที่เกี่ยวข้องกันนี่มันธรรมดา สัตว์เดรัจฉานนี่ มันก็มีเช่นเดียวกัน ทีนี้ ถ้าตาเห็นรูปพอใจ กิเลสมันเกิด ราคะมันเกิด ความกำหนัดหลงรักมันเกิด นี่ถ้าไม่พอใจ โทสะมันเกิด บางครั้งเกิดอทุกขมสุข อทุกขมสุข โมหะมันเกิด พอเกิดกิเลสเหล่านี้ มันก็นำไปสู่ตัณหาอุปาทาน ยึดถือ ว่าเป็นเราเป็นของเรา ความทุกข์ก็เกิด นี่เกิดปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายทุกข์เกิดอยู่ในเรานี่
ดังนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นพระพุทธเจ้า ดังนั้นพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมก็อยู่ในชีวิตของเรา ตัวปฏิจจสมุปบาทนั่นคือตัวธรรมะ นั้นธรรมะก็อยู่ในเรานี่ ร่างกายของเราเป็นรูปธรรมเป็นนามธรรม และยังมีกระแสของปฏิจจสมุปบาท ตัวธรรมะทั้งนั้น
ทีนี้ความหมายของพระสงฆ์นี่ หมายถึงปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร เป็นเนื้อนาบุญของโลก คนเข้ามาบวชมีแต่ผ้าเหลืองห่ม ไม่ได้ปฏิบัติ มันก็ไม่เป็นพระสงฆ์ในความหมายนี้ เมื่อเป็นฆราวาส ญาติโยมอย่างนี้ อุบาสกอุบาสิกา ถ้าปฏิบัติเพื่อขจัดกิเลส ขจัดความยึดมั่นถือมั่น ความหมายของพระสงฆ์ก็บังเกิดขึ้น บังเกิดขึ้นในใจ
ฉะนั้น จะป้องกันไม่ให้กิเลสมันเกิดได้ ก็คือปฏิจจสมุปบาทคลายทุกข์ดับ นิโรธวาร สมุทยวารนี่ และฝ่ายทุกข์เกิด ก็คือชีวิตของคนทั่วๆ ไป ฝ่ายทุกข์เกิดตลอดเวลา ปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายทุกข์เกิด มันทำงานตลอดเวลา แต่คนไม่เห็น
ทีนี้ เรามาปฏิบัติก็มีสติสัมปชัญญะ ป้องกันไม่ให้อวิชชามันเข้ามา ตาเห็นรูป สักว่าเห็น เวทนาเกิดขึ้นไม่ว่าสุขเวทนา เรารู้สึกเป็นสุข สุขเวทนา เรารู้สึกเป็นทุกข์ ทุกขเวทนา
พูดกลางๆ มันสักว่าเวทนา ความคิดนึกต่างๆ คิดดี คิดชั่วก็สักว่าจิต ก็พูดอย่างนี้ ฝึกไปเรื่อยๆ กิเลสก็เข้ามาไม่ได้ ความทุกข์ก็ดับ นี่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมมันอยู่ที่ตรงนี้ ก็ธรรมะที่ดีมันก็อยู่ที่ตรงนี้ ตัวพระสงฆ์ที่ดีก็อยู่ตรงนี้
นั้นหัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อยู่ที่จิตใจไม่มีความทุกข์นี่เอง ถ้าเรายังมีความทุกข์อยู่ แสดงว่าเราไม่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่แท้จริง มันมีแต่ธรรมเนียม มีแต่ประเพณี ถือพระรัตนตรัย แม้แต่ศีล ก็ศีลธรรมเนียม มันไม่ขาด ขาดกลางไม่ได้
ดังนั้นญาติโยมทั้งหลายก็ให้ปฏิบัติสำหรับเดือนนี้ คนว่าง บวกพวกภายใน แม่ครัว แม่ชี ทุกคนถือโอกาสได้มา พูดได้ว่าอย่าปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปเสีย เพราะว่าเวลาคนมามากๆ ก็ไปช่วยบริการ ช่วยเหลือคนอื่น เราก็ทำหน้าที่กันอย่างนี้
ในการปฏิบัติก็มีเพียง ๒ อย่าง อานาปานสติ ๑๖ ขั้นที่ได้ฟัง ส่วนนี้หมวด ๑ พระอาจารย์ พูดเริ่มต้นด้วย ติดตามลมจากปลายจมูกมาที่ท้อง จากท้องมาปลายจมูก ติดตาม ๕ นาที ๑๐ นาที เฝ้าดู แต่พอจุดที่ลมกระทบที่ปลายจมูก กำหนดไว้ๆ ต่อไปน้อมจิตสร้างมโนภาพ นี่เป็นเทคนิค เป็นอุบายวิธี พอมโนภาพบังเกิดขึ้นปรากฎ อย่างเมฆ อย่างหมอก น้ำค้าง ดวงดาว แสงไฟ รวมกันไปก็ได้ แล้วแต่คน ก็ปรากฎ ทำไปเถอะ
ที่สวนโมกข์มารายงานให้ฟัง ก็พอใจ ปีติ แต่มันระดับต้นๆ เท่านั้น ไม่ใช่ระดับสูงสุดอะไร เป็นวิธี ทีนี้ถ้าเห็นภาพ ก็พยายามทำให้ชำนาญเยอะๆ เอาที่เล็กที่สุดมาเพ่งลงๆๆ พอเพ่งลง จิตก็รวมตัวเป็นสมาธิ ความหมายของสมาธิคือจิตบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น จิตอ่อนโยน ไม่มีอารมณ์ร้อน ไม่มีอารมณ์ที่ผ่านไปแล้ว ความรัก ความโกรธ ความเกลียดอะไรพวกนี้ มันไม่มี ใจก็เป็นสุข ตามลมชนิดนี้ ความสุขที่เกิดจากสมาธิ ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากกามคุณ แต่ยังไม่เป็นวิมุตติสุข วิมุตติสุข สุขเพราะจิตหลุดพ้น คือไม่ยึดมั่นถือมั่น เมื่อได้สมาธิมา ถึงจะเจริญวิปัสสนา มาตามดูลมหายใจเข้า ซึ่งเป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นสังขารธรรม ถ้ามันเที่ยงก็เที่ยง มันไม่เที่ยง เมื่อจิตเห็นว่าไม่เที่ยง มันก็ไม่ยึดถือว่า เป็นเราของเรา เวทนาต่างๆ ความคิดนึกต่างๆ มันก็เป็นสังขารธรรม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ถ้าปฏิบัติอย่างนี้ จิตใจมันว่างจากอุปาทาน ก็พบวิมุตติสุขอย่างน้อยก็ขณะหนึ่ง แต่ยังไม่ถาวร เพราะธรรมมันถาวร ให้พบความสุขชนิดนี้ มากขึ้นๆ ถ้าทำอย่างนี้ พระรัตนตรัยก็สมบูรณ์ เกิดความสะอาด สว่าง สงบ ในจิตใจของเรานี่เอง ๒๐ นาทีต่อไปนี้ก็ปฏิบัติ