แม้ "ข้อความถอดเสียงนี้" จะพยายามให้ตรงกับเสียงต้นฉบับมากที่สุด ผู้ศึกษาพึงตรวจสอบกับเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับ ก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง [รับข่าวสารทางอีเมล]
ญาติโยมทั้งหลายมาพักแรมอยู่ที่นี่ เพื่อจะศึกษาเรียนรู้สิ่งที่พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบ คือธรรมะนั่นเอง สิ่งที่มีก่อนสิ่งอื่นทั้งหมด ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะบังเกิดขึ้นก็ตาม ไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม สิ่งนี้มีอยู่ก่อน ก็คือธรรมะนั่นเอง แต่ว่าคนค้นไม่พบ พระพุทธเจ้าได้ทรงค้นพบและพระองค์ก็ทรงเปิดเผย ชี้แจง แสดงให้คนเข้าใจธรรมะ
ฉะนั้น บุคคลสูงสุดที่เกิดขึ้นมาในโลก ไม่มีบุคคลใดเทียมเท่าพระพุทธเจ้า ธรรมะที่พระองค์ทรงสอนก็เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของคนจำนวนมาก ทั้งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย หลังจากพระองค์ทรงค้นพบแล้ว พระองค์ก็ทรงเสด็จไปโปรดคนที่พอเข้าใจธรรมะได้ เขาเรียกเวไนยสัตว์ คำว่าสัตว์แปลว่าผู้ที่ยังข้อง ยังติดอยู่ในกิเลสและความทุกข์ สัตว์นี่ ๑. สัตว์มนุษย์
๒. สัตว์เดรัจฉาน
สัตว์เดรัจฉานทั่วๆไป ไม่สามารถเป็นเวไนยสัตว์ได้ คือสัตว์เดรัจฉานจะสอนให้เข้าใจธรรมะทำไม่ได้ เพราะมันมีแต่สัญชาตญาณ มันรู้จักกินอาหาร รู้จักหลับนอน รู้จักกลัวภัย รู้จักสืบพันธุ์ สัตว์เดรัจฉานมีเพียงแค่นี้
ทีนี้ พวกเรานี่ มนุษย์เรานี่ มันเป็นสัตว์มนุษย์ แต่ยังเป็นสัตว์อยู่ มนุษย์ แปลว่าผู้มีใจสูง ถ้าใจไม่สูงคือใจไม่อยู่เหนือกิเลส ไม่อยู่เหนือความทุกข์ ยังไม่เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ แต่มนุษย์สามารถเป็นเวไนยสัตว์ได้ สัตว์คือผู้ที่ยังข้อง ยังติดอยู่ในกิเลสและความทุกข์ แต่ว่าสัตว์มนุษย์ สามารถจะแนะนำให้เข้าใจธรรมะที่พระองค์ทรงตรัสรู้ได้ เรียกว่าเวไนยสัตว์
พระองค์ทรงเที่ยวโปรดเวไนยสัตว์ จนกระทั่งเข้าใจธรรมะ จนกระทั่งเกิดพระภิกษุขึ้นในพุทธศาสนา ตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
นอกจากนั้น ประเภทอุบาสก อุบาสิกา ก็เกิดขึ้นในประเทศอินเดียมากมาย ตั้งต้นจากพระราชา พระมหากษัตริย์ พระเจ้าแผ่นดินทุกรัฐในประเทศอินเดีย พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล พระเจ้าแผ่นดินอื่นๆในรัฐต่างๆ ในชมพูทวีป ในประเทศอินเดีย จนกระทั่งลดลงมา พ่อค้า ประชาชน คนธรรมดา สามารถได้รับประโยชน์จากธรรมะของพระพุทธเจ้า
