แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ เป็นโอกาส ของพวกเราที่ได้ขึ้นมาปฏิบัติธรรมอยู่บนทีปภาวัน สำหรับทีปภาวันนี่ มันอยู่ไกลจากไปการมา ข้ามน้ำข้ามทะเล ต้องเสียสละจริงๆ คนถึงมากันได้ ไม่เหมือนกับชาวต่างประเทศ ชาวต่างประเทศเนี่ยเขาตั้งใจมา มาเมืองไทย เขามีเป้าหมาย เพราะอย่างน้อยต้องมาเข้าคอร์สอบรม แล้วเขาก็ได้มาเข้าคอร์สอบรม เขาก็ประทับใจมาก พอใจมาก พวกฝรั่งเขามาประเทศไทย เขาตั้งใจจะมาสัมผัสกับประเทศไทย โดยเฉพาะเขาสนใจความรู้ของพระพุทธเจ้า ทีนี้สำหรับคนไทย เราอยู่จนชินในเมืองไทย แล้วคนไทยนี่ก็มีวัด เรียกได้ว่าทุกหมู่บ้าน ทุกตำบล ก็มีวัดอยู่แล้ว ยังมีสำนักปฏิบัติธรรม ก็มีขึ้นหลายๆแห่ง ที่นั่น ที่นี่ ก็เป็นสิ่งที่ดี แต่ว่าจะดับทุกข์ได้หรือไม่ดับทุกข์ได้นี่มันก็ไม่แน่ ได้แต่หลักๆว่าไม่ทำความชั่ว ทำความดี ทำใจขาวรอบ พยายามทำความดี แต่ว่าส่วนที่จะทำจิตใจให้ขาวรอบดับทุกข์ได้นี่ ก็รู้ไม่ได้ เป็นของเฉพาะตัว
พุทธศาสนาเข้ามาในประเทศไทยนานแล้ว หลายร้อยปีแล้ว ทีนี้ชาวพุทธทั่วไปก็รู้เรื่องราวของพระพุทธศาสนาในประเทศอินเดีย เข้มข้นศรัทธา อย่างอนาถบิณฑิกเศรษฐีสร้างพระเชตวัน เรียกได้ว่าขนเหรียญทองมาปูเต็มพื้นที่เลย นางวิสาขาสร้างบุพพาราม แล้วก็เศรษฐีอื่นๆก็สร้างวัดสร้างวากัน และชาวพุทธในเมืองไทยก็ศรัทธาต่อพระพุทธศาสนา มีศรัทธาในการทำความดี ทีนี้สำหรับสายสวนโมกข์เนี่ย มันเป็นสายปัญญา ไม่ใช่สร้างคนแบบสร้างศรัทธา แต่สร้างคนให้มีปัญญา
พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านพยายามอธิบายธรรมะให้คนดับทุกข์ได้ ถ้าดับทุกข์ไม่ได้ก็ไม่ใช่พระพุทธศาสนา ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงพูดเน้นย้ำอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าสอนในเรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์เท่านั้น ความทุกข์กับความดับทุกข์อยู่ในชีวิตเรานี้เอง
พุทธศาสนาทั้งหมดจริงๆแล้วนี่อยู่ในชีวิตของเราแต่จะคนๆนี่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ๆเรื่องอริยสัจ เรื่องทุกข์ เรื่องเหตุให้เกิดทุกข์ เรื่องความดับทุกข์ไม่เหลือแห่งทุกข์ เรื่องการถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อยู่ในร่างกายอันยาววาหนาคืบนี่เอง พุทธศาสนาทั้งหมดสรุปลงในพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นี่เอง แต่ว่าพระรัตนตรัยนั้นมีหลายชั้น อย่างพระพุทธเจ้าก็มีหลายชั้น พระพุทธเจ้าพระองค์แทนคือพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าที่มีชีวิต เรียกว่า พระพุทธเจ้าพระองค์คน ซึ่งเราก็ไม่ได้เห็นแล้ว แต่พระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมยังมีอยู่กับเรา แต่บางคนไม่เห็นว่าพระพุทธเจ้าพระองค์ธรรมอยู่ในชีวิตของเรา
