แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ชีวิตของเราเกี่ยวกับเวลา จากหนี่งวันมาเป็นสัปดาห์ หลายๆ สัปดาห์ก็เป็นเดือน หลายเดือนก็เป็นปี ชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับวันเดือนปี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทีนี้พอเราเกิดมาเนี่ย มันจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ เราเกิดมา หนึ่งต้องเกี่ยวข้องกับมารดา ต้องเกี่ยวข้องกับบิดา เกี่ยวข้องกับปู่ย่า ตายาย พี่น้องที่เกิดมาก่อน นี่ก็เป็นเรื่องหนี่งเหมือนกัน ที่เราเกิดมา ถ้าเราทำไม่ถูกต้อง ระหว่างพ่อแม่ ญาติพี่น้อง ครอบครัว ก็เป็นเหตุแห่งปัญหาเหมือนกัน นอกจากบุคคลแล้ว ก็ยังมีธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ ฤดูต่างๆ แต่ละปีๆ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูต่างๆ เหล่านี้ เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์
โดยเฉพาะสมัยโบราณ อาชีพของคนทำเกษตรกรรม เป็นเกษตรกร ปลูกข้าว ปลูกพืช ปลูกผัก ก็ต้องรู้เหมือนกันว่า ฤดูไหนเป็นฤดูแล้ง ฤดูไหนเป็นฤดูหนาว ฤดูไหนเป็นฤดูฝน เพื่อให้เหมาะกับพืชผลที่ปลูกลงไป เพื่อจะได้ผลดี เขาจึงศึกษาว่า ปีไหนฝนมาก ปีไหนฝนน้อย ควรจะปลูกข้าวในที่ลุ่มดีหรือที่ดอนดี จึงมีโหรทำนาย ทำนายว่าปีนี้ฝนตกกี่ห่า ก็ถูกบ้างผิดบ้าง มันเป็นความเชื่อของคนตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มาแล้ว เรียกว่าในโลกนี้ มนุษย์จึงอยู่ได้ เขาจึงปลูกพืชปลูกผักให้ถูกต้องตามฤดูกาล เพราะชีวิตของมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ แม้จะสร้างบ้านสร้างเรือนเหมือนกัน ก็ต้องดูว่าที่ตรงไหนเป็นที่ลุ่มที่ดอน ปลอดภัยหรือไม่ปลอดภัย ทีนี้ก็มีคนที่ประมาท ไม่ค่อยระวัง สร้างบ้านสร้างเรือน บางทีสร้างบ้านอยู่ริมคลอง ริมแม่น้ำ น้ำท่วมก็พัดพาไปเลย บางคนสร้างบ้านสร้างเรือน ที่ดินมันสไลด์ แผ่นดินถล่ม และฝนตกหนัก ก็ตายกัน เรียกว่าไม่ศึกษาเรียนรู้เรื่องธรรมชาติ ว่าชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม เกี่ยวข้องกับบุคคล
[04:15] ทีนี้การที่อยู่กันเป็นชุมชน โดยเฉพาะเป็นประเทศ ต้องมีกฎหมาย กฎหมายบ้านเมือง ฉะนั้นแต่ละประเทศก็เรียกว่าบัญญัติกฎหมายขึ้นมา ออกกฎหมายขึ้นมา เป็นรัฐธรรมนูญปกครองประเทศ ทุกคนต้องเคารพ ต้องเคารพกฎหมายบ้านเมือง ถ้าเราไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง ก็อยู่ไม่ได้ เขาก็ไม่ยอม ทีนี้ถ้าเราทำผิดกฎหมายบ้านเมือง ก็เดือดร้อนเหมือนกัน ฉะนั้นอาชีพการงาน ก็ต้องอย่าผิดกฎหมายบ้านเมือง ทีนี้ชีวิตของเรา พอเกิดมาจะต้องเกี่ยวข้องกับศาสนา มนุษย์ทุกชาติต้องมีศาสนาที่ตนนับถือ ศาสนาใหญ่ๆ ในโลกนี้ ศาสนาพุทธ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม สำหรับศาสนาพุทธเคยมีมาก มากว่าศาสนาอื่น แต่ว่าตอนหลังมันเปลี่ยน โดยเฉพาะสมัยก่อนประเทศจีนประชากรมาก หลายร้อยล้านสมัยก่อน เดี๋ยวนี้เป็นพันล้าน