ทีนี้ เมื่อพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว พระองค์ก็มอบสิ่งที่พระองค์ทรงค้นพบ คือธรรมะและวินัยไว้กับพวกพุทธบริษัท
พุทธบริษัท คือผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา เป็นนักบวช คือภิกษุ ภิกษุณี เป็นฆราวาสครองเรือน คืออุบาสก อุบาสิกา พุทธบริษัทมีความสำคัญต่อพระพุทธศาสนา ถ้าพุทธบริษัทไม่รักษา พุทธศาสนาก็จะหมดไป
ฉะนั้น การที่โยมมาอยู่ที่นี่ เรามาทำหน้าที่พุทธบริษัทให้เข้มแข็ง ให้สมบูรณ์มากขึ้น ฉะนั้น ชาวพุทธเราต้องสนใจที่ปฏิบัติพัฒนา ให้เป็นชาวพุทธที่สมบูรณ์มากขึ้นๆ เพื่อชีวิตของเรามีประโยชน์ ๑. มีประโยชน์แก่ตัวเอง ๒. มีประโยชน์แก่ผู้อื่น ๓. มีประโยชน์แก่ส่วนรวม มีประโยชน์แก่โลก มีประโยชน์แก่ตัวเอง ถ้าเราได้ปฏิบัติพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราก็จะมีประโยชน์ มีความสุขสูงขึ้นๆ
ความสุขมันมีหลายระดับ ไม่ใช่ระดับเดียวอย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ ๑. ความสุขทางกาย ๒. ความสุขทางด้านจิตใจ ภาษาบาลีเขาเรียก กายิกสุข ความสุขทางร่างกาย ความสุขทางด้านจิตใจ เจตสิกสุข ความสุขทางด้านจิตใจ
โยมมาอยู่ที่นี่ ความสุขทางร่างกายอาจจะมีน้อย แต่ว่าความสุขทางด้านจิตใจอาจจะมีมาก เดี๋ยวนี้มีคนจำนวนมาก เรียกว่าเป็นเศรษฐีมีเงิน แต่ว่ากินไม่ได้ นอนไม่หลับ ลองนอนไม่หลับ ๒ - ๓ คืน อาหารจะดียังไงก็กินไม่ได้ คนที่นอนไม่หลับ ก็มาจากจิตใจที่มันวิตกกังวล เครียด นอนไม่หลับ เดี๋ยวนี้โรคนอนไม่หลับมันก็มีมากขึ้นๆ ดังนั้นความสุขทางด้านจิตใจนี่สำคัญกว่า
อย่างนักบวชเป็นพระสงฆ์ โดยเฉพาะพระสงฆ์ในครั้งพุทธกาล ท่านอยู่อย่างง่ายๆ อยู่ในถ้ำ อยู่ที่โคนไม้ อยู่ที่ป่าช้า ชีวิตของท่านไม่ได้สะดวก ไม่ได้สบาย แต่จิตใจท่านสงบ ท่านก็มีความสุข จิตใจมันเป็นเรื่องใหญ่
ในชีวิตของมนุษย์เรา ควรจะเรียนรู้ว่าจิตใจมีหลายชนิด จิตนี่ เราเกิดมา มันติดมากับชีวิต รูป นาม รูปคือร่างกาย จิตมีหลายชื่อ เรียกว่ามโน เรียกว่าวิญญาณ เรียกว่าจิต คือสิ่งที่คิดได้ สิ่งที่รู้สึกได้ เรามีสิ่งนี้ และความคิด ความรู้สึกมันไม่เหมือนกัน ในชีวิตของเราที่ผ่านมา เมื่อเราเป็นเด็กๆ เป็นเด็กอ่อนนอนเบาะ ความรู้สึกนึกคิดยังเป็นเด็กๆ ไม่ค่อยรู้อะไร ความทุกข์ ปัญหาไม่ค่อยมี
บางทีพ่อแม่เครียดในการทำมาหากิน นอนไม่ค่อยหลับ แต่ลูกก็นอนหลับ เพราะยังคิดไม่เป็น ต่อมาร่างกายก็เจริญเติบโต จิตมันก็พัฒนา เนื่องจากการเรียนรู้ เนื่องจากการเกี่ยวข้องจากการทำงาน จิตก็คิดปรุงแต่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในชีวิตของเราผ่านวัยมาสู่วัยหนุ่ม วัยสาว ร่างกายเจริญเต็มที่ จิตมันก็เจริญ แต่ว่าเจริญอย่างโลกๆ สัญชาตญาณ เรียกว่าเจริญเต็มที่