ทีนี้พระธรรม พระธรรมเนี่ยคือสิ่งที่มีก่อนอะไรทั้งหมด พระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นหรือไม่บังเกิดขึ้น ธรรมะมีอยู่แล้ว ธรรมะก็เช่นเดียวกันมันมีอยู่หลายชั้น ธรรมะที่เป็นคัมภีร์พระไตรปิฎก ธรรมะที่เป็นคำสอนนี่ก็เป็นระดับๆ แต่ว่าตัวธรรมะที่สำคัญ คือธรรมะที่อยู่ในชีวิตของเรา ชีวิตของเราทุกคนมันคือตัวธรรมะ คือตัวธรรมชาติ เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นธรรมะทั้งนั้น เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ เป็นพระอาทิตย์ พระจันทน์ ดวงดาว ภูเขา ธรรมะทั้งนั้น คือธรรมชาติ ที่สำคัญที่สุดคือธรรมะที่อยู่ในชีวิตของเราเนี่ย
ทีนี้พระสงฆ์ก็เหมือนกัน อย่างน้อยก็มีสองประเภท พระสงม์ที่บวชเข้ามาตามพระธรรมวินัยเขาเรียกว่าสมมติสงฆ์ พระสงฆ์ที่สำคัญหมายถึงพระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร แม้เป็นฆราวาสญาติโยม การปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร ก็เป็นพระสงฆ์ ทีนี้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงๆ มันอยู่ในชีวิตของเรานี้เอง
หัวใจของพระรัตนตรัย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือทำให้ความทุกข์มันดับลงๆ ถ้าความทุกข์ไม่มี ความทุกข์มันหมดไป พระรัตนตรัยก็จะเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ ชาวพุทธจึงมีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอย่างสมบูรณ์
ทีนี้พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสสอนสาวกว่าพวกเธอทั้งหลาย จงทำตัวให้เป็นเกราะ จงทำตัวให้เป็นที่พึ่ง อย่าพึ่งกิเลส แล้วก็สอนสติปัฏฐานสี่ ตามเห็นกายในกาย ตามเห็นเวทนาในเวทนา ตามเห็นจิตในจิต ตามเห็นธรรมในธรรม กายก็ดี เวทนาก็ดี จิตก็ดี ธรรมะก็ดี ก็อยู่ในเรานี่เอง แต่ละคนๆมันมีฐานแห่งสติอยู่ แต่ว่าเราขาดการปฏิบัติ ขาดการอบรม จึงไม่มีสติปัฏฐานสี่ มันมีแต่ฐาน มีแต่ที่ตั้ง แต่ว่าเมื่อเราไม่ปฏิบัติ สติปัฏฐานมันก็ไม่เกิด เมื่อสติปัฏฐานมันไม่เกิด เราก็ไม่มีที่พึ่งระหว่างกิเลสมันเข้ามาอยู่เต็มหมดแล้ว กิเลสเข้ามาอยู่ในจิตใจเต็มหมดแล้ว คนก็มีแต่ความทุกข์ มีแต่ความเดือดร้อน มีแต่ปัญหา