ประเทศจีนเคยเป็นประเทศที่นับถือพุทธศาสนา ประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี แล้วก็ประเทศแถบนี้ ประเทศไทยเรา ลาว เขมร เวียดนามก็เคยเป็นพุทธ ประชากรศาสนิกก็มีมาก แต่ต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองมันเปลี่ยนระบบการปกครอง เช่นเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศจีนเคยเปลี่ยนเป็นคอมมิวนิสต์ ล้มเลิกศาสนาหมด ศาสนาพุทธก็เรียกว่าหมดไปเยอะ แต่ว่าในจิตใจของคนจีนก็ยังมีพุทธศาสนาอยู่มาก ประเทศใกล้ๆ บ้านเราเมืองเรา ประเทศลาวอย่างนี้ เคยเป็นคอมมิวนิสต์ เรียกว่าเกือบหมดทั้งประเทศเหมือนกันเป็นคอมมิวนิสต์ เขมรอย่างนี้ เวียดนาม ในประเทศจีนเคยเป็นคอมมิวนิสต์ ปฏิวัติวัฒนธรรมสมัยเหมาเซตุง ศาสนาวัฒนธรรมต่างๆ เรียกว่าเกือบหมดเลย เดี๋ยวนี้คืนกลับ
คนจีน เดี๋ยวนี้ก็มีฐานะดี มีเศรษฐกิจดี คนจีนก็เริ่มจะสนใจพุทธศาสนามากขึ้น อีกประเทศหนี่ง ประเทศรัสเซียเคยเป็นคอมมิวนิสต์เหมือนกัน ปรากฎรัสเซียไปไม่รอด ระบบให้เสรีเป็นประชาธิปไตย มันเริ่มเสรี ทีนี้คนรัสเซียมาสนใจพุทธศาสนามาก อย่างที่นี่ ชาวรัสเซียเพิ่มขึ้นๆ ฉะนั้นศาสนาต่างๆ เนี่ย มันก็เคยขึ้นเคยลง เดี๋ยวนี้พุทธศาสนาก็คนนับถือมากขึ้นๆ ฉะนั้นชีวิตของเราเนี่ย เกี่ยวกับศาสนาด้วย มนุษย์ในโลกนี้ก็นับถือศาสนาต่างๆ กัน เป็นพุทธบ้าง เป็นคริสต์บ้าง เป็นอิสลามบ้าง เป็นฮินดูบ้าง นับถือศาสนาอื่น แม้แต่ลัทธิเต๋า เล่าจื๊อ หรือว่ายิว พวกยูดาห์ พวกยิว พวกอิหร่าน ศาสนามันมีหลายศาสนา ทีนี้ศาสนาต่างๆ เนี่ย มันก็สอนกันคนละอย่างสองอย่าง
ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ได้เกิดขึ้นในโลก ได้ตรัสรู้ธรรมะเอามาสอนเผยแพร่ ทำให้คนศาสนาพราหมณ์มาบวชในพุทธศาสนาเยอะมาก องค์สำคัญๆ เช่น พระสารีบุตร พระโมคคัลนะ เป็นอัครสาวกฝ่ายขวาฝ่ายซ้ายสำคัญ ก็เป็นพราหมณ์มาก่อน แล้วก็ยังมีหลายๆ คน พระมหากัสสปะก็เป็นพราหมณ์มาก่อน ทีนี้พระพุทธเจ้า พระองค์ได้ตรัสรู้สามารถเปลี่ยนจิตใจคนที่นับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน ให้มาเป็นพุทธ พุทธศาสนาก็เจริญรุ่งเรืองในประเทศอินเดียหลายร้อยปี ห้าหกร้อยปี ก็เป็นเรื่องดีที่ว่าคนนับถือศาสนาต่างกันในโลกนี้