สัญชาตญาณในมนุษย์เราก็เหมือนกัน สัญชาตญาณในสัตว์เดรัจฉาน รู้จักกินอาหาร ตอนนี้อาหาร รู้จักปรับปรุงตกแต่ง แสวงหาอาหารที่ว่ามีรสอร่อย คนทั่วไปคิดว่า นั่นคือความสุข เรื่องกินอาหาร เรื่องหลับนอน ก็พยายามปรับปรุงที่หลับที่นอนให้สบาย นี่ก็เป็นแต่เพียงสัญชาตญาณที่ถูกปรับปรุงให้มันสมบูรณ์มากขึ้น รู้จักกลัวภัย พอเรามีชีวิตเป็นผู้ใหญ่ก็กลัวภัย เกรงภัย ก็เตรียมอาวุธสำหรับป้องกันภัย เป็นมีด เป็นอาวุธ เป็นปืนผาหน้าไม้ สำหรับที่จะป้องกันชีวิตเพราะกลัวภัย และก็มีการสืบพันธุ์ สืบลูก สืบหลาน
พวกเราก็กลายจากทารก มาเป็นหนุ่มเป็นสาว ต่อมาก็เป็นพ่อบ้านพ่อเรือน ชีวิตมันก็เปลี่ยนมาเรื่อยๆ และก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็แก่ ในที่สุดก็เจ็บ ในที่สุดก็ตาย นี่คือชีวิตของมนุษย์เราที่เกิดมา
แต่บางคนยังไม่รู้ว่าชีวิตมันเป็นไปยังไง ก็ไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้เตรียมการสำหรับที่จะพัฒนา สำหรับที่จะปรับปรุงชีวิตให้ดีขึ้น ให้สูงขึ้น ให้พบความสุขของพระอริยเจ้า คือความสุขที่พระองค์ทรงค้นพบ เมื่อพระองค์ประกาศพระธรรมคำสอนของพระองค์ออกไป คนก็เข้าใจธรรมะได้ เป็นพวกเวไนยสัตว์
ฉะนั้น พวกเราที่เกิดปัจจุบันนี้ อย่าคิดว่าเราเข้าใจธรรมะไม่ได้ ถ้าเราคิดแต่ว่าเราเข้าใจธรรมะไม่ได้ ก็น่าสงสาร คือไม่รู้จักคิด ไม่รู้จักพัฒนา ก็เกิดมาเพื่อแก่ เพื่อเจ็บ เพื่อตายเท่านั้น ไม่มีอะไร
ทีนี้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงสอนว่า ทำให้คนเข้าใจความสุข โดยเฉพาะทางด้านจิตใจสูงขึ้นๆ ความสุขอย่างโลกนี้ คือมีทรัพย์สินเงินทอง นี่เป็นความสุขธรรมดา ความสุขอย่างโลกอื่น เป็นความสุขอย่างสวรรค์ คำว่าสวรรค์นี่ หมายถึงความพอใจ เมื่อใดเรามีความพอใจ ว่าเราได้ทำดี เช่นมีศีลอย่างนี้
ศีลเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงบัญญัติสอน ซึ่งมีอยู่หลายชนิด ศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอุโบสถ ศีล ๒๒๗ เป็นศีลของนักบวช เป็นศีลของพระสงฆ์ แต่ว่าศีล จะกี่ร้อยกี่พันก็ตาม แม่ของศีลจริงๆ ก็คือศีล ๕ นั่นเอง แต่ว่าศีล ๕ นี่ พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติโดยตรงเอง แต่พระองค์รับมาใช้ ว่าเป็นของดี เป็นของเก่า ภาษาบาลีใช้คำว่า ชะนัง ตะนะ 14.37 เป็นของเก่า ปฏิบัติกันมาก่อน