ทีนี้การปฏิบัติธรรมเนี่ย ก็เพื่อทำที่พึ่งให้แก่ตนเองนั่นเอง คนอื่นไม่มีใครช่วยได้ ต้องปฏิบัติด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตาหิ อัตตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งของตน ทีนี้เราก็ต้องศึกษาเรียนรู้ให้ถูกต้องว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จริงๆ มันอยู่ที่ไหน ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้าคือพระพุทธรูป พระธรรมคือพระไตรปิฎก อยู่ในตู้พระไตรปิฎก พระสงฆ์ไปอยู่ตามวัด ถ้าเข้าใจอย่างนี้ มันเข้าใจแบบชาวบ้านธรรมดา เพราะยังไม่มีการศึกษา
ท่านอาจารย์พุทธทาสพยายามชักจูง ชี้แจง ให้คนเข้าใจ ว่าหัวใจของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์จริงๆ คือความสะอาด สว่าง สงบ ถ้าจิตใจสะอาด สว่าง สงบความทุกข์ก็ไม่มี ฉะนั้นสรุปว่า หัวใจของพระรัตนตรัย อยู่ที่ไม่มีความทุกข์นั่นเอง
ทีนี้คนทุกคนที่เกิดมาเนี่ย มันเป็นปุถุชนกันก่อน ไม่ได้เป็นพระอริยเจ้า เป็นปุถุชนกันก่อน แต่เมื่อปุถุชนคนธรรมดาได้ยินได้ฟังธรรมะของพระพุทธเจ้าก็ค่อยสนใจ สนใจที่จะเข้าใจ สนใจที่จะปฏิบัติ ก็เลยได้ผลทางจิตใจ แล้วความทุกข์มันลดลงๆ ฉะนั้นเราจะต้องเข้าใจเรื่องทุกข์เนี่ยให้มันถูกต้องชัดเจน ถ้าไม่ฉะนั้นก็จะดับทุกข์มันไม่ได้ ทุกข์มันมีหลายอย่าง หนึ่งทุกข์เจ็บปวด ทุกข์ในชีวิตประจำวัน เรียกว่า ทุกขเวทนา ความหิว ความกระหาย ความหนาว ความร้อน เจ็บไข้ได้ป่วย มันเกิดขึ้นในชีวิตของเรา เรียกว่าทุกขเวทนา สอง คือ ทุกขลักษณะ สิ่งใดที่มันไม่เที่ยง ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เช่นนั้นเขาเรียกว่าเป็นทุกข์ ทุกขลักษณะ มันมีในสิ่งที่มีชีวิต มีอยู่ในสิ่งที่ไม่มีชีวิต แม้แต่ภูเขาหิน แม้แต่ในอาคารบ้านเรือนที่มนุษย์สร้างขึ้นมา มันมีทุกข์ชนิดนี้ปรากฏให้เห็น คือมันซ้ำซาก เสื่อมโทรม ทรุดโทรม ชีวิตของคนเหมือนกัน เกิดมามันจะเป็นอย่างนี้ เป็นทารก เป็นเด็กอ่อน เด็กโต วิ่งได้เดินได้ เป็นหนุ่ม เป็นสาว แก่เฒ่าชรา มันก็สอนให้เราเห็นว่ามันทนอยู่ไม่ได้ อาการอย่างนี้ก็เป็นทุกข์
ทุกขลักษณะ ตัวทุกข์ที่สำคัญที่สุด ทุกข์เพราะอุปาทาน เพราะจิตไปยึดมั่นถือมั่น เอารูปเอานาม ชีวิตของเราเกิดมามีรูปกับนามอยู่ร่วมกัน ขยายออกไปเป็นเบญจขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร และก็วิญญาณ วิญญาณก็คือจิตใจนี่เอง เวทนามันเกิดดับกับจิตใจตลอดเวลา เวทนา ความรู้สึก สัญญา ความจำได้หมายรู้ สังขารความคิดนึก มันจะเกิดดับๆ อยู่กับจิต ถ้าจิตไม่ทำงาน จิตหยุดทำงาน เวทนาก็จะไม่มี สัญญาก็จะไม่มี สังขารก็จะไม่มี ทีนี้จิตจะตั้งอยู่ได้ ก็ต้องอาศัยที่อยู่ก็คือรูป ร่างกายชีวิตของเรานี้เป็นรูป จะอยู่ตรงไหนมันก็ไม่แน่