เพื่อจะอยู่กันได้ ทีนี้ศานาพุทธ ญาติโยมต้องทราบเหมือนกันว่า พุทธศาสนามันมีหลายระดับ หนี่งศาสนวัตถุ วัดวาอาราม โบสถ์วิหาร พระเจดีย์ พระสถูป เมืองไทยเนี่ยเรียกว่าพุทธ บริจาคกันมาก สร้างใหญ่โตมโหฬาร เรียกศาสนวัตถุ ศาสนพิธี พิธีกรรมต่างๆ การเจริญพุทธมนต์ในพิธีต่างๆ วันเกิด วันตาย บำเพ็ญกุศลในงานศพ เขาเรียกว่า ศาสนพิธี แต่ยังไม่ใช่เป็นหัวใจสำคัญของพุทธศาสนา อันนี้เราก็ต้องรู้ เพราะว่าพวกฝรั่งที่เขาเข้ามาในเมืองไทย เขาไม่ได้สนใจพิธีกรรมเหล่านี้แต่เขาสนใจหัวใจของพุทธศาสนา เพราะศาสนาเดิมที่เขามีอยู่แล้ว เช่น ศาสนาคริสต์ หรือว่าศาสนาที่เขานับถือ มันยังทำให้เขาดับทุกข์ไม่ได้ ยังเครียด ยังกลุ้มอกกลุ้มใจอยู่ เขาก็หาทางออก มนุษย์เรา แม้ว่ามันต้องการจะดับทุกข์ เอาชนะความทุกข์
[12:10] ทีนี้ความทุกข์มันหลายอย่าง ทุกข์เจ็บปวด ความหิว ความกระหาย เจ็บไข้ได้ป่วยนี่มันทุกข์ทางร่างกาย ทุกข์ทางด้านจิตใจ ความผิดหวัง ความไม่ได้ตามใจหวัง ทำให้ใจไม่สบาย ปรารถนาสิ่งใดแต่ไม่ได้ตามใจหวังก็เป็นทุกข์เหมือนกัน การที่ต้องอยู่กับสิ่งที่เราไม่ชอบ กับคนที่เราไม่ชอบแต่จำเป็นต้องอยู่ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน การอยู่กับคนมากๆ ในสังคมที่มันไม่เหมือนกับตรงที่เขาอยู่ในธรรมชาติ บางเวลามันทำให้เรารู้สึกไม่สบาย เช่น อากาศร้อนจัด ฝนตกมาก หนาวมาก ธรรมชาติเหล่านี้ อาตมาบอกว่ามันเกี่ยวข้องกับชีวิตของเรา ทีนี้ ถ้าเราเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าฤดูไหน หน้าร้อน หน้าหนาว หน้าฝน จะวิปริตอย่างไร ใจไม่เป็นทุกข์ การที่เราไม่มีความทุกข์ เมื่อเผชิญกับปัญหาต่างๆ สูญเสียบุคคลที่เรารัก ปรารถนาแล้วไม่ได้ตามใจหวังอะไรต่างๆ
ไม่มีปัญหาเพราะว่ามีปัญญา มีปัญญาอยู่ในโลกอย่างไม่มีปัญหา
ทีนี้เราจะไม่มีปัญหาก็ต้องฝึกจิต ฝึกจิตให้มีความรู้ ฝึกจิตให้มีปัญญา เรียกว่ามีความรู้ มีปัญญา สิ่งที่ทำให้เกิดปัญหาคือพวกอารมณ์ร้อน อารมณ์ร้าย พอกิเลสทั้งหลายมันมาอยู่ในจิตใจของเราไม่ได้ ใจก็สบาย ก็เกิดความสุข ฉะนั้นพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าใครปฏิบัติ ก็ได้ความสุขเป็นขั้นเป็นตอนๆ คำสอนในพระพุทธศาสนาสำหรับฆราวาสญาติโยมทั่วไป หนึ่งด้วยการให้ทาน การบริจาค มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งเหมือนกัน ลองสังเกตดูคนที่ชอบทำบุญทำทาน มันสบายใจ คนที่ชอบทำบุญทำทาน แม้จะเสียเงินเสียทรัพย์ไปบ้าง แต่มันไม่เคยยากจน ทำบุญธรรมดาไม่มีทางจะยากจะจน ใส่บาตรพระ เวลามาบิณฑบาตก็ไม่ถึงกับทำให้ยากจน แต่ทำให้ใจสบาย การทำทานจึงเป็นทางแห่งความสุขความสงบ และความสุข