ศีล ๕ ใครยังมีอยู่ คนนี้จะเริ่มมีความสุข มีอะไรบ้าง ไม่ฆ่า ไม่ลัก ไม่ล่วงเกินของรัก ไม่โกหก ไม่เสพของมึนเมา ถ้าสมมติว่า คนไทยเราทุกคนมีศีล ๕ อยู่เป็นพื้นฐาน อาชญากรรม อาชญากร มันหมดไปเลย คนที่จะไปอยู่ในคุกในตารางมันไม่มี แต่เดี๋ยวนี้มันไม่เป็นอย่างนั้น ในคุกในตารางเต็มไปหมด นักโทษที่อยู่ก็เครียดๆ บางคนก็ฆ่าตัวตาย บางคนก็ไปตายในคุก เพราะว่ามันเครียด อาหารการกินก็ไม่เหมือนอยู่ที่บ้านที่เรือน
ฉะนั้น วิธีที่จะช่วยแก้ไขปัญหา อย่างคนไทยเราที่เป็นชาวพุทธโดยเฉพาะนี่ ต้องสนใจปฏิบัติธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ ที่มาปฏิบัติที่นี่ ก็มาปฏิบัติสิ่งนี้ คือมาปฏิบัติให้มีศีล พอมีศีลมันจะทำให้ใจสบาย เพราะเราไม่เบียดเบียนใครๆ ไม่เบียดเบียนตัวเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น ก็ทำให้ใจสบาย นี่เป็นความสุข คือ สีเลนะ สุคะติง ยันติ ศีลทำให้มีความสุข ศีลทำให้เกิดความไม่วิตกกังวล เขาเรียกไม่มี วิปัตติถา ??? 16.42 ไม่มีความวิตกกังวล นี่เป็นความสุขนะ ไม่มีวิปัตติถา???16.50 พอไม่มีความเดือดเนื้อร้อนใจ ก็ทำให้เกิดปราโมทย์ จิตใจบันเทิงรื่นเริง เมื่อเกิดปราโมทย์ ทำให้เกิดปีติ เป็นความอิ่มใจ จิตใจมันอิ่ม ปีติทำให้เกิดความสงบ ปัสสัทธิ กายสงบ ใจสงบ และทำให้เกิดความสุข นี่ความสุขมันเกิด พอความสุขมันเกิด มันก็ตั้งมั่นเป็นสมาธิ
การที่โยมมาฝึกที่นี่ ก็ได้มาฝึกสมาธิ ก็ผ่านคุณธรรมเหล่านี้มาตามลำดับ ก็ได้สมาธิมา คนก็มีความสุข ความสุขอย่างโลกอื่น ไม่ใช่ความสุขอย่างธรรมดา พอได้สมาธิมา ก็อบรมปัญญา เพื่อพิจารณาให้เห็นสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ตามที่มันเป็นจริง
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงนี่ มันนับไม่ไหว แต่ว่าสรุปได้เพียง ๒ อย่าง คือ หนึ่ง สิ่งที่มีเหตุมีปัจจัยปรุงแต่ง เรียกว่าสังขาร หรือสังขตธรรม อีกสิ่งหนึ่งไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง เรียกว่าวิสังขาร หรืออสังขตธรรม ได้แก่พระนิพพาน เป็นสิ่งสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือนิพพาน
ทีนี้ ญาติโยมต้องเข้าใจความหมายของนิพพาน นิพพานไม่ใช่บ้าน ไม่ใช่เมือง ไม่ใช่โลก ไม่ใช่โลกนี้ ไม่ใช่โลกอื่น ไม่ใช่การมา ไม่ใช่การไป ไม่ใช่การหยุด มันเป็นธรรมชาติที่ว่างจากกิเลส ว่างจากราคะ ความกำหนัด ว่างจากโทสะ ความไม่พอใจ ว่างจากโมหะ ความหลง ความไม่รู้ ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากความทุกข์ เมื่อใดจิตใจไม่มีสิ่งเหล่านี้ จิตใจก็เข้าถึงพระนิพพาน