เมื่อก่อนโบราณเขาคิดกันว่า จิตที่เราคิดได้นึกได้นี่มันอยู่ในก้อนเนื้อหัวใจ แต่เดี๋ยวนี้เขาศึกษากัน บอกว่าไม่ใช่ น่าจะอยู่ในก้อนเนื้อสมอง ว่าอยู่ในส่วนนั้นส่วนนี้ เขาศึกษากัน ส่วนนี้เป็นส่วนคิด ส่วนนี้เป็นส่วนจำ สมองด้านซ้ายด้านขวาอะไรที่พูดกัน ทีนี้ฝรั่งบางคนบอกไม่ใช่ มันทำงานร่วมกัน ระบบประสาท ระบบไขสันหลัง มันอยู่ในชีวิตของเรานี่ มีคนเขาพูดดีว่า มันรู้สึกตรงไหนจิตก็อยู่ตรงนั้น เรารู้สึกอะไรในชีวิตของเราขึ้นที่ตรงไหน จิตมันอยู่ตรงนั้น อันนี้น่าสนใจ และชีวิตของเรา ของเราๆเนี่ยมันเป็นคำสมมติ จริงๆมันไม่ใช่ของเรา มันเป็นของธรรมชาติ
ทีนี้รูปก็ดี นามก็ดี เบญจขันธ์ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ดี มันเป็นสิ่งปรุงแต่ง ก็เรียกว่าสังขารขันธ์ เป็นสิ่งปรุงแต่ง ถ้าสิ่งปรุงแต่งสังขาร มันก็ต้องเป็นอย่างนี้ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ไหลเรื่อย ไหลไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ไปสู่ความแตกดับ
ทีนี้คนไม่มีการฝึกจิต อวิชชา ความไม่รู้ ตัณหา ความอยาก ทำให้เกิดความยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นเรา เป็นของเรา ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ว่าทุกข์เพราะอุปาทานในเบญจขันธ์
ที่นี้ทุกข์นี้สามารถทำให้ลดได้ ทำให้เบาได้ ส่วนทุกขเวทนาเนี่ย มันเหมือนเดิม พระอรหันต์ท่านก็มี แต่ว่าท่านไม่เป็นทุกข์เพราะทุกขเวทนา เราคนทั่วไปเนี่ยมันเป็นทุกข์ ทีนี้มาพูดถึงคนทั่วไปธรรมดา เจ็บไข้ได้ป่วยรักษาแพงมาก เสียเงินมาก เพราะว่ากลัวตายนั่นเอง ไม่อยากจะตาย รักษาหมดเนื้อหมดตัว จนกระทั่งลูกหลานไม่มีอะไรจะกินก็มี เพราะความกลัวตาย ถ้าเป็นชาวพุทธ แต่ก่อนนั้นเขาไม่ทำอย่างนี้ เดี๋ยวนี้ก็น่าสนใจ อาตมาเข้าไปที่กรุงเทพคราวก่อน อาจารย์แสวงเป็นศาสตราจารย์สอนที่มหาลัยธรรมศาสตร์ ตอนนี้กำลังสร้างสถานที่ให้คนมาตาย ชนิดที่ไม่ต้องอาศัยเครื่องมือหมอ ไม่ต้องใส่สายยาง ไม่ต้องให้ออกซิเจนอะไรต่างๆ พร้อมที่จะตาย เรียกว่าน่าสนใจ
ทีนี้ถ้าชาวพุทธเข้าใจธรรมะ มันไม่จำเป็นต้องเสียเงินถึงขนาดนั้น เตรียมตัวตาย เพราะว่าความตายมันเป็นเรื่องของร่างกายสังขาร ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ว่าเตรียมจิตใจให้มันดี และชาวพุทธก็มีหลักเชื่ออยู่ว่า ถ้าเราทำดี มีบุญมีกุศล ถ้ายังไม่สิ้นกิเลสไปเกิดใหม่ก็ไปเกิดในโลกที่ดี ก็ไม่เสียดายอะไรเลย พร้อมที่จะทิ้งของเก่า ของที่ใช้ไม่ได้แล้ว ไปหาของใหม่ที่ดีกว่า ก็ไม่กลัวตาย นี่ก็เรื่องหนึ่งเหมือนกัน