รักษาศีล เช่นศีล 5 ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา ศีล 5 ข้อ ดีทั้งหมดเลย ถ้าใครมีทั้ง 5 ข้อ คนนั้นจะไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ บางคนมีไม่ครบ มีสักข้อสองข้อ บางเวลามีข้อนี้วันต่อมาข้อนี้ มันไม่ดีก็มีข้ออื่น เรียกว่าศีล 5 ถ้าไม่มีสักข้อหนึ่งเนี่ย อยู่ไม่ได้ อยู่ในสังคมไม่ได้ ฆ่าคน เป็นโจร ประพฤติผิดในกาม โกหก เสพของมึนเมา ถ้าเสียทั้ง 5 ข้อเนี่ย อยู่ไม่ได้ อายุสั้นโดนฆ่าตาย โดนจับติดคุกติดตาราง อยู่ไม่ได้ ศีลมันทำให้เรามีความสุข ศีลมันเป็นพื้นฐาน
ทีนี้ที่สูงกว่านี้ก็คือภาวนา ภาวนาคือฝึกจิตใจให้มันสงบ พอจิตใจสงบ เราก็ได้ความสุข ที่เราไม่มีความสุข เพราะจิตใจมันไม่สงบ จิตใจมันวุ่นวาย ชอบไม่ชอบ รักชัง พอใจไม่พอใจ มันรบกวนอยู่ในจิตใจ เพราะว่าเราไม่ได้ฝึก ถ้าเราพยายามที่จะฝึก ฝึกจิตใจในชีวิตประจำวันเนี่ย เราต้องการจะเจริญก้าวหน้า มีความสุข ชาวพุทธทุกคนควรจะฝึกสมาธิให้เป็น วันละ 15 นาที 20 นาที ทำทุกวัน จิตใจก็จะได้สงบ เป็นสมาธิ พอได้สมาธิแล้วอบรมปัญญา วิปัสสนา ให้เห็นว่าทุกสิ่งมันไม่แน่นอน มันไม่เที่ยง มันเปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป เพราะที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราคิดไปเองว่าเป็นเราเป็นของเรา จริงๆ มันไม่เป็น ชีวิตของเราเป็นรูปเป็นนาม จิตมันคิดว่า นี่กายของเรา นี่ใจของเรา บ้านเรือนของเรา ที่ดินของเรา ทรัพย์สินของเรา จิตมันคิดไปเอง จริงๆ มันเป็นของธรรมชาติ ประเทศไทยเรานับว่าดีเป็นเอกราชมาหลายร้อยปี สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี 800 ปี มาตามลำดับ ฉะนั้นชีวิตของเรามันเกี่ยวกับเรื่องหลายเรื่อง ปัญหาสำคัญที่สุด คือ เราทำจิตใจให้สงบไม่ได้ ถ้าจิตใจไม่สงบจะเกิดปัญหาเรื่องนั้นเรื่องนี้ หลายๆ เรื่อง
เมื่อจิตใจของเราสงบอย่างเดียว ทุกอย่างมันก็ดีหมด
จะทำมาหากินก็เจริญก้าวหน้า เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ก็เป็นเพื่อนเป็นกัลยาณมิตร เรามีจิตเมตตาปรารถนาดีหวังดีต่อคนอื่น ก็เกิดความสามัคคี ฉะนั้นการฝึกจิตจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เราคนทั่วไปแม้นับถือพุทธศาสนา แต่พอมาถึงขึ้นภาวนาเนี่ย มันไม่ค่อยจะมี ทีนี้พวกฝรั่งเขาไม่สนใจศาสนพิธี ไม่สนใจเรื่องทำบุญทำทาน แต่ว่าพอเขามาเข้าใจธรรมะ เขาก็ทำบุญเหมือนกัน เรียกว่า Donation บริจาคเหมือนกัน ที่เขาบริจาคเพราะเขาเห็นว่ามันมีประโยชน์
ฉะนั้นชีวิตของเราเกี่ยวกับหลายๆ เรื่อง เรื่องธรรมชาติ ดินฟ้าอากาศ สิ่งแวดล้อม สังคม ออกมาจากจิตใจของเราทั้งหมด ถ้าจิตใจดีมีเมตตา สิ่งดีๆ มันจะเข้ามา มาสนับสนุนเจริญก้าวหน้า และในโลกนี้ มันมีนะ อยู่อย่างนี้ เราจะหลบไปอยู่ที่ไหนมันไม่ได้ ต้องสนใจจิตใจเท่านั้น จึงจะไม่มีปัญหา อะไรเกิดขึ้นเรียนรู้ เลือกเอาสิ่งดีๆ สิ่งที่เป็นบุญเป็นกุศล เลือกเก็บเอาไว้ ส่วนของเสียก็ทิ้งไป ปล่อยไป อารมณ์ที่มันเสียก็ไม่รับ นี่คือการปฏิบัติธรรม ไม่จำกัดว่าต้องอยู่ที่ไหน แต่ก็ดี ถ้าอยู่ในที่ๆ เงียบ มันก็สะดวกกว่า ง่ายกว่า