แต่ว่าจิตนี้ก็เป็นสังขารเหมือนกัน แต่จิตเข้าถึงนิพพาน นี่จิตมันเย็น จิตมันสงบ แต่ว่าชีวิตของเรามันก็เป็นสิ่งปรุงแต่ง เป็นสังขาร นิพพานไม่ใช่สังขาร มันเป็นธาตุตามธรรมชาติ มีอยู่ในที่ทุกหนทุกแห่ง แต่ว่าคนเข้าถึงมันไม่ได้ เพราะอะไร เพราะว่ากิเลสมันมาห่อหุ้มจิตใจของเราไว้ไม่ให้มองเห็น ยกตัวอย่างง่ายๆ ขณะนี้เรานั่งในศาลาหลังนี้ เราจะไม่มองเห็นดวงดาวบนท้องฟ้า เราจะไม่เห็นพระจันทร์ เพราะว่าสังขารมันบังเอาไว้ แต่ถ้าเราไปอยู่กลางแจ้ง คืนไหนที่มีท้องฟ้า ไม่มีเมฆ ท้องฟ้าปลอดจากเมฆ ก็จะเห็นดวงดาว จะเห็นพระจันทร์ถ้ามีพระจันทร์ เช่นเดียวกัน จิตใจของเราถูกห่อหุ้มด้วยกิเลสอยู่ จึงสัมผัสกับพระนิพพานไม่ได้ เป็นความสุขสูงสุดในพระพุทธศาสนา
เพราะฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายมาปฏิบัติ น่าจะเข้าใจความสุขชนิดนี้ได้ เป็นความสุขสงบ เป็นสันติสุข เป็นความสุขสูงสุดในพระพุทธศาสนา
ทีนี้ ถ้าเราทำให้จิตใจของเรามันว่างจากกิเลสได้สักครู่หนึ่ง จิตของเราก็สัมผัสกับนิพพานชั่วคราว ซึ่งมีหลายชื่อ เขาเรียก ตทังคนิพพานบ้าง วิกขัมภนนิพพานบ้าง คือจิตว่างจากกิเลสโดยบังเอิญ เช่น ธรรมชาติที่ทีปภาวันมันชวนให้จิตสงบ เพราะว่าสิ่งแวดล้อมมันไม่ยั่วยวน ไม่มากวนให้จิตใจของเราไปคิด ไปนึก ไปปรุงแต่ง จิตก็สัมผัสกับนิพพานชนิดนี้ แต่ว่าชั่วคราว
ทีนี้ ถ้าเราฝึกสมาธิได้ เมื่อจิตอยู่ในอารมณ์ของสมาธิ กิเลสเกิดขึ้นไม่ได้ ก็ได้สัมผัสกับนิพพาน เรียกว่าวิกขัมภนนิพพาน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ญาติโยมทั้งหลายจะรู้ได้ด้วยตนเอง
ฉะนั้น การที่ญาติโยมทั้งหลายมาพักที่นี่ มาแสวงหาสิ่งนี้ ไม่ใช่มาให้เสียเวลา การที่โยมอยู่ที่บ้านที่เรือนทำหน้าที่การงาน คิดว่ามันสบาย มันเป็นสุข
จริงๆ มันไม่ใช่ มันสบายอย่างธรรมดา มีความสุขอย่างธรรมดา ไม่ได้เป็นความสุขของพระอริยเจ้า
ทีนี้ ถ้าญาติโยมทั้งหลายมาอยู่ที่นี่ ได้ยิน ได้ฟัง ได้ฝึกต่อไป ธรรมะนี่จะติดเนื้อติดตัวญาติโยมไป เรียกว่าเป็นอริยทรัพย์ เป็นธรรมาวุธ อาวุธทางธรรมะ จะแก้ปัญหาได้ อย่างชีวิตฆราวาสมีปัญหามาก ปัญหาหลายด้าน ปัญหาหลายอย่าง แต่ถ้ามีธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้ จะแก้ปัญหาได้ อยู่เหนือความทุกข์ได้ ชีวิตของทุกคนมันเดินทางเส้นนี้ เกิดมาแล้วก็ต้องแก่ ก็ต้องเจ็บ ก็ต้องตาย วันหนึ่งเราจะต้องเจอความแก่บ้าง ความเจ็บบ้าง ความตายบ้าง ถ้าเราไม่มีธรรมะเป็นเครื่องมือ คนจะทุกข์มาก จะเครียดมาก ก็ได้อาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้ามาเป็นที่พึ่ง
ฉะนั้น ธรรมะที่พระพุทธเจ้าทรงสอนเอาไว้เป็นสิ่งประเสริฐ ในครั้งพุทธกาล คนทุกชั้น ทุกวรรณะ ได้รับประโยชน์ สมัยต่อมา พระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้วหลายร้อยปี ธรรมะของพระองค์ซึ่งมีประโยชน์ อย่างพระเจ้าอโศกมหาราช พระพุทธเจ้าท่านนิพพานไป ๓๐๐ ปี พระเจ้าอโศกเคยเป็นใหญ่ปกครองอินเดีย แต่ว่าไปทำสงคราม ฆ่าคนตายมาก ก็เครียดมาก ก็ได้อาศัยธรรมะของพระพุทธเจ้ามาแก้ปัญหา
พระยามิลินท์ หนังสือเล่มหนึ่งเรียกว่า มิลินทปัญหา พระยามิลินท์มีมิจฉาทิฐิ ได้อาศัยพระนาคเสน พระนาคเสนเป็นนักปราชญ์ ได้แก้ปัญหาให้แก่พระยามิลินท์ พระยามิลินท์ก็ได้นับถือพระพุทธศาสนา
ประเทศไทยเราแถวๆนี้ เรียกว่าสุวรรณภูมิ ได้รับพุทธศาสนาจากพระโสณะ พระอุตตระ เป็นคณะสงฆ์ที่พระเจ้าอโศกอาราธนาให้มาเผยแพร่ในดินแดนนี้ ประเทศไทยเราก็ได้นับถือพระพุทธศาสนามาตามลำดับ
ผู้ปกครองประเทศ พระเจ้าแผ่นดินแต่ละพระองค์ ตั้งแต่สุโขทัยเป็นราชธานี พ่อขุนรามคำแหงเรื่อยมา สมัยอยุธยา พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์เรื่อยมา ถึงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเรื่อยมา จนกระทั่งถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ก็จะเห็นได้ชัดว่า พระองค์ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรมของพระพุทธศาสนา นี่เป็นฝ่ายฆราวาส
ฝ่ายพระสงฆ์จำนวนนับไม่ไหว เป็นพระอรหันตสาวกที่ได้เข้าใจธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ถ้าศึกษาพระพุทธศาสนาให้เข้าใจก่อน จะได้เข้าใจว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ไม่ขาดตอนนี้ คือพระอรหันต์ทั้งหลายช่วยกันจด ช่วยกันจำเอาไว้ และทำสังคายนาหลายครั้งด้วยกัน
สังคายนาครั้งแรก มีพระอรหันต์ถึง ๕๐๐ รูป คำว่าสังคายนา คือเขาประชุมกัน ช่วยกันจำธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ ผู้สำคัญที่สุดที่จำธรรมะ เรียกว่าทุกตัวอักษรก็ว่าได้ คือพระอานนท์ ส่วนวินัยคือพระอุบาลี ช่วยกันจำ ทำสังคยานาครั้ง ๑ พระอรหันต์ประชุมกัน ๕๐๐ รูป ก็ช่วยกันจำคำสอน ต่อมาสังคยานาครั้งที่ ๒ ครั้งที่ ๓ ต่อมาได้ทำสังคยานาขึ้นในประเทศศรีลังกา ตอนหลังก็เป็นบันทึก เป็นตัวอักษร เดี๋ยวนี้พระไตรปิฎกก็บันทึกด้วยภาษาบาลี เรียกว่าพระไตรปิฎก เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
ฉะนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้ายังเหลืออยู่ในโลก เหมือนอย่างตำรายา ยาที่คนค้นพบอย่างยาสมุนไพร ประเทศไทยเรานี่ เมื่อก่อนใช้ยาสมุนไพรนะ คนที่เขาค้นพบ คนที่เขารักษามา แต่ก็ไม่รู้ว่าใคร แต่ว่ายาตัวนี้ก็มารักษา ก็ยังได้รับประโยชน์ เช่นเดียวกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงค้นพบ คนที่เกิดมาภายหลังก็ได้รับต่อๆกันมา ฉะนั้น พวกเราควรมีกตัญญูกตเวทีต่อบรรพบุรุษของเรา
โดยเฉพาะในยุคที่เราสามารถได้รู้จักท่าน ได้เห็นท่าน ได้ฟังเสียงท่าน คือท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่า ถ้าไม่มีธรรมะของพระพุทธเจ้า จะเป็นพุทธทาสแบบนี้ไม่ได้ ท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านก็พูดอยู่ประจำว่า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ท่านก็เป็นอย่างนี้ไม่ได้ วัดสวนโมกข์เกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า ธรรมะที่ท่านอาจารย์พุทธทาสนำมาสอน ก็เอามาจากพระไตรปิฎก นำมาสอน นำมาเผยแพร่
ฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า ปัจจุบันนี้ก็กระจายไปทั่วโลก อย่างคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาส ก็มีแปลเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อแปลเป็นภาษาอังกฤษ พวกฝรั่งชาติอื่นก็อ่านได้ ต่อมาก็แปลเป็นภาษาเยอรมัน แปลเป็นภาษารัสเซีย แปลเป็นภาษาฝรั่งเศส คนอื่นเขาก็ได้เรียนรู้
ฉะนั้น ธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งอัศจรรย์ ไม่มีใครที่ค้นพบธรรมะสูงสุดเท่าพระพุทธเจ้า อาตมาพูดให้ญาติโยมทั้งหลายมองเห็นความสำคัญของการมาอยู่ที่ทีปภาวัน ในเมื่อมาถึงทีปภาวันแล้ว ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ การปฏิบัติธรรมไม่ต้องไปหาอะไรที่ไหน ความจริงในชีวิตของเรามันมีอยู่แล้วทั้งหมดเลย ธรรมะที่กล่าวมายืดยาวนี่ มันมีอยู่แล้วในชีวิตของเราทั้งหมด
แต่ว่าเรายังไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้พัฒนา มันจึงไม่เกิด
ทีนี้ เมื่อโยมตั้งใจปฏิบัติ ธรรมะเหล่านี้จะเกิด โดยเฉพาะขึ้นในจิตใจของญาติโยมทันทีเลย โดยเฉพาะคือการฝึกสมาธิภาวนา เราทุกคนที่เกิดมานี่ โดยย่อ คือมีร่างกายส่วนหนึ่ง มีจิตใจส่วนหนึ่ง ร่างกายก็มี ๒ ชนิด คือกายเนื้อ กายหนัง แต่ว่ามีกายชนิดหนึ่งที่คนทั่วไปไม่รู้จัก ก็คือลมหายใจ คำว่ากาย แปลว่าหมู่ แปลว่าพวก ไม่ใช่อย่างเดียว ร่างกายเนื้อหนังประกอบด้วยธาตุต่างๆ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ รวมกันเรียกว่ากาย กายลม ลมมีหลายชนิด หายใจสั้น หายใจยาว หยาบ ละเอียด มันมีหลายชนิด