ตามหลักของชาวพุทธควรจะมีความรู้ ก็ไปเยี่ยมคนป่วยคนเจ็บเนี่ย จะไปพูดอย่างไร จะไปพูดเรื่องธรรมดา เรื่องงานเรื่องการ เขายิ่งกังวล ไปเยี่ยมคนป่วยก็ถามว่า คุณเป็นห่วงอะไรบ้าง ถ้าเขาบอกว่าเป็นห่วงนั้น ห่วงนี่ ห่วงลูก ห่วงหลาน ห่วงบ้าน ห่วงเรือน บอกไม่ต้องเป็นห่วง ถึงเป็นห่วงคุณก็ช่วยอะไรไม่ได้ ให้เลิกเป็นห่วง แต่นึกถึงสิ่งดีๆ ที่คุณเคยทำบุญ ทำกุศล ให้ทาน รักษาศีล เอาเรื่องดีๆมาเป็นอารมณ์ ก็แนะนำว่า การระลึกอย่างนี้ จิตใจมันบริสุทธิ์สะอาด ตายแล้วก็ไปสู่สุคติโลก โลกที่มีแต่ความสุข คือโลกสวรรค์ โลกสวรรค์มันก็มีหลายๆชั้น เทวดาชั้นกามาวจร เทวดาชั้นรูปาวจร สูงขึ้นไปเรื่อย สูงไปเรื่อย ชักจูงแนะนำให้คนป่วยที่ใกล้ๆจะตายได้พิจารณาตาม ก็ต้องบอกว่า จะไปอยู่ในโลกไหนๆ ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่เนี่ย ก็ดับทุกข์ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอให้ตั้งใจสดับ ดับไม่เหลือ ก็คือปล่อยวาง ถ้าคนใกล้ๆจะตายเข้าใจธรรมะได้ ก็จะวาง บรรลุพระอรหันต์ จบพรหมจรรย์
ฉะนั้นชีวิตของเราเนี่ย พยายามให้มีสติอยู่ตลอดเวลา แม้เจ็บไข้ได้ป่วย แม้เวลาใกล้ๆจะตาย ทีนี้ถ้าใช้เครื่องมือหมอ สายใส่ในจมูกระโยงระยาง ให้ยาสะลึมสะลือ สติสัมปชัญญะก็ไม่มี ถ้าตายลงในขณะนั้น ดีไม่ดีก็ไปทุกขคติก็ได้ จิตเศร้าหมองไปสู่ทุกขคติ จิตไม่เศร้าหมองไปสู่สุขคติ ฉะนั้นการที่อาจารย์แสวง ศาสตราจารย์แสวงคิดทำออกมา ขออนุโมทนา ทำในกรุงเทพ
ในชีวิตของเรานี่ เป็นที่รวมของโลก พระรัตนตรัยก็อยู่ที่นี่ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อยู่ที่นี่ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเราผู้นั้นเห็นธรรม เห็นธรรมคือเห็นปฏิจจสมุปบาท ปฏิจจสมุปบาทคือชีวิตของเรา คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่เอง ปฏิจจสมุปบาทแปลว่าอาศัยกรรมก็เกิดขึ้น อาศัยกรรมก็เกิดขึ้น เรื่องทุกข์กับเรื่องดับทุกข์ เรื่องทุกข์นี่ ตั้งต้นจากอวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยเกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยเกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยเกิดสฬายตนะ สฬายตนะเป็นปัจจัยเกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยเกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยเกิดตัณหา ตัณหาเป็นปัจจัยเกิดอุปาทาน อุปาทานเป็นปัจจัยเกิดภพ ภพเป็นปัจจัยเกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยเกิดกองทุกข์ต่างๆ ฝ่ายทุกข์เกิดสิบสองอาการ
ทีนี้ปฏิจจสมุปบาทฝ่ายทุกข์ดับ อวิชชาดับ สังขารดับ วิญญาณดับ นามรูปดับ ดับๆไปเรื่อย ดับภพดับ ชาติดับ ชาติในที่นี้ ไม่ใช่ชาติที่เกิดจากท้องมารดา คือชาติที่เกิดจากความรู้สึกว่าเป็นเรา เป็นของเรานี่เอง เพราะรู้สึกว่าเป็นเราเป็นของเรา มันก็รับเอามาหมดเลย ความแก่ก็เป็นความแก่ของเรา ความเจ็บก็เป็นความเจ็บของเรา ความตายๆของเรา มันก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะความแก่ ความเจ็บ ความตาย เพราะไม่เข้าใจธรรมะ
ทีนี้ถ้าได้ปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรม จิตก็มีสมาธิ มีปัญญา มีคุณธรรมขึ้นมา ก็มองเห็นตามที่เป็นจริงว่า ชีวิตนี้ รูปนามนี้ เบญจขันธ์นี้ จริงๆคือสิ่งปรุงแต่ง เป็นสังขาร มันก็ต้องไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน ถ้าสลัดความยึดมั่นถือมั่นได้ ความทุกข์มันก็ดับ มีแต่ละให้อุปาทานหมดทันทีมันยาก คอยละไปเรื่อยๆ ละไปเรื่อยๆ ตนก็เลื่อนชีวิตสูงขึ้นๆ เรียกว่าพระอริยะเจ้า มีพระโสดาบัน สกทาคามี อนาคามี สุดท้ายคือพระอรหันต์ และอย่าอยากเป็นพระอริยะเจ้า ถ้าอยากจะยิ่งหนัก ยิ่งไม่ได้เป็น
ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจริงๆนี่ มันอยู่ในชีวิตของเรา ชีวิตของเราอยู่ที่ไหนปฏิบัติธรรมที่นั่น ไปที่ไหนชีวิตของเราเกี่ยวข้องกับอะไร สถานที่ บุคคล ธรรมชาติ ก็ปฏิบัติที่นั่น พยายามให้มีสติ มีสัมปชัญญะ ให้รู้ว่าชีวิตที่มีนี่คือสังขาร คือสิ่งปรุงแต่ง มีไปเกี่ยวข้องกับสิ่งอื่น ตาเห็นรูป หูฟังยินเสียง จมูกดมกลิ่น ลิ้นกระทบกับรส กายไปต้องโผฏฐัพพะ จิตรับรู้ธรรมารมณ์ต่างๆ สังขารทั้งนั้น สังขารมันก็ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ ไม่มีตัวตน นี่คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม พอปฏิบัติธรรมอย่างนี้ นี่คือความหมายของพระสงฆ์ ปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติสมควร มันอยู่ที่ตรงนี้ ปฏิบัติให้ทุกข์มันลด ปฏิบัติให้ทุกข์มันดับ
ทีนี้ถ้าจะปฏิบัติเพื่อจะอยากมีอยากเป็นอยากได้ ความทุกข์มันไม่ดับ แต่มันเพิ่มขึ้นๆ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมนี่จริงๆ ไม่ใช่เรื่องเพศ ไม่ใช่เรื่องของเครื่องนุ่งห่ม ไม่ใช่เพราะการแต่งเนื้อแต่งตัว มันอยู่ที่ปฏิบัติถูกต้อง
ยกตัวอย่างในครั้งพุทธกาล พระยสะ เป็นพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาส ที่กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไตรปิฎกว่า พระยสะ นี่ร่ำรวยมาก เป็นลูกเศรษฐี มีเงิน มีปราสาทถึงสามหลัง แต่ละวัน แต่ละคืน มีคนแวดล้อม สาวสวยดีดสีตีเป่าทั้งวันทั้งคืน ประโคมให้สนุกสนาน คืนวันหนึ่ง ยสกุลบุตรง่วงนอนหลับไปก่อน ทีนี้พวกที่คอยประโคมดนตรีอะไรต่างๆ เห็นว่ายสกุลบุตรนอนหลับแล้วก็หลับกันไป ยสกุลบุตรตื่นขึ้นมา แสงไฟมันยังสว่างอยู่ เห็นอาการของคนที่มาประโคมดนตรีให้สนุกสนาน ก็นอนมีอาการต่างๆ บางคนนอนกรน บางคนนอนละเมอ บางคนน้ำลายไหล เครื่องดนตรีเหล่านี้วางไม่เป็นระเบียบ ยสกุลบุตรก็มองเห็นสลด อันนี้ธรรมะมันเกิด ธรรมะมันเกิดให้ได้เห็นอาการอย่างนั้น ก็บ่นออกมาว่า วุ่นวายจริงหนอ วุ่นวายจริงหนอ ก็สวมรองเท้าเดินอย่างไม่มีจุดหมายปลายทาง ผ่านมาที่พระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเดินจงกรมอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธเจ้าก็ได้ยินเสียงคนบ่นว่าอย่างนั้น ก็บอกว่า ที่นี่ไม่วุ่นวายๆ ให้เข้ามาเถอะ ยสกุลบุตรได้ยินอย่างนั้น ก็ถอดรองเท้า เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแสดงธรรมให้ฟัง ก็ได้บรรลุธรรมเป็นขั้นพระอริยะขั้นโสดาบัน
ต่อมาพอสว่าง มารดาของยสกุลบุตรไปที่นิเวศน์ที่อยู่ ไม่เห็นลูกชายก็มาบอกพ่อเศรษฐีว่าไม่รู้ลูกไปไหน ก็ชวนเที่ยวหากันทั่วไปหมดเลย บิดาของยสกุลบุตรก็ตามมา เข้ามาที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ก็เห็นรองเท้าของบุตรถอดวางไว้ เข้าไป พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในป่า ในป่า พระพุทธเจ้าชอบป่า พระพุทธเจ้าก็แสดงธรรมให้ฟัง ยสกุลบุตรก็เป็นพระอรหันต์เลย ได้เป็นในเพศฆราวาส ส่วนบิดาของยสะก็บรรลุธรรมเป็นโสดาบันอย่างนี้
เพราะฉะนั้นการเป็นพระอริยเจ้า การดับทุกข์ไม่เกี่ยวกับเพศ ไม่เกี่ยวกับเครื่องนุ่งห่ม เราอยู่ในสังคมใด ทำให้พอ
เหมือนๆกันก่อน อย่าให้เกิดความขัดแย้งกันในสังคม ถ้าเราแต่งตัวทำตัวเหมือนว่าดีกว่าเขาเนี่ย มันจะเกิดขัดแย้ง ถ้าตัวตนมาก เราจะอยากดับทุกข์ได้อย่างไร เพราะความทุกข์มันมาจากตัวตน เพราะฉะนั้นเมื่อเราไม่ได้บวชเป็นภิกษุณี ไม่ได้บวชเป็นสามเณรี เป็นแม่ชี เป็นอุบาสิกาเนี่ย ถ้าเราเข้าใจเนี่ย เมืองไทยนี่แม่ชียังเป็นที่ยอมรับ แต่ว่าต้องปรับปรุงให้ดี
ทีปภาวันนี่ อยู่อย่างธรรมดา ทีปภาวันต้องรักษาสถานะอย่างนี้ เพราะฉะนั้นการปฏิบัติธรรมจริงๆ มันไม่ได้เกี่ยวกับบวชเป็นพระ เป็นภิกษุณี เป็นนุ่งห่มอย่างนั้นอย่างนี้ มันอยู่ที่จิตใจของเรา เราปฏิบัติแล้วตัวตนมันลดลงๆ นั่นคือได้ผล
เหมือนอย่างพระสารีบุตรนี่ พระสารีบุตรครั้งหนึ่งท่านจะเดินทางไปชนบท มีภิกษุที่อิจฉาท่าน ไม่พอใจ ไปฟ้องพระพุทธเจ้าว่าพระสารีบุตรดูถูก เดินชนกระทบไหล่ พระพุทธเจ้าก็ให้พระสงฆ์ไปตามมา ตามพระสารีบุตรกลับมาใหม่ ถามว่า มีพระภิกษุรูปหนึ่งเขาหาว่าเธอนี่ไปดูหมิ่น จริงไหม พระสารีบุตรตอบ ข้าพระองค์ไม่มีเลยที่คิดจะดูหมิ่น ดูถูกใคร ไม่มี ข้าพระองค์มีความรู้สึกว่าเหมือนอย่างผ้าเช็ดเท้า ใครจะเช็ดเท้าก็ไม่รู้สึกอะไร เหมือนอย่างวัวที่เขาหลุด ไม่คิดจะขวิดใคร ข้าพระองค์มีความรู้สึกว่าชีวิตเหมือนอย่างซากสัตว์ที่มันตายมาอยู่ที่ชีวิตของข้าพระองค์ พรรณนาไปหลายๆอย่าง
จนกระทั่งพระองค์นั้นสลดใจ ขอโทษ นั่นคือคุณสมบัติของพระอรหันต์ อย่าต้องการเป็นอะไร อย่าต้องการมีอะไร นั่นคือคุณสมบัติของพระอริยะเจ้า
ถ้าอยากมีอยากเป็น มันไม่ได้มี ไม่ได้เป็น นั่นละกิเลสมันเพิ่มขึ้น ฉะนั้นเราชาวพุทธปฏิบัติธรรมเนี่ย ชีวิตของเราสำคัญที่สุด เบญจขันธ์ รูป เวทนา สังขาร วิญญาณ นั่นมันเป็นตัวพระธรรม ทีนี้พออบรมอาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้าเจริญสมาธิวิปัสสนา พอมีสมาธิก็เจริญปัญญาวิปัสสนา แล้วถอนตัณหาอุปทานเหล่านี้มันน้อยลงๆ มันจะเข้าใจธรรมะจริงๆ ชีวิตมันจะสบาย จะเบาสบาย ไปอยู่ที่ไหน มันไม่เป็นทุกข์ เพราะว่าเมื่อกิเลสลดลง โพธิก็จะเกิดขึ้น เมื่อโพธิ โพธิก็คือศีล สมาธิ ปัญญานี่เอง แล้วจิตจะมีเมตตา
พระพุทธเจ้าประกอบไปด้วยพระคุณมากมาย พระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระเมตตาธิคุณ สำคัญมาก เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้ชีวิตเป็นประโยชน์ ก็ต้องพอใจๆที่จะปฏิบัติ พอใจที่จะช่วยเหลือผู้อื่น พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำประโยชน์ตน ทำประโยขน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท เรียกว่ารู้จักแบ่งเวลา เวลาไหนเป็นของส่วนตัว เวลาไหนช่วยเหลือผู้อื่น เรียกว่าเผยแพร่พุทธศาสนา ทำให้ดู อยู่ให้เห็น เย็นให้เขารู้สึก จนคำสอนนี่ ถ้ามีโอกาสก็แนะนำชักจูงชักชวนให้คนเข้าใจธรรมะ
เอาละ ให้ญาติโยมเข้ามาปฏิบัติ ต่อไปก็ปฏิบัติสักนิดหน่อย ต่อไปก็ปฏิบัติเนี่ย ลมหายใจเข้า หายใจออก นั่นคือชีวิตของเรา ให้จิตอยู่กับลมหายใจเข้าได้ นี่ก็มีสมาธิ พอจิตมีสมาธิก็พิจารณา รูป นาม เบญจขันธ์ ให้ตามความเป็นจริง คือมันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ ทำจิตใจให้ว่างจากตัวตน ก็ได้รับประโยชน์ ฉะนั้นสำหรับญาติโยมที่ไม่เคยมา ให้สนใจว่าชีวิตของเรานี้ เป็นชีวิตที่มีค่าที่สุด พยายามอบรมให้มีที่พึ่ง มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง เพราะมีธรรมะเป็นที่พึ่ง จะมีธรรมะ ก็เพราะมีตัวตนเป็นที่พึ่ง ตัวตนนี้ตัวตนสมมติ ต่อไปก็ให้ละตัวตนให้น้อยลงๆ จนกระทั่งไม่มีตัวตน ได้บรรลุสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา ให้ตั้งใจปฏิบัติกัน หายใจเข้าก็ตามไป หายใจออกก็ตามไป