ฉะนั้นการทำบุญการปฏิบัติธรรมในพุทธศาสนา ให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนา เพื่อเอาชนะกิเลสทั้งหลาย ที่คอยก่อกวนในจิตใจให้มันเบาบางลงๆ ให้ใจสงบความสุขก็เกิดมากขึ้นๆ เรื่องความร้อนกับความหนาวเนี่ย อากาศอุณหภูมิมันสูง อากาศก็ร้อนๆๆ ถ้าอุณหภูมิมันลด อากาศก็เย็นๆๆ ใจของเราเป็นอย่างนี้ ถ้ากิเลสเข้ามาคืออุณหภูมิมันสูง ใจก็ไม่สบาย บางทีกินไม่ได้ นอนไม่หลับ ถ้ากินไม่ได้นอนไม่หลับ ความสุขมันก็ไม่มี ก็ต้องแก้ไข อะไรเกิดขึ้นในจิตใจให้รู้ว่า อันนี้เป็นธรรมชาติ นี่เป็นสังขารสิ่งปรุงแต่ง เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ถ้าลองอย่างนี้ โพธิก็เกิด พระก็เกิด พระนี่ตรงข้ามกับมาร โพธิตรงข้ามกับกิเลส ถ้าฝ่ายพระฝ่ายโพธิมันเกิด กิเลสก็จะลดลงๆ คนก็ได้ความสุข สุขสงบในจิตใจ
[23:53] เรื่องภาวนาเป็นการบำเพ็ญบุญในระดับสูง สำหรับการปฏิบัติธรรมคือปฏิบัติที่เป็นหัวใจของพระศาสนา พระพุทธเจ้าชักชวนให้พุทธบริษัทฝึกสมาธิภาวนา พระองค์ตรัสว่า จงเจริญสมาธิเถิด เมื่อจิตเป็นสมาธิ ก็จะรู้เห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริง สิ่งทั้งหลายความเป็นจริงของมัน คือมันไม่เที่ยง มันเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป สิ่งไหนไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งไหนเป็นทุกข์สิ่งนั้น มันไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ความรู้ในพุทธศาสนามันมีอยู่อย่างนี้ ต่อไปนี้เราจะใช้หลักพุทธ เรียนรู้เรื่องปริยัติ แล้วปฏิบัติเนี่ยสำคัญมาก แล้วก็ได้รับผลเป็นปฏิเวธ ปริยัติเรียนรู้ ปฏิบัติตั้งใจทำ ปฏิเวธได้รับผล โยมลองพิจารณาดู ว่ามันจริง อย่างที่อาตมาพูดหรือเปล่า ว่าเราเกิดมามันเกี่ยวข้องกับสิ่งหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าไม่เกี่ยวข้องกับอะไรเลย คนที่ไม่นึกไม่คิด ก็คิดว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรเลย ถ้าอย่างนี้ไปแล้ว ก้าวหน้าไม่ได้ มันต้องมองเห็นว่าหลายอย่างที่เกี่ยวข้องชีวิตของเรา เราต้องรับผิดชอบ ต้องพอใจ สนใจที่จะทำชีวิตให้มีประโยชน์ แล้วมันจะก้าวหน้าไปเอง ทางร่างกายก็จะก้าวหน้า ทางอาชีพการงานก็จะก้าวหน้า ทางสังคมก็ก้าวหน้า ทางสิ่งแวดล้อมก็จะไม่เสียหาย รักต้นไม้ รักษาธรรมชาติ ทำไปในชีวิตประจำวัน