ทีนี้ ที่ญาติโยมมาฝึกสมาธิ ก็เพื่อจะฝึกให้จิตมีสมาธิ คือจิตบริสุทธิ์ จิตตั้งมั่น จิตอ่อนโยน คือจิตไม่มีอารมณ์ร้อน ไม่มีอารมณ์ร้าย โยมมาอยู่ที่นี่ ก็ได้ฟังเทปบรรยาย ที่พระเดชพระคุณท่านอาจารย์พุทธทาสได้บรรยายไว้ และก็ได้ปฏิบัติ ปริยัติคือการเรียนรู้
โยมก็มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้เข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นๆ มากกว่าแต่ก่อนแน่นอนเลย เพราะว่าต้องพูด ต้องบรรยายอยู่หลายครั้งด้วยกัน โยมก็ได้ความรู้ทางปริยัติคือการเรียนรู้ แต่มันไม่พอ เรียนรู้มันไม่พอ อย่างศีล ๕ ใครๆก็รู้ แต่ว่าถ้าไม่ปฏิบัติ ศีล ๕ มันก็ไม่มี ไม่มีศีล ๕ ก็มีปัญหา
พอมาถึงสมาธิเช่นเดียวกัน จริงๆสมาธิโดยธรรมชาติ ทุกคนก็พอจะมี ครั้นโยมอย่างทำอะไรที่มันเป็นไปได้ เช่นขับรถได้หรือว่าทำอะไรได้ อ่านหนังสือรู้เรื่อง นี่ก็อาศัยสมาธิโดยธรรมชาติ แต่สมาธิโดยธรรมชาติมันไม่เพียงพอ มันต้องฝึก ต้องฝึกจิตให้มีสมาธิได้ และจะได้พบความสุขทางด้านจิตใจ เรียกว่า สมาธิสุข เป็นความสุขอย่างโลกอื่น
ต่อไปนี้ ขอให้ญาติโยมทั้งหลายเตรียมตัวที่จะนั่งสมาธิ ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ เราจะฝึกอานาปานสติขั้นที่ ๑ คือลมหายใจเข้ายาว ออกยาว ขอให้นั่งสมาธิ แล้วเราสูดลมเข้าไป สูดเข้าไป อัดเข้าไป ด้วยการบังคับ จนกระทั่งลมเต็มปอด โดยธรรมชาติ พอเต็มปอดแล้ว มันก็หายใจออก หายใจเข้าก็เอาอากาศออกซิเจนเข้าไป ไปหล่อเลี้ยงชีวิต ไปฟอกโลหิต
ทีนี้ พอร่างกายใช้แล้ว มันกลายเป็นของเสีย เป็นคาร์บอนไดออกไซด์ ก็หายใจออก พอหายใจออก เราอยู่กับธรรมชาติ ต้นไม้มันก็รับอากาศคาร์บอนไดออกไซด์ที่เราหายใจออก มันเก็บเอาไว้ พอพระอาทิตย์ขึ้นมันก็สังเคราะห์ เปลี่ยนให้เกิดอากาศออกซิเจนใหม่ มันหมุนเวียนอยู่อย่างนี้
ฉะนั้น การที่เราอยู่กับธรรมชาติ กับต้นไม้ กับใบไม้ มันเกื้อกูลกัน ฉะนั้นธรรมะคือธรรมชาติ ชีวิตเราก็ธรรมชาติ ต้นไม้ก็ธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมชาติ หายใจเข้าก็ตามไป จิตเกาะติดกับลมก็ตาม ตามลมไป หายใจออกก็ตามมา ถ้าจิตมันวอกแวก มันไปนึกเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เตือนจิตให้รู้ว่าขณะนี้กำลังตามลมอยู่ ก็ใช้คำบริกรรม บริกรรมหายใจเข้ายาวหนอ หายใจเข้ายาวหนอ หายใจเข้ายาวหนอ หายใจออกยาวหนอ ก็จะเตือน ไม่มีต้องมีเสียง จิตสงบ นี่เป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยตนเอง ก็จะได้พบความสุขที่พระพุทธเจ้าต้องการให้เราพบ สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ต่อไปนี้ก็ปฏิบัติกัน