ในวันหนึ่งของการปฏิธรรมก็ปฏิบัติในชีวิตประจำวัน วันหนึ่งๆ เรียกว่าปฏิบัติในปัจจุบัน ในปัจจุบันที่แคบที่สุด ตาเห็นรูป หูฟังเสียง เมื่อจมูกดมกลิ่น เมื่อลิ้นกระทบกับรส กายกระทบกับโผฏฐัพพะ จิตรู้งาน ให้มีสติระลึกอยู่กับธรรมะ สัมปชัญญะรู้ตัวทั่วพร้อมด้วยปัญญา แล้วก็มีฉันทะพอใจ วิริยะเพียรฝึกรักษาใจให้มันสงบลง คนก็พบความสุข การฝึกสมาธิมันมีประโยชน์ เอาไปประยุกต์กับการทำงานทำการก็ได้ เอาไปใช้สนับสนุนในการศึกษาเล่าเรียน ลูกหลานของเราที่เป็นเยาวชน ถ้าพ่อแม่แนะนำฝึกสมาธิเป็น เด็กเหล่านี้จะเรียนดี จะจำดี จะก้าวหน้าดี จะประพฤติดี ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอย่างนี้ เราจะได้พระพุทธ พระธรรมเป็นที่พึ่ง ก็ต้องจัดการกับตัวเอง พึ่งตัวเอง ก็ดูแลร่างกาย ดูแลคำพูด ดูแลจิตใจ ไม่ต้องหวังอะไร ไม่ต้องการอะไร มันมีเหตุ
และต่อไปก็ปฏิบัติ ฝึกสมาธิ ให้ได้สมาธิ หายใจเข้าก็ตามไป หายใจออกก็ตาม เรียกวิ่งตาม ติดตาม ต่อมาก็เฝ้า เฝ้าดูเฉพาะจุด ทุกครั้งที่ลมกระทบที่จุด จุดที่ว่านี้คือปาก จมูก รูจมูก 2 ข้าง ลมกระทบตรงไหนก็กำหนดจุดไว้ ต่อไป น้อมจิตเพื่อสร้างภาพ ให้ภาพมันปรากฏเหมือนอย่างเมฆบ้าง เหมือนอย่างหมอกน้ำค้าง อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ทุกอย่าง อย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ตัวเอง จะถูกกับอุปนิสัยที่ถนัด จะภาพจะเป็นแสง เป็นดวงอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ของจริง ก็ต้องมาสนใจปรับปรุง ให้เล็กให้ใหญ่ เคลื่อนไปเคลื่อนมา ทำได้เรียกว่าจนชำนาญ พยายามเลือกที่เล็กที่สุด มาเพ่งลงๆ ทีนี้ก็รวม รวมเป็นสมาธิ คราวนี้ไม่ต้องสนใจแล้ว จิตมันอยู่ในสมาธิ มันจะเป็นอย่างนั้น แล้วเวลาที่เรานั่งบางทีมันก็ไม่สนใจที่จะฟังเสียง ไม่สนใจที่จะรู้เรื่องราวอะไร มันก็สงบดี มันมีประโยชน์ ต่อไปเมื่อเราแก่ตัวเข้าๆ ตอนอายุมากๆ เนี่ย มันต้องมีอารมณ์ให้จิตใจมันสงบเนี่ยมาอยู่
ในชีวิตของเรา วันหนี่งมันก็ต้องแก่ เราไม่ตายเสีย มันก็ต้องแก่ แต่แก่มากๆ แล้วเนี่ย ถ้าไม่มีธรรมะเป็นอารมณ์จะวุ่นวาย ลูกหลานก็จะเข้าไม่ติด ฉะนั้นการฝึกธรรมะมันมีประโยชน์ วัยต้นก็มีประโยชน์ วัยกลางก็มีประโยชน์ วัยตายก็มี ขอให้ญาติโยมมองเห็น พอจิตเป็นสมาธิก็พิจารณาศึกษาดูว่าไม่มีอะไรเลย ที่มันเที่ยงแท้แน่นอน มีแต่ความเปลี่ยนแปลง แล้วก็เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี อย่างน้อยก็เปลี่ยนแปลงในทางที่ดี มันเปลี่ยนแปลงไหมล่ะ เราเคยมีพฤติกรรมอย่างนี้ ทำอย่างนี้เรื่อยๆ คนก็เลื่อนชีวิตไม่ได้ เพราะฉะนั้นความเปลี่ยนแปลง ความไม่เที่ยงมันดีนะไม่ใช่ไม่ดี มันทำให้ชีวิตของเราเปลี่ยนไปในทางที่ดี แต่ว่าอย่าไปยึดถือ ว่าเป็นเราเป็นของเรา
ถ้ายึดว่าเป็นเราเป็นของเรา ความทุกข์หนักอกหนักใจมันก็เกิด หัดปล่อยหัดวาง ